ต่อให้ไม่พอใจเพียงใด หยวนโย่วฮ่องเต้ก็รู้ดีว่าตนเองเพิ่งจะอายุสิบสี่เท่านั้น ร่างกายย่อมไม่อาจเทียบกับข่านแห่งต๋าต๋าได้ ทูตแห่งต๋าต๋าพูดเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าคิดจะทำให้เขาต้องอับอายขายหน้า
ในตอนนั้นเองชีจิ่นก็เดินออกจากแถวมายิ้มกล่าวกับทูตแห่งต๋าต๋า “ไม่ทราบว่าท่านข่านยินยอมให้ผู้กล้าแห่งทุ่งหญ้าคนอื่นๆ ได้ทดลองปราบพยศม้าตัวนั้นดูบ้างหรือไม่”
ชีจิ่นใบหน้าขาวดุจหยก ต่อให้เขาสวมอาภรณ์ขุนนางบู๊ ทูตแห่งต๋าต๋าก็ไม่เห็นหัวเด็กหนุ่มหน้าขาวเช่นนี้ อีกฝ่ายกล่าวหยามเหยียด
“ม้าวิเศษไหนเลยจะให้คนธรรมดาสามัญมาทำให้แปดเปื้อนได้”
“กลัวเพียงม้าตัวนั้นจะเป็นแค่ม้าดีธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่ท่านข่านอายุมากแล้ว เรี่ยวแรงกำลังไม่พอควบคุม”
แค่คำพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำเอาทูตแห่งต๋าต๋าทั้งหกเดือดดาลได้แล้ว พวกเขาต่างพากันถลกแขนเสื้อเตรียมลงมือลงไม้กับชีจิ่น
หยวนโย่วฮ่องเต้พูดตำหนิเขา “ห้ามทำตัวไร้มารยาทต่อท่านข่าน”
ชีจิ่นแสดงคารวะขออภัยที่ล่วงเกินต่อทูตแห่งต๋าต๋า
คนหน้าตาหล่อเหลา ยิ่งประสานมือขออภัยด้วยท่าทีสุภาพอ่อนโยนก็ยิ่งแลดูงามสง่า
ทูตทั้งหกของต๋าต๋ารู้ถึงมารยาทของจงหยวน ชีจิ่นยอมทำเช่นนี้แล้ว หากพวกเขายังก่อเรื่องอีก นั่นย่อมเป็นการบอกให้รู้ว่าพวกเขาใจคอคับแคบนิสัยหยาบกระด้าง
ทูตแห่งต๋าต๋าส่งเสียงประชดออกมาคราหนึ่งก่อนจะพูดคอตั้ง “นี่เป็นม้าวิเศษ หาใช่ม้าธรรมดาๆ พวกท่านแวะไปที่สนามม้าก็จะรู้ได้เอง”
หลังจากนั้นไม่ต้องพูดอะไรมาก หยวนโย่วฮ่องเต้ให้คนไปเชิญเสด็จชีไทเฮา ก่อนจะนำร้อยขุนนางบุ๋นบู๊รวมถึงทูตแห่งต๋าต๋ามุ่งหน้าไปยังสนามม้า
ชีไทเฮากับหวาหยางมาถึงช้ากว่าคนอื่นราวๆ หนึ่งถ้วยชา
หยวนโหย่วฮ่องเต้เดินขึ้นหน้าไปถวายพระพรชีไทเฮาด้วยท่าทีนอบน้อม ร้อยขุนนางบุ๋นบู๊เองก็ก้มหน้าค้อมกาย
ทูตแห่งต๋าต๋าถึงจะแสดงคารวะตาม ทว่าสายตากลับกวาดมองใบหน้าของชีไทเฮากับหวาหยางอย่างจาบจ้วง พวกเขาไม่เห็นบุรุษหน้าขาวแห่งจงหยวนอยู่ในสายตา ทว่ายามมองดูสตรีสูงศักดิ์สองแม่ลูกกลับตกตะลึงราวกับได้พบนางฟ้านางสวรรค์
หลังแสดงคารวะเสร็จ หวาหยางสองพี่น้องก็คนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวาเฝ้าอยู่ข้างกายชีไทเฮา นำพาทุกคนไปยังแท่นที่ประทับตรงสนามม้า ส่วนทูตแห่งต๋าต๋าทั้งหกได้แต่เดินตามพวกเฉินถิงเจี้ยนอยู่ทางด้านหลังด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ
บนแท่นที่ประทับมีการจัดเตรียมที่นั่งไว้อยู่ก่อนแล้ว เชื้อพระวงศ์ทั้งสามนั่งอยู่ตรงกลาง เก๋อเหล่ากับทูตแห่งต๋าต๋าทั้งหกแยกนั่งถัดลงมาทางด้านล่างซ้ายขวา ส่วนขุนนางบุ๋นบู๊คนอื่นๆ ล้วนยืน
หยวนโย่วฮ่องเต้เอ่ยขึ้นว่า “เริ่มได้”
เฉาหลี่ก็ตะโกนว่า “ถวายม้า” เสียงดัง ขันทีคนอื่นๆ ต่างพากันถ่ายทอดคำสั่งลงไป
เพียงไม่นานขุนนางดูแลม้าของราชสำนักกับของต๋าต๋าก็จูงม้าชั้นยอดห้าร้อยหนึ่งตัวเข้ามา
ทันทีที่มองไปก็จะพบว่าม้าทั้งห้าร้อยตัวนั้นล้วนแข็งแรงกำยำ ทว่าหากพิจารณาดูดีๆ ก็จะพบว่าม้าทั้งห้าร้อยตัวนั้นมีทั้งดีเลวปะปนกันไป มีอยู่สิบตัวจัดเป็นม้าชั้นยอด ที่เหลือล้วนเป็นม้าเหมิงกู่ธรรมดาๆ ถึงจะขายอยู่ในจงหยวนกันร้อยกว่าตำลึง แต่ก็ไม่ดีพอที่จะทำให้เหล่าขุนนางผู้ทรงเกียรติทั้งหลายตื่นตะลึงได้
ทว่ามีม้าขนสีพุทราแดงปลอดอยู่ตัวหนึ่งถูกจูงออกจากฝูงมาเพียงลำพัง
แม้ม้าตัวนี้จะอยู่ท่ามกลางม้าทั้งห้าร้อยตัว ทว่ามันกลับยังคงเป็นเสมือนกระเรียนในฝูงไก่ สายตาของทุกคนรวมถึงหวาหยางต่างจับจ้องอยู่บนม้าสีพุทราแดงตัวนั้นแทบจะในทันที
ทูตแห่งต๋าต๋าลูบหนวดเครารุงรัง พูดวาจาหยิ่งทะนง “ม้าสีพุทราแดงตัวนี้เป็นม้าวิเศษที่ท่านข่านของพวกกระหม่อมตั้งใจถวายให้ฝ่าบาทเป็นการเฉพาะ”
ยิ่งเป็นเด็กหนุ่มก็ยิ่งถูกข้าวของที่แฝงไว้ซึ่งอำนาจบารมีอย่างม้าวิเศษกระบี่วิเศษดึงดูดได้ง่าย หยวนโย่วฮ่องเต้ก็เช่นกัน เขาเรียกได้ว่าพึงใจม้าขนสีพุทราแดงตัวนั้นตั้งแต่แรกเห็น
ถึงจะรู้ว่าทูตแห่งต๋าต๋าพวกนั้นมีเจตนาชั่วร้ายซ่อนแฝง ทว่าหยวนโย่วฮ่องเต้ก็ยังคงยิ้มเอ่ยปากชื่นชมม้าตัวนั้น “อาชาชื่อทู่ในตำนานซานกั๋วก็คงเป็นเช่นนี้”
ได้ยินแบบนั้นเฉินจิ้งจงก็หันมองไปทางหวาหยาง
พวกนางสองพี่น้องคนหนึ่งชอบโจวหลางแห่งสามก๊ก อีกคนชอบม้าชื่อทู่ในสามก๊ก ตอนยังเด็กทั้งคู่คงฟังสามก๊กอยู่ด้วยกันกระมัง