หวาหยางเป็นคนรักหน้าตา ไม่ปรารถนาจะให้ตนเองต้องมีชื่อเสียงแปดเปื้อนว่าเลี้ยงดูชายบำเรอไว้
หากนางชื่นชอบอะไรเช่นนั้นก็ว่าไปอย่าง เป็นถึงองค์หญิงใคร่ทำสิ่งใดย่อมสามารถทำสิ่งนั้นได้ตามประสงค์ ไม่จำเป็นต้องสนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น ปัญหาก็คือนางไม่สนใจเรื่องเลี้ยงดูชายบำเรอนั่นเลยแม้แต่น้อย
นั่นก็เพราะนางได้พบเจอบุรุษสามประเภทที่โดดเด่นที่สุดในใต้หล้าแล้ว
ประเภทแรกคือแม่ทัพอย่างเฉินจิ้งจง ทักษะการต่อสู้สูงล้ำเหนือผู้ใด วีรชนผู้กล้าในบทประพันธ์ทั้งหลายล้วนเป็นเช่นนี้
ทว่าวีรชนผู้กล้าเองก็ต้องกินข้าวใช้ชีวิต วีรชนผู้กล้าเองก็มีจุดที่ชวนให้คนรังเกียจชิงชัง
ประเภทที่สองคือบัณฑิตเฉกเช่นพ่อสามี พี่ชายสามีของนางทั้งสอง วิญญูชนผู้อยู่ในกฎเกณฑ์ กิริยาท่าทางงดงาม
ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้สมบูรณ์พร้อมเหมือนอย่างที่เห็น นางเคยเห็นพ่อสามีตกใจงูหนีไปหลบอยู่หลังภรรยา เคยเห็นพี่ชายสามีของนางพวกนั้นตีลังกาหกล้มหกลุก กระเซอะกระเซิงอยู่ท่ามกลางลมฝน
ประเภทสุดท้ายก็คืออดีตฮ่องเต้ เสด็จพ่อของนาง บุรุษผู้อยู่เหนือผู้คนทั่วหล้า
มีเกียรติแล้วเช่นไร เสด็จพ่อผู้ฉลาดปราดเปรื่องมีคุณธรรมดูเหมือนจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี ความจริงกลับเป็นเพียงบุรุษที่หลงใหลอยู่กับกามราคะ สุดท้ายก็สิ้นใจอยู่บนเตียงของอิสตรี
สิ่งที่บุรุษในใต้หล้านี้ปรารถนา สูงสุดก็แค่การขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ หรือการได้ตำแหน่งขุนนางระดับสูง บางคนแค่ฝันถึงมัน บางคนใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อพยายามให้ได้มา
บุรุษที่จัดว่าประเสริฐที่สุดทั้งสามประเภท หวาหยางล้วนเคยพบเห็นมาหมดสิ้น บางครั้งนางก็นับถือ บางครั้งก็คิดว่าแค่เท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้ยังมีบุรุษแบบใดอีกที่จะเข้าตานาง สามารถทำให้นางยินดีร่วมเรียงเคียงหมอนด้วย
ท่านอาหญิงของนางไม่ใส่ใจ หมายใจก็เพียงความสำราญบนตั่งเตียงเท่านั้น
ทว่าหวาหยางใส่ใจ บุรุษที่ไม่เข้าตานาง ไหนเลยจะมีคุณสมบัติใกล้ชิดนาง ขึ้นไปอยู่บนเตียงตั่งของนางได้
ขณะที่สองอาหลานยังคงหัวเราะพูดคุยเรื่อง ‘ชายบำเรอ’ พ่อบ้านเรือนหน้าก็รีบร้อนเดินเข้ามา มองหวาหยางด้วยสายตาเป็นกังวล ก้มหน้ารายงาน
“เรียนต้าจ่างกงจู่ จ่างกงจู่* เมื่อครู่สกุลเฉินได้ส่งคนมาบอก…บอกว่าใต้เท้าราชเลขาธิการ…สิ้นแล้วขอรับ”
เกิดเสียง ‘ตุ้บ’ ดังขึ้น พัดทรงกลมในมือของหวาหยางหล่นตกพื้น หยกที่แขวนอยู่ปลายด้ามแตกเป็นสองเสี่ยง
ราชเลขาธิการเฉิน…บิดาของเฉินจิ้งจง พ่อสามีของนาง
หากจะถามว่าคนที่หวาหยางนับถือมากที่สุดในชาตินี้คือผู้ใด แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเฉินถิงเจี้ยน พ่อสามีของนางผู้นี้
พ่อสามีของนางเป็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ อายุเพียงสิบหกก็สอบผ่านได้เป็นบัณฑิตจวี่เหรินแล้ว พออายุสิบเก้าก็ได้เป็นจ้วงหยวน เพียงช่วงอายุสี่สิบก็ได้เป็นเก๋อเหล่าแห่งสภาขุนนาง
ตอนหวาหยางแต่งเข้าสกุลเฉิน เป็นช่วงที่อดีตราชเลขาธิการชราภาพและล้มป่วยบ่อยครั้ง ทุกคนต่างคิดว่าพ่อสามีของนางต้องรับช่วงดูแลสภาขุนนางต่อเป็นแน่