ในช่วงเวลาสำคัญมารดาของพ่อสามีก็ลาจากโลกนี้ไปกะทันหัน ว่ากันตามระเบียบข้อบังคับ พ่อสามีของนางจำต้องกลับบ้านไว้ทุกข์สามปี
หวาหยางแม้จะเป็นองค์หญิงแต่ก็ต้องติดตามครอบครัวของสามีไปใช้ชีวิตอย่างยากลำบากที่บ้านเกิดของพวกเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันหลี่นางแทบจะทนไม่ไหวแล้ว แต่พ่อสามีกลับออกจากเมืองหลวงอย่างสงบเยือกเย็นโดยไม่รู้สึกเสียใจหรือลังเลใจเลยที่ต้องสละตำแหน่งในขณะที่เขากำลังจะไปถึงจุดสูงสุด
หลังการไว้ทุกข์จบสิ้น พ่อสามีของนางก็พาทุกคนกลับมายังเมืองหลวง
ครั้งนี้เขาได้ขึ้นเป็นราชเลขาธิการสภาขุนนางอย่างสะดวกราบรื่น อุทิศตนรับใช้ราชสำนักต่อไปนับแต่นั้น
ตอนเสด็จพ่อสวรรคต อวี้อ๋องก่อกบฏ พ่อสามีของนางวางแผนอยู่ในค่าย ควบคุมราชสำนักภายในอย่างมั่นคง และปราบปรามการก่อกบฏภายนอก
ด้วยเพราะความเคารพเลื่อมใสอีกฝ่ายเช่นนี้ ถึงเฉินจิ้งจงจะตายไป ต่อให้นางย้ายกลับมาพำนักอาศัยยังจวนองค์หญิงของตนเองตามเดิม หวาหยางก็ยังคงรักษาสถานะลูกสะใภ้สกุลเฉินไว้ ทุกครั้งที่พบเจอราชเลขาธิการ นางก็ยังคงเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ท่านพ่อ’ ด้วยความเคารพ
พ่อสามีของนางคือเสาหลักของแผ่นดิน ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์!
ดังนั้นหวาหยางจึงไม่เคยคิดว่าหลังจากพ่อสามีตายไปจะมีขุนนางราชสำนักกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นถวายฎีกากล่าวโทษพ่อสามีนาง
และยิ่งนึกไม่ถึงว่าน้องชายนางผู้เป็นฮ่องเต้ที่ให้ความเคารพพ่อสามีมาโดยตลอดจะมีราชโองการริบทรัพย์บ้านสกุลเฉิน
พี่ใหญ่เฉินป๋อจงถูกใส่ร้ายจนต้องเข้าคุกก่อนจะถูกลงโทษจนถึงแก่ความตาย
แม่สามีไม่อาจทนแบกรับความสูญเสียใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นได้ สุดท้ายก็เสียชีวิต
สมาชิกบ้านสกุลเฉินที่เหลือล้วนถูกเนรเทศไปที่ชายแดน
เดือนสิบสองอากาศหนาวเหน็บ หิมะโถมกระหน่ำ
หวาหยางมิอาจนิ่งเฉยดูดาย นางออกจากเมืองหลวงไปอย่างเงียบๆ หยุดรออยู่บนเส้นทางที่บ้านสกุลเฉินจำเป็นต้องเดินผ่าน
นางยืนอยู่ริมถนน สาวใช้ข้างกายเพราะกลัวนางเหน็บหนาวจึงห่มคลุมร่างนางไว้ด้วยเสื้อคลุมหนังสุนัขจิ้งจอกหนาๆ อีกทั้งยังยัดเตาพกสำริดอุ่นร้อนไว้ในอ้อมแขนของนาง
เพียงไม่นานหวาหยางก็เห็นบรรดาญาติที่เคยพูดคุยหัวเราะร่วมกับนางในบ้านเหล่านั้น ทุกคนต่างสวมชุดนักโทษสีขาวเนื้อบาง มือเท้าถูกตีตรวนเดินมุ่งหน้ามาทางนาง