บทที่ 69
เช้าวันที่สามนับตั้งแต่หวาหยางกลับเข้าวังหลวงมา ยามนี้นางยังคงนอนอยู่ที่ตำหนักซีเฟิ่ง แต่จิ่งซุ่นฮ่องเต้ออกว่าราชกิจเช้าแล้ว
ขุนนางบุ๋นบู๊แยกยืนซ้ายขวาคนละฝั่งอยู่ในโถงตำหนัก
เฉินถิงเจี้ยนสวมอาภรณ์ขุนนางเก๋อเหล่าสีแดง ยืนอยู่ฝั่งขุนนางบุ๋น ส่วนที่อยู่ข้างๆ เขาคือเกาเก๋อเหล่าราชเลขาธิการคนปัจจุบัน
เกาเก๋อเหล่าอายุหกสิบสี่แล้ว เส้นผมหนวดเคราขาวโพลน ทว่าหลังเอวกลับยังคงเหยียดตรง ท่าทีคล้ายต่อให้เป็นราชเลขาธิการไปอีกสิบปีก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด
เฉินถิงเจี้ยนกับเกาเก๋อเหล่าล้วนเป็นขุนนางคนสำคัญที่จิ่งซุ่นฮ่องเต้ไว้วางใจเป็นที่สุด พวกเขาทั้งสองเคยร่วมมือกับอดีตราชเลขาธิการจัดการกับการทุจริตครั้งใหญ่ หลังจากการทุจริตดังกล่าวผ่านพ้น พวกเขาสองคนก็ร่วมแรงร่วมใจกันอีกครั้ง จัดการ ‘เชิญ’ อดีตราชเลขาธิการที่ไม่ลงรอยกันให้กลับไปใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายที่บ้านเกิด
ยามมี ‘ศัตรูทางการเมือง’ ร่วมกัน พวกเขาย่อมอยู่บนเรือลำเดียวกัน แต่ทันทีที่ ‘ศัตรูทางการเมือง’ ที่ขวางอยู่เบื้องหน้าลับหาย ความขัดแย้งในด้านการจัดการบริหารบ้านเมืองระหว่างเฉินถิงเจี้ยนกับเกาเก๋อเหล่าก็ปรากฏชัดมากขึ้นทุกที ทั้งคู่ต่างก็หวังทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แท้จริงแก่ราชสำนักและราษฎร ต่างก็มีอุดมการณ์อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุขรุ่งเรือง ทว่าคนหนึ่งอยากไปทางตะวันออก อีกคนกลับเห็นว่าทางตะวันตกถูกต้องกว่า ต่างปรารถนาจะเป็นหัวหน้าของสภาขุนนาง เพื่อให้ผู้อื่นทำตามแนวทางของตนเอง
ในช่วงต้นๆ จิ่งซุ่นฮ่องเต้พึ่งพาเกาเก๋อเหล่ามากกว่า ต่อมาเฉินถิงเจี้ยนอาศัยความสามารถของเขาค่อยๆ ชนะใจจิ่งซุ่นฮ่องเต้ ยิ่งตอนหวาหยางแต่งงานกับเฉินจิ้งจง จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็มีแผนที่จะให้เกาเก๋อเหล่าเกษียณอายุราชการ เลื่อนขั้นเฉินถิงเจี้ยนขึ้นมาเป็นราชเลขาธิการแทนแล้ว
น่าเสียดายที่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉินมาจากไปเสียก่อน ทำให้เฉินถิงเจี้ยนจำต้องกลับบ้านเก่าเพื่อไว้ทุกข์ให้ผู้เป็นมารดา ด้วยเหตุนี้เกาเก๋อเหล่าจึงเป็นราชเลขาธิการต่ออีกสองปี
ทว่ายามนี้เฉินถิงเจี้ยนกลับมาแล้ว ขุนนางใหญ่ทั่วทั้งราชสำนักต่างรอดูว่าจิ่งซุ่นฮ่องเต้จะเลือกทำเช่นไร
จิ่งซุ่นฮ่องเต้ไม่ค่อยเข้ามายุ่งวุ่นวายกับงานบริหารสักเท่าไรนัก ทุกสิ่งอย่างล้วนมอบหมายให้กับสภาขุนนางที่พระองค์ไว้วางใจจัดการ หากไม่ใช่เพราะทางสภาขุนนางต้องการให้พระองค์เข้าร่วมรับฟัง จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ปรารถนาจะนอนกลางวันกกกอดเหล่านางสนมมากกว่า
ทว่าวันนี้พระองค์มีเรื่องบางอย่างที่ต้องประกาศ
จิ่งซุ่นฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร มองดูเก๋อเหล่าทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าสุด
เกาเก๋อเหล่าเข้าใจความคิดอ่านของจิ่งซุ่นฮ่องเต้ดี ในเวลานี้พอเห็นฝ่าบาทชำเลืองมาทางตนก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันควัน สองตาหลุบลง ใบหน้าชราเฒ่าขมวดตึง มุมปากเม้มแน่น เอวหลังเหยียดตรง เผยความรู้สึกไม่พอใจออกมาหมดสิ้น คนอื่นไม่กล้าชักสีหน้าใส่ฮ่องเต้ แต่เขากล้า เขาเคยเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้มาก่อน ตอนที่จิ่งซุ่นฮ่องเต้ยังเป็นอ๋อง เขาเคยวางแผนออกอุบายช่วยเหลืออีกฝ่ายไม่น้อย จิ่งซุ่นฮ่องเต้ในเวลานั้นพบเจอเรื่องอะไรล้วนมาขอคำชี้แนะจากเขา
ฮ่องเต้เลอะเลือนผู้นี้คงครองบัลลังก์นานเกินไปแล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องราวในนอกราชสำนักตลอดสองปีนี้ก็ไม่ได้มีปัญหายุ่งยากมากมายอะไร ผนวกกับถูกเฉินถิงเจี้ยนตบตาจนยกองค์หญิงหวาหยางให้อภิเษกสมรสกับบุตรชายคนที่สี่ที่ไม่เคยมีความดีความชอบใดๆ มิหนำซ้ำยังคิดจะไล่เขากลับบ้านแล้วตั้งเฉินถิงเจี้ยนขึ้นมาเป็นราชเลขาธิการแทน!
เกาเก๋อเหล่าเดือดดาล เพียงแต่อีกฝ่ายอย่างไรก็เป็นฮ่องเต้ เขาไม่อาจผรุสวาทด่าทอ
เขาหวังเพียงแค่จิ่งซุ่นฮ่องเต้จะเบิกตากว้าง ระลึกถึงความดีความชอบที่เขาสร้างสมมาตลอดสองปีนี้ ไม่ถูกชีฮองเฮากับเฉินถิงเจี้ยนตบตาอีกต่อไป!
เพียงไม่นานสายตาของจิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ไปหยุดอยู่บนตัวเฉินถิงเจี้ยนที่ยืนอยู่ข้างเกาเก๋อเหล่า
เฉินถิงเจี้ยนหลังเอวเหยียดตรงขึ้นเช่นกัน อาภรณ์สีแดงขับดุนใบหน้าของเขาให้งดงามดั่งหยก หนวดเครายาวจรดอกเรียบลื่นงามสง่า ไม่ต่างอะไรกับเซียนเทพลัทธิเต๋าในภาพวาด
ถึงจิ่งซุ่นฮ่องเต้จะไม่ได้พบเจอเฉินถิงเจี้ยนนานถึงสองปีกว่า ทว่าข่าวคราวจากทางหลิงโจวกลับไม่เคยขาด
บุตรสาวเขียนจดหมายชื่นชมเฉินถิงเจี้ยน บอกว่าอีกฝ่ายไม่เกรงกลัวอันตรายนำชาวบ้านในท้องที่อพยพหนีน้ำท่วม อีกทั้งยังกล้าจัดการกับน้องชายน้องสะใภ้ที่ละโมบโลภมากกับหลานชายของตนเองที่ทำตัวเป็นอันธพาลรังแกชาวบ้านอย่างไม่เห็นแก่คำว่าญาติพี่น้อง