บทที่ 138
วันที่หกเดือนแปด คณะทูตที่เดินทางมายังจงหยวนเพื่อถวายม้าบรรณาการได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว
ราชสำนักส่งขุนนางกรมพิธีการไปต้อนรับเหล่าทูตยังเรือนรับรอง รอจนกระทั่งวันที่เก้าหยวนโย่วฮ่องเต้ออกว่าราชกิจค่อยพาคณะทูตจากต๋าต๋าไปเข้าเฝ้า
บ่ายวันที่แปดหวาหยางเข้าวัง
ชีไทเฮาเอ่ยขึ้น “เดือนหกเดือนเจ็ดเจ้าล้วนเข้าวังมาตอนต้นเดือน การมาในครั้งนี้คงไม่ใช่เพราะวันพรุ่งนี้คณะทูตจากต๋าต๋าจะเข้าวังมาถวายม้าบรรณาการชั้นเลิศกระมัง”
“ม้าเหม็นๆ หลายร้อยตัวมีอะไรน่าดูเพคะ เมื่อครู่ตอนพักกลางวันลูกฝันเห็นเสด็จแม่ พอตื่นขึ้นจึงคิดถึงเสด็จแม่ยิ่งยวด นั่นต่างหากเป็นเหตุผลที่ทำให้ลูกเข้าวังมาในครั้งนี้”
“ผานผานคิดถึงแม่เช่นนี้ แม่รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
สายตาที่มองดูบุตรสาวของนางบอกชัดว่านางคาดเดาความคิดอ่านในใจของอีกฝ่ายได้อยู่ก่อนแล้ว
หวาหยางแย้มยิ้ม ใบหน้าแนบซบเข้ากับไหล่ของผู้เป็นมารดา “เสด็จแม่ พรุ่งนี้คณะทูตนำม้ามาถวาย เสด็จแม่จะไปร่วมชมความคึกคักด้วยหรือไม่เพคะ”
“หลังประชุมราชกิจเสร็จ แม่จะแวะไปที่สนามม้า”
“ถ้าเช่นนั้นลูกจะไปเป็นเพื่อนเสด็จแม่นะเพคะ”
ชีไทเฮาเอ่ยถาม “เจ้าคิดจะเลือกม้าให้ตนเองสักตัว?”
นางจำได้ว่าบุตรสาวชื่นชอบม้าชั้นเลิศขนขาวราวกับหิมะเป็นพิเศษ ตอนอดีตฮ่องเต้ยังมีชีวิตทางต๋าต๋าเคยมอบม้าชั้นเลิศให้หลายต่อหลายครั้ง อดีตฮ่องเต้ล้วนคัดเลือกม้าขาวที่งดงามที่สุดพระราชทานให้ผู้เป็นบุตรสาว
อย่าคิดว่าชีไทเฮาจะเห็นเพียงข้อเสียมากมายของอดีตฮ่องเต้ ทุกครั้งที่นึกถึงความรักที่อดีตฮ่องเต้มอบให้กับบุตรธิดาทั้งสองของตน ใจของนางก็อดรวดร้าวขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
หวาหยางเอ่ยตอบว่า “ลูกไม่ต้องการแล้วเพคะ แต่เป็นราชบุตรเขยที่แสนดีของเสด็จแม่ต่างหากที่ต้องการ หลายปีมานี้เขาขี่แต่ม้าแก่ๆ ที่พี่ใหญ่ของเขามอบให้เมื่อหลายปีก่อน เขาไม่อายแต่ลูกอายเพคะ ยามนี้โอกาสประจวบเหมาะ ลูกเลยตั้งใจจะขอน้องชายให้มอบม้าให้เขาสักตัว”
ชีไทเฮาย่อมปรารถนาจะเห็นบุตรสาวกับราชบุตรเขยรักใคร่ปรองดอง ปกติบุตรสาวมักใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่บ่อยนักที่จะทำดีต่อราชบุตรเขยสักครั้ง ด้วยเหตุนี้ชีไทเฮาจึงยินดีสนับสนุน
พลบค่ำพวกเขาสามคนอยู่กินอาหารเย็นด้วยกัน หวาหยางขอม้ากับน้องชายต่อหน้าผู้เป็นมารดา
หยวนโย่วฮ่องเต้นึกขัน เขาร่วมมือแสดงละครกับพี่สาวต่อหน้าเสด็จแม่
วันรุ่งขึ้นหยวนโหย่วฮ่องเต้ออกว่าราชกิจแต่เช้า
ตลอดระยะเวลาสองสามปีมานี้ต๋าต๋าเพิ่งจะยอมกลับมาสวามิภักดิ์ต่อราชสำนักอีกครั้ง หากในเวลานี้คนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเป็นอดีตฮ่องเต้ ต่อให้ชื่อเสียงเรื่องมักมากในกามของเขาแพร่สะพัดไปทั้งไกลใกล้ แต่ด้วยอายุแล้วทูตแห่งต๋าต๋าเหล่านั้นย่อมต้องพูดจานอบน้อมแน่ ทว่าหยวนโย่วฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้เพิ่งจะอายุสิบสี่ ร่างกายเดิมก็ผอมบางอยู่เป็นทุน ยิ่งถูกขับดุนด้วยบัลลังก์มังกรใหญ่กว้างก็ยิ่งทำให้เขาแลดูไม่ต่างอะไรกับเด็กที่ขนยังขึ้นไม่ทั่ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจะให้เหล่าบุรุษจากทุ่งหญ้าที่ร่างกายกำยำทั้งหกยอมศิโรราบได้เช่นไร
เมื่อพูดถึงม้าบรรณาการในครั้งนี้ หัวหน้าทูตแห่งต๋าต๋ากล่าวเสียงดังฟังชัด “ฝ่าบาท ปีนี้เป็นปีรัชศกแรกของพระองค์ ท่านข่านของพวกกระหม่อมเพื่อแสดงความยินดี นอกจากจัดเตรียมม้าชั้นเลิศห้าร้อยตัวมามอบให้พระองค์ตามที่เคยตกลงกันไว้แล้ว ท่านข่านยังให้กระหม่อมนำเอาม้าวิเศษที่พันปีจะพบได้สักครั้งมามอบให้ด้วย ไว้อีกสักครู่พอพระองค์ได้ทอดพระเนตรก็จะทรงตระหนักได้เอง”
หยวนโย่วฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรสบตากับเฉินถิงเจี้ยนคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มน้อยๆ ให้กับทูตแห่งต๋าต๋าพลางกล่าว “ในเมื่อเป็นม้าวิเศษ เราย่อมไม่ปรารถนาที่จะทำให้ท่านข่านต้องลำบากใจ”
ทูตแห่งต๋าต๋ายิ้มก่อนจะกล่าวเสียงดังกว่าเดิม “ฝ่าบาทมิต้องเกรงพระทัย หากม้าตัวนั้นยินดีฟังคำสั่งของท่านข่านของพวกกระหม่อม ท่านข่านย่อมไม่อาจตัดสินใจมอบมันให้พระองค์แน่ ทว่าม้าตัวนี้นิสัยดื้อรั้นดึงดันยิ่งนัก ท่านข่านพยายามปราบพยศมันหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ล้วนล้มเหลว ท่านข่านบอกว่าม้าตัวนี้คงมีเพียงโอรสมังกรสวรรค์ในดินแดนจงหยวนเท่านั้นที่จะปราบมันได้ ดังนั้นจึงให้พวกกระหม่อมนำมันมาถวายให้กับพระองค์”
หยวนโย่วฮ่องเต้เม้มมุมปากเล็กน้อยอย่างยากจะสังเกตเห็น