บทที่ 1
ต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าสีฟ้าคราม สายลมโชยอ่อนพัดแผ่ว ม่านโปร่งบนศาลาริมน้ำขยับไหว
ที่อยู่หลังม่านโปร่งคือโฉมสะคราญในอาภรณ์งามวิจิตรสองคน พวกนางนั่งสบายๆ อยู่หลังโต๊ะเตี้ยยาวที่มีผลไม้และน้ำชาวางอยู่ ข้างกายมีนางกำนัลห้อมล้อม คอยปรนนิบัติรับใช้อย่างขยันขันแข็ง
ที่อยู่ด้านนอกคือทหารองครักษ์เปลือยอกกำยำสองนาย พวกเขาต่อสู้กันครั้งแล้วครั้งเล่า เม็ดเหงื่อไหลย้อยลงมาตามใบหน้าหล่อเหลาได้สัดส่วน หยดลงบนกล้ามเนื้อล่ำสันของพวกเขา
ขณะที่กำลังโรมรันพันตูอยู่นั้น หนึ่งในนั้นก็ชักมือออกแล้วคว้าเอวบางๆ ของอีกฝ่าย อีกฝ่ายหน้าท้องหดเกร็ง อ่อนไหวดั่งน้ำค้างบนยอดหญ้า ตาทั้งสองข้างลุกเป็นไฟ หายใจฟืดฟาดประหนึ่งสัตว์ป่า
บรรยากาศรอบกายดูเหมือนจะเริ่มร้อนระอุขึ้นมา
หวาหยางโบกพัดทรงกลมในมือเบาๆ เงาพัดบดบังสายตาท่าทีคล้ายไม่แยแสใส่ใจแต่ความจริงกลับชื่นชมหลงใหลของนางไว้
ความจริงก่อนหน้านี้นางชิงชังการต่อสู้ กลิ่นเหงื่อเหม็นของบุรุษทำให้นางรู้สึกรังเกียจขยะแขยง
ทว่าเวลานี้นางกลับรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ที่ปรากฏอยู่ในสมองของนางคือภาพอาชาโจนทะยาน พยัคฆาห้ำหั่นกัน…รวมถึงเฉินจิ้งจง สามีที่ตายไปของนาง
เฉินจิ้งจงรูปร่างสูงเด่นแข็งแกร่งกำยำ ว่ากันว่าเขาเริ่มฝึกฝนการต่อสู้ตั้งแต่อายุหกขวบ บิดาของเขาเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ เป็นเก๋อเหล่า* สองสมัย ส่วนเหล่าพี่ชายก็สอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวนทั่นฮวา ทว่าเฉินจิ้งจงกลับตัดสินใจเดินเข้าสู่เส้นทางทหารอย่างเด็ดเดี่ยว
เขามีสีหน้าเย็นชาทว่ากลับหล่อเหลายิ่งนัก หวาหยางในยามนั้นเพราะชื่นชอบในใบหน้าของเขาจึงเห็นพ้องกับสมรสพระราชทานของเสด็จพ่อและเสด็จแม่
แต่ใครเล่าจะคาดคิด หลังเป็นคู่สามีภรรยากันขึ้นมาจริงๆ แค่ใบหน้าหล่อเหลาเพียงอย่างเดียวกลับไม่พอ วาจากิริยามารยาทของเฉินจิ้งจงแทบเรียกได้ว่าท้าทายขีดความอดทนของนางอยู่ตลอดเวลา
เวลากินอาหารเขาโปรดปรานให้มีสุราจอกเล็กวางอยู่บนโต๊ะตลอด กว่าจะดับกลิ่นไม่พึงประสงค์พวกนั้นได้ก็ไม่รู้ว่าต้องบ้วนปากซ้ำๆ กี่รอบต่อกี่รอบ ทว่าเพราะเฉินจิ้งจงเป็นคนหยาบกระด้าง ทำสิ่งใดล้วนมักขอไปที ดังนั้นยามที่ต้องร่วมเตียงกันนางก็มักจะได้กลิ่นสุราลอยมาจากตัวของเขาที่นอนข้างกันอยู่เสมอ
เฉินจิ้งจงภาคภูมิใจในฝีมือการต่อสู้ของตนเอง เขาฝึกฝนจนร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง กำยำล่ำสันเสียยิ่งกว่าอาชาเหงื่อโลหิต ที่นางเคยพบเห็น ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นเขาเป็นครั้งแรกล้วนต้องเอ่ยปากชมว่า ‘องอาจห้าวหาญ’ ออกมาคราหนึ่ง
เพราะขุนนางบู๊ล้วนชอบออกเหงื่อ ดังนั้นทุกครั้งหลังเฉินจิ้งจงกลับมาจากการปฏิบัติหน้าที่ เขาจึงพากลิ่นเหงื่อกลับมาด้วยเสมอ
ขอเพียงเขารู้จักใส่ใจ ปัญหาอันใดย่อมไม่มี แค่ไม่ต้องให้นางเผชิญหน้ากับกลิ่นเหม็นพวกนั้นก็เป็นอันใช้ได้ ทว่าเฉินจิ้งจงกลับไม่ให้ความสำคัญ บางครั้งก็ลืมสระผมหรือไม่ก็ไม่อาบน้ำเลย ทิ้งตัวนอนลงบนตั่งหอมของนางไปทั้งอย่างนั้น หวาหยางถึงกับรำคาญผิวหยาบๆ และเนื้อหนาๆ ของเขาที่มาทำให้ผ้าปูที่นอนแพรไหมชั้นเลิศของนางเสียหาย
พ่อสามีรวมถึงเหล่าพี่ชายต่างพูดคุยเหตุผลกับเขาอย่างใจเย็น ทว่าเขากลับเมินเฉยเอ่ยปากด้วยถ้อยวาจาเย็นชา ทำเอาบรรยากาศภายในบ้านชะงักงัน นางเองก็พลอยกระอักกระอ่วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปด้วย