องค์หญิงหนานคังโตกว่าหวาหยางเพียงปีเดียวเท่านั้น ก็เหมือนกับหลินกุ้ยเฟยที่แย่งชิงความโปรดปรานกับชีฮองเฮามาตลอดระยะเวลาหลายปี ก่อนองค์หญิงหนานคังจะอภิเษกสมรสก็เคยพยายามกดหวาหยางให้อยู่ใต้นางเช่นกัน เพื่อจะได้เป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในวังหลวง
น่าเสียดายที่แผนการของหลินกุ้ยเฟยกับองค์หญิงหนานคังล้วนล้มเหลว ไม่มีใครสมดั่งปรารถนา แม้แต่อวี้อ๋องที่เป็นความหวังสูงสุดของหลินกุ้ยเฟยก็ยังช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทไม่สำเร็จ สุดท้ายได้แต่ต้องไปเป็นอ๋องเจ้าศักดินาอยู่ที่ลั่วหยาง
หลินกุ้ยเฟยไม่มีอะไรน่ามอง ตอนหวาหยางมองไปทางองค์หญิงหนานคัง นางสังเกตเห็นท้องของอีกฝ่ายก่อน ดูคล้ายยามนี้ตั้งครรภ์ได้หกเจ็ดเดือนแล้ว
องค์หญิงหนานคังเองก็สังเกตเห็นสายตาของหวาหยาง นางยิ้มพลางลูบท้องของตนเองก่อนจะมองไปทางหวาหยางอีกคราวแล้วเอ่ยปากอย่างประหลาดใจ
“น้องหญิงกับราชบุตรเขยแต่งงานกันได้สามปีแล้ว ออกทุกข์หรือก็ตั้งแต่ปีที่แล้ว ข้ายังคิดว่าจะได้ยินข่าวดีจากน้องหญิงเสียอีก”
หวาหยางยิ้มน้อยๆ “อากาศร้อนอบอ้าว ข้าอยากสบายเนื้อสบายตัวมากกว่า ว่าแต่ท่านพี่เถิด อากาศร้อนเช่นนี้ยังเข้าวังมาพบข้าอีก ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
ท่านอาหญิงรีบมาพบนางด้วยเพราะคิดถึง ส่วนฝ่ายท่านยายทั้งคิดถึงทั้งมีเรื่องของมารยาทและลำดับชั้นที่ต้องคำนึง จวนโหวจำต้องแสดงความเคารพต่อนาง
ส่วนองค์หญิงหนานคัง ระหว่างพวกนางสองคนไม่มีมิตรภาพระหว่างพี่น้องอันใด แต่เพื่อแสดงให้เสด็จพ่อได้เห็นว่าพี่สาวอย่างนางห่วงใยน้องสาว หนานคังต่อให้ในใจไม่ปรารถนา อย่างไรก็ต้องฝ่าอากาศร้อนมา
หากหนานคังได้รับความโปรดปรานมากกว่าหวาหยาง มีเกียรติยศในฐานะองค์หญิงสูงส่งกว่า นางไหนเลยจะเหน็ดเหนื่อยถ่อสังขารมาถึงนี่
องค์หญิงหนานคังเข้าใจเหตุผลนี้ยิ่งกว่าใครทั้งหมด ดังนั้นคำพูดเรียบง่ายของหวาหยางนี้จึงแทงใจดำของนางเข้าเต็มๆ!
นางลอบกัดฟัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเค้นรอยยิ้มออกมา “ซาบซึ้งอันใดกัน พี่เอ็นดูเจ้ายิ่งนัก เจ้าถูกประคบประหงมอยู่ในวังนับแต่เล็ก แต่กลับต้องเดินทางไกลไปไว้ทุกข์ร่วมกับเฉินเก๋อเหล่าทั้งตระกูลถึงหลิงโจว อีกทั้งยังต้องแบกรับความอยุติธรรมใหญ่หลวงอยู่ที่นั่น เกือบถูกเซียงอ๋องฉุดคร่า”
พอพูดถึงตอนสุดท้าย องค์หญิงหนานคังก็แสดงท่าทีมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่นออกมาให้เห็น
หวาหยางยังคงแย้มยิ้ม “ไว้ทุกข์ข้ายินดีเอง ส่วนเรื่องเซียงอ๋องทำให้ข้าต้องแบกรับความอยุติธรรมนั้น เสด็จพ่อได้พระราชทานแส้โบยอ๋องให้กับข้าแล้ว ข้าถือว่านั่นเป็นโชคในคราวเคราะห์ เรื่องเหลวไหลอันใดล้วนโยนออกจากสมองไปนานแล้ว ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องจดจำมันแทนข้า”
องค์หญิงหนานคัง “…”