บทที่ 2
เจี่ยนเหยียนรู้สึกว่าดวงตาของสวีจ้งเซวียนเป็นเหมือนทะเลสาบในวันฟ้าครึ้ม สลัวมัวและดูลึกไม่เห็นก้นบึ้ง มองไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่าเป็นคนเช่นไร
แต่ก็จริง คนที่อายุเพียงเท่านี้ก็สามารถครองตำแหน่งรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายของกรมพิธีการได้แล้วจะเป็นแค่คนธรรมดาไปได้อย่างไรกัน
นางหันหน้าหนี ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจว่าวันหน้านางจะอยู่ให้ห่างจากสวีจ้งเซวียนสักหน่อยดีกว่า นางมองไม่ออกว่าเขาเป็นคนเช่นไร แต่เวลาที่เขามองมานางกลับรู้สึกว่าเขาสามารถมองตนเองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ทว่าความจริงสายตาของสวีจ้งเซวียนแค่กวาดผ่านเจี่ยนเหยียนไปครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นก็มองไปยังสวีเมี่ยวหนิงที่ยืนอยู่ด้านข้างนางแทน
สวีเมี่ยวหนิงรู้สึกหวาดกลัวพี่ใหญ่ของนางมาโดยตลอดอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเขาก็ขนลุกซู่ สองมือกอดแขนเจี่ยนเหยียนแน่นคล้ายขอความช่วยเหลือขณะเอ่ยเสียงตะกุกตะกักว่า “พี่…พี่ใหญ่ นี่…นี่คือ…ญาติผู้พี่ของข้าเจ้าค่ะ”
เจี่ยนเหยียนลอบทอดถอนใจ คำแนะนำนี้ของสวีเมี่ยวหนิงไม่ได้เรื่องจริงๆ ไร้นามไร้สกุล แค่คำว่า ‘ญาติผู้พี่ของข้า’ นับเป็นอะไรกัน
ดังนั้นนางจึงย่อกายลงพลางเอ่ยเสียงเบาโดยมี ‘เครื่องประดับ’ อย่างสวีเมี่ยวหนิงกอดแขนเอาไว้ “เจี่ยนเหยียนคารวะคุณชายใหญ่”
เช่นนี้ก็ถือว่าข้าแนะนำตนเองแล้วกระมัง
สวีจ้งเซวียนเองก็ประสานมือคารวะนางกลับพร้อมเอ่ยเรียกอย่างสุภาพและห่างเหิน “คุณหนูเจี่ยน”
น้ำเสียงของเขาใสกระจ่างประหนึ่งเสียงทองคำกับหยกดังกระทบกัน
ยามนั้นเจี่ยนเหยียนจึงถามสวีเมี่ยวหนิงเบาๆ ว่าคุณหนูที่ยืนอยู่ข้างสวีจ้งเซวียนผู้นั้นเป็นใคร หลังได้รู้ว่าเป็นอู๋จิ้งเซวียนนางก็ผุดรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมาบนใบหน้า ย่อกายลงเอ่ย “คารวะคุณหนูอู๋”
ก่อนหน้านี้ดวงตาวาววับของอู๋จิ้งเซวียนเอาแต่มองสำรวจเจี่ยนเหยียนเงียบๆ เมื่อเห็นเจี่ยนเหยียนคารวะให้นาง นางจึงรีบคารวะตอบเช่นกัน บนใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนหวาน “คารวะคุณหนูเจี่ยน”
หลังทักทายกันเรียบร้อยเจี่ยนเหยียนก็รู้สึกว่าตนเองกับพวกเขาไม่มีอะไรให้พูดคุยกัน จึงยิ้มน้อยๆ หันหน้าไปด้านข้าง ทอดสายตามองดูใบอ่อนสีเหลืองที่งอกออกมาจากกิ่งของต้นการบูรแทน
เสียงของสวีจ้งเซวียนดังขึ้นอย่างนุ่มนวล “น้องหญิงสามมาหาจิ่นเอ๋อร์หรือ”
สวีเมี่ยวหนิงแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว มือบีบแขนเจี่ยนเหยียนแน่นขึ้นกว่าเดิม เหตุใดข้าต้องหาเรื่องตายวิ่งมาอวดถุงพกใบใหม่ที่เพิ่งได้มากับน้องหญิงสี่ยามนี้ด้วย คราวนี้ถึงได้เจอหน้าพี่ใหญ่ตรงๆ
เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรก็มาแล้ว ต่อให้ต้องโกหกต่อหน้าก็ต้องทำให้พี่ใหญ่เชื่อข้าให้ได้!
ดังนั้นนางจึงปั้นหน้าอมทุกข์ ตอบไปว่า “จะ…เจ้าค่ะ ข้า…ข้าอยากให้น้องหญิงสี่ได้เจอญาติผู้พี่ข้า”
“เมื่อวานจิ่นเอ๋อร์เป็นหวัด เพิ่งกินยาพักผ่อนไป เจ้ารอสักพักค่อยมาใหม่เถอะ”
สวีเมี่ยวหนิงประหนึ่งรอดตาย แทบอยากดึงตัวเจี่ยนเหยียนหันตัวกลับเดินจากไปทันที แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงราบเรียบของสวีจ้งเซวียนดังขึ้นอีกครั้ง…
“จิ้นเฟิ่งเทียที่ข้าให้เจ้าคัดเมื่อไม่กี่วันก่อนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”