พี่ใหญ่ที่เป็นจ้วงหยวนยามนี้ไม่อยู่แล้ว ส่วนพี่สามอดีตทั่นฮวาที่เคยอบอุ่นอ่อนโยน เจ้าชู้กรุ้มกริ่ม เวลานี้ก็ไม่สดใสเหมือนก่อน ใบหน้าไร้ชีวิตชีวา ทั้งๆ ที่เห็นนาง แต่เขากลับทำเหมือนไม่เห็น
บรรดาพี่สะใภ้ทั้งหลายต่างร่ำไห้หลั่งน้ำตา มิใช่เพื่อตนเอง หากแต่ขอให้นางช่วยทูลต่อฮ่องเต้ให้ทรงเมตตาลูกๆ ของพวกนาง
หวาหยางกับเฉินจิ้งจงเป็นสามีภรรยากันมาสี่ปี ช่วงเวลากว่าครึ่งล้วนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อาภรณ์ไว้ทุกข์ในบ้านหลังเก่า หลังจากนั้นเพราะต้องห่างกันบ่อยครั้งจึงไม่มีทายาทสืบสกุล ทว่านางกลับมีหลานชายสามคน หลานสาวสองคน
ยามนี้พวกเขาเดินผ่านหน้านางไป บ้างก็มีสีหน้าเฉยชา บ้างก็น้ำตาร่วงเผาะราวกับสายฝน
หวาหยางยืนอยู่กลางพายุหิมะ มองดูพี่ชายพี่สะใภ้ที่เคยรู้จักมักคุ้น หลานชายหลานสาวผู้บริสุทธิ์เดินห่างออกไปทีละน้อย สุดท้ายก็ลับหายไปจากสายตา
“หิมะตกหนักแล้ว พวกเรากลับกันเถอะเพคะ” สาวใช้ข้างกายสองตาแดงก่ำ ประคองพานางขึ้นรถม้า
สายตาของหวาหยางจับจ้องไปยังกลางถนนหลวง
หิมะขาวสล้าง รอยเท้ากระจัดกระจาย คาดว่านี่คงจะเป็นร่องรอยสุดท้ายที่บ้านสกุลเฉินทิ้งไว้ในเมืองหลวงแห่งนี้แล้ว
ทว่ารอยเท้าเหยียดยาวนี้ไม่นานก็ถูกหิมะกลบกลืนหมดสิ้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นนางก็ยังคงมองเห็นใบหน้าคุ้นเคยเหล่านั้นได้ชัดถนัดตา
‘ดูแลตนเองด้วย ข้าไปล่ะ’
ในวันที่เฉินจิ้งจงนำทัพออกเดินทาง แสงอาทิตย์ยามเช้าหม่นหมอง เขายืนกล่าวอำลานางอยู่เหนือหัวเตียง
‘เจ้าสี่เป็นคนหยาบกระด้าง หากมีอันใดที่ทำให้องค์หญิงไม่สบายพระทัย กระหม่อมจะจัดการลงโทษเขาเอง’
ในวันยกน้ำชา เสียงของพ่อสามีหนักแน่นตรงไปตรงมา
‘เรือนหลังนี้ต่อเติมใหม่ เตียงตู้โต๊ะเก้าอี้หรือก็ทำขึ้นใหม่ หากองค์หญิงมีสิ่งใดไม่พอพระทัย หม่อมฉันจะให้คนมาเปลี่ยน’
เพิ่งย้ายมาอยู่บ้านเก่าได้ไม่ทันไร แม่สามีก็พานางไปดูเรือนพำนักก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยเพราะเกรงว่านางจะไม่คุ้นชิน
‘กระหม่อมพูดไม่เข้าหูเอง ขอองค์หญิงอย่าได้ทรงตำหนิที่น้องสี่โมโหโทโส’
‘องค์หญิงระวัง เจ้าห่านนั่นมันกัดคน!’
‘นี่คือดอกท้อที่ข้าเพิ่งเด็ดมาใหม่ ท่านอาสะใภ้สี่ชอบหรือไม่’
หวาหยางหลับตา
มิควรเป็นเช่นนี้
บทลงเอยของบ้านสกุลเฉินมิควรเป็นเช่นนี้!