องค์รัชทายาทหอบของขวัญไปตำหนังเฟิ่งอี๋
จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็ประทับอยู่ที่นั่น พระองค์เคยเห็นหนังสือเล่มนั้นมาก่อน พอเห็นองค์รัชทายาทชื่นชอบ พระองค์ก็ดีใจ
เป็นฮ่องเต้ล้วนถูกเหล่าขุนนางเร่งเร้าให้เป็นฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ ความจริงคำพูดเหล่านั้นหากได้ยินมากไป ไม่ว่าฮ่องเต้องค์ใดก็ล้วนเอือมระอาด้วยกันทั้งสิ้น ก็เหมือนอย่างจิ่งซุ่นฮ่องเต้ ถึงรู้ดีว่าการเป็นฮ่องเต้ผู้ประเสริฐจะได้รับการชื่นชมจากขุนนางและราษฎร แต่การที่ต้องออกว่าราชกิจเช้าทุกวัน อ่านตรวจฎีกาด้วยตนเองทุกฉบับ อีกทั้งยังไม่อาจไปตำหนักในติดๆ กัน วันเวลาเช่นนี้ไหนเลยจะเรียกว่าสุขสบายได้ พูดอีกอย่างก็คือถึงจิ่งซุ่นฮ่องเต้จะไม่อยากทำตัวเป็นฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ แต่พระองค์ก็หวังว่าบุตรชายของตนเองจะเป็นฮ่องเต้ผู้ประเสริฐ เพราะนั่นหมายความว่าคนที่ลำบากคือบุตรชาย ไม่ใช่พระองค์
หลังจากพูดคุยเรื่องหนังสือจบ จิ่งซุ่นฮ่องเต้ก็หันไปพูดคุยกับผู้เป็นบุตรสาว “ตอนเช้าพ่อได้พบราชบุตรเขย เขาไม่ขอทำงานสบายๆ ในหน่วยองครักษ์เสื้อแพร แต่กลับขอไปทำงานเป็นผู้บัญชาการกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิง บอกว่าต้องการฝึกทหารให้พ่อ”
เพราะกลัวชีฮองเฮา ธิดา และองค์รัชทายาทไม่เข้าใจ จิ่งซุ่นฮ่องเต้จึงอธิบายเพิ่มเติมให้ทุกคนฟังว่าการแข่งขันของทุกปีกององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงล้วนอยู่อันดับรั้งท้าย
หวาหยางรู้สึกประหลาดใจ
อันที่จริงชาติที่แล้วหลังกลับมาเมืองหลวง เฉินจิ้งจงเองก็ไปทำงานที่กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิงเช่นกัน
ในเวลานั้นพวกเขาสองสามีภรรยาไม่ลงรอยกัน ส่วนใหญ่เฉินจิ้งจงมักไปพักอยู่ที่กององครักษ์ฝ่ายซ้ายต้าซิง มีก็แต่ช่วงวันหยุดของทุกเดือนกับช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลต่างๆ เท่านั้นเขาถึงจะกลับมาพักอยู่ที่จวนสกุลเฉิน เวลาผ่านผันไปอย่างรวดเร็ว ปีที่สองเดือนที่ห้าเสด็จพ่อสวรรคต เดือนหกอวี้อ๋องก่อกบฏ เฉินจิ้งจงตามกองทัพใหญ่ไปปราบกบฏ หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
จู่ๆ หวาหยางก็พบว่านางไม่อาจย้อนคิดถึงเรื่องพวกนี้ ทุกครั้งขอแค่นึกขึ้นได้ว่าเฉินจิ้งจงตายไปตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น นางก็จะรู้สึกรันทด ใจอ่อน และนึกเสียใจอยู่เล็กน้อย
เหตุใดชาติที่แล้วข้าถึงไม่ทำดีกับเขาสักหน่อยนะ
นางรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกเล็กๆ นั่นปรากฏออกมาให้เห็นบนใบหน้า
องค์รัชทายาทเข้าใจผิด เขาเอ่ยถามว่า “เสด็จพี่กังวลว่าปีนี้กององครักษ์ของราชบุตรเขยจะรั้งท้าย กลัวราชบุตรเขยจะเสียหน้าอย่างนั้นหรือ”
หวาหยาง “…”
นางนึกขันไปกับการคาดคะเนไร้เดียงสาของผู้เป็นน้องชาย เห็นเสด็จพ่อเสด็จแม่ก็ต่างล้วนเข้าใจผิดว่านางกังวลในเรื่องนี้ จึงได้แต่หัวเราะเสียงเจื่อนออกมาคราหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ
“ก็มีอยู่เล็กน้อย”
จิ่งซุ่นฮ่องเต้กลับเอ่ยว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก องครักษ์ที่ถูกเลือกให้เข้าร่วมการแข่งขันทุกปีล้วนเป็นพ่อที่สุ่มเลือกออกมาจากหนังสือรายนามทหาร ถึงตอนนั้นเจ้าก็ให้ราชบุตรเขยเขียนรายชื่อองครักษ์ที่ฝีมือโดดเด่นที่สุดในหน่วยสิบคนออกมา มีพ่อคอยช่วยเหลือเบื้องหลังอีกแรง ต่อให้ไม่ใช่สามอันดับแรก แต่ก็ไม่มีทางอยู่รั้งท้ายได้”
หวาหยางยิ้มกล่าว “เสด็จพ่อทรงดีต่อลูกยิ่งนัก เพียงแต่ลูกไม่ปรารถนาจะชนะโดยไม่ประลอง ด้วยนิสัยของราชบุตรเขย เชื่อว่าเขาเองก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการเช่นนี้ ช่างเถอะเพคะ ในเมื่อเขากล้าขอรับตำแหน่งนี้จากเสด็จพ่อ ก็ให้เขาได้ทำอย่างสุดกำลังดีกว่า ถึงตอนนั้นหากกององครักษ์ของเขายังคงรั้งท้าย คนที่ขายหน้าก็เป็นตัวเขาเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับลูก”
“ดูจากผลงานของเขาในกององครักษ์หลิงโจวแล้ว พ่อเชื่อมั่นในตัวราชบุตรเขยอยู่”
ชีฮองเฮาถอนหายใจ “หวังว่าราชบุตรเขยจะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง คนอายุยังน้อย ทำอะไรล้วนหุนหันพลันแล่น”
หวาหยางคีบอาหารเงียบๆ
เฉินจิ้งจงไม่ได้หุนหันพลันแล่น เขาไม่อยากทำงานแบบขอไปทีอยู่ในหน่วยองครักษ์เสื้อแพรจริงๆ ขอเพียงสามารถทำอะไรบางอย่างให้กับทางราชสำนักได้ ต่อให้ต้องเสี่ยงถูกคนหยันเย้ยก็ไม่เป็นไร
ขนาดกับองค์หญิงเช่นนางเขาก็ยังไม่ยอมฝืนประจบเอาใจ แล้วมีหรือจะยอมเป็นเพียงบุตรชายคนที่สี่ของเฉินเก๋อเหล่า เป็นราชบุตรเขยขององค์หญิงหวาหยางจอมเกียจคร้านที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จแม้แต่อย่างเดียว
คนอย่างเขาดื้อรั้นดึงดันเสียยิ่งกว่าอะไร!