เจี่ยนเหยียนผงกศีรษะ สวีจ้งเซวียนอายุเพียงสิบแปดปีก็สอบผ่านขุนนางทั้งสามสนามเป็นอันดับหนึ่ง แค่นี้ก็เป็นเด็กเทพในตำนานแล้ว ซ้ำจะต้องเป็นเด็กเทพขั้นสุดยอดผู้หนึ่งแน่ๆ
จากนั้นนางก็คิดต่อว่ารุ่นพี่ที่นางแอบรักเมื่อภพชาติก่อนก็เป็นเด็กเทพเหมือนกัน สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นอันดับหนึ่งของเมือง ซ้ำยังได้คะแนนเต็มทุกวิชา ดังนั้นต่อให้เขาจะเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว แต่รูปภาพของเขาก็ยังคงถูกแปะไว้ในป้ายประกาศของโรงเรียน คอยเฆี่ยนตีรุ่นน้องอย่างพวกนางให้คอยเอาเขาเป็นแบบอย่างตลอดเวลา
เพราะว่าเคยพบเจอเด็กหัวกะทิมาแล้ว ดังนั้นพอได้ยินเรื่องราวอันทรงเกียรติเหล่านี้ของสวีจ้งเซวียน เจี่ยนเหยียนจึงดูเฉยชาอย่างมาก
สวีเมี่ยวหนิงจึงยิ่งนับถือเจี่ยนเหยียนมากกว่าเดิม เพราะคนอื่นๆ ตอนที่เพิ่งได้ยินเรื่องพวกนี้ของพี่ใหญ่นางไม่มีผู้ใดไม่แสดงสีหน้าตกตะลึงหรือสีหน้านับถืออย่างมากออกมา
“พี่สาว” สวีเมี่ยวหนิงกลับมากอดแขนเจี่ยนเหยียนแน่นอีกครั้ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยสีหน้าจริงใจ และเอ่ยอย่างจริงจัง “วันหน้าข้าจะติดตามท่าน!” เพราะว่าญาติผู้พี่นางไม่กลัวพี่ใหญ่ วันหน้าขอแค่เป็นสถานการณ์ที่มีพี่ใหญ่นางอยู่ นางก็จะลากญาติผู้พี่ไปด้วยกัน หากเห็นว่าสถานการณ์ไม่เข้าทีก็จะหลบไปซ่อนอยู่ด้านหลังญาติผู้พี่ทันที
เมื่อเจี่ยนเหยียนได้ยินคำพูดเด็กน้อยเช่นนี้จากสวีเมี่ยวหนิงก็อดหัวเราะออกมาอีกครั้งไม่ได้ หลังหัวเราะก็ตบหลังมือนางเอ่ยว่า “หากข้าเป็นเจ้า ยามนี้จะยังไม่คิดถึงเรื่องว่าจะติดตามใคร แต่จะรีบกลับไปคัดจิ้นเฟิ่งเทียให้เสร็จก่อน นั่นต่างหากจึงจะถูกต้อง”
หลังได้ยินเช่นนั้นสวีเมี่ยวหนิงก็ร้องโอดครวญออกมายาวๆ ดวงตาที่ทอประกายระยับมืดหม่นลงไปทันที
และขณะเดียวกับที่เจี่ยนเหยียนกับสวีเมี่ยวหนิงเดินไปจากเรือนหนิงชุ่ย อู๋จิ้งเซวียนก็เอ่ยถามสวีจ้งเซวียนขึ้นมาอย่างเขินอาย “พี่ชาย ข้ามีเรื่องเกี่ยวกับการคัดอักษรบางอย่างต้องการสอบถามท่าน ท่าน…ท่านพอจะมีเวลาหรือไม่” นางรู้ว่าสวีจ้งเซวียนชอบคัดอักษร ดังนั้นระยะนี้นางจึงคอยฝึกคัดอักษรอย่างยากลำบาก เพราะคิดอยากอาศัยเรื่องนี้เป็นตัวกลางไปมาหาสู่กับเขาบ่อยๆ
สวีจ้งเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าตอนที่หันหน้าไปกลับมองไม่ออกสักนิด
“ข้ายังมีธุระบางอย่าง ตอนนี้ยังไม่ว่าง” เสียงของเขาฟังดูนุ่มนวล แต่ต่อให้นุ่มนวลกว่านี้ก็ยังเป็นประโยคปฏิเสธอยู่ดี “หากญาติผู้น้องชอบคัดอักษร ทางข้ายังมีแบบคัดอักษรอยู่อีก ไว้ให้ฉีซังนำไปมอบให้เจ้าอีกทีก็แล้วกัน”
รอยยิ้มบนใบหน้าอู๋จิ้งเซวียนแข็งค้างไป ทว่าก็ได้แต่ตอบรับว่า “เช่นนั้นก็รบกวนพี่ชายแล้ว”
สวีจ้งเซวียนผงกศีรษะให้นาง จากนั้นก็หันตัวเดินไปทางห้องหนังสือของตนเอง ฉีซังที่ยืนรออยู่ด้านข้างก็รีบก้าวตามไปเช่นกัน
ห้องหนังสือของสวีจ้งเซวียนอยู่ด้านหลังป่าเหมย ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิดอกเหมยเหี่ยวเฉาไปหมดแล้ว ใบไม้ก็ยังไม่ทันงอกออกมา มีเพียงกิ่งไม้สีน้ำตาลคดงอไหวไปมาในสายลมฤดูใบไม้ผลิ
อู๋จิ้งเซวียนยืนอยู่บนขั้นบันไดหินด้านหน้าเรือนหนิงชุ่ย สายตามองตามเงาร่างของสวีจ้งเซวียนที่เดินเข้าไปในผืนป่าเหมย จนกระทั่งผ่านประตูวงเดือนและลับหายไปในที่สุด
สาวใช้เสวี่ยหลิ่วที่ยืนอยู่ด้านหลังนางเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ลอบถอนหายใจ ก่อนเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “คุณหนู พวกเราก็กลับไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
สายลมพัดเส้นผมตรงจอนผมของอู๋จิ้งเซวียนขึ้นมาปัดผ่านใบหน้าขาวกระจ่างอ่อนนุ่มของนางอย่างแผ่วเบา
นางเก็บสายตากลับมาแล้วก้าวลงจากขั้นบันไดหิน