ช่วงพลบค่ำ รอตอนที่สวีจ้งเซวียนไปถึงเรือนซงเฮ่อของอู๋ซื่อ ก็ได้เห็นว่าภายในห้องมีคนที่เขาไม่รู้จักเพิ่มขึ้นมาสามคน
แม้เขาจะไม่รู้จักหญิงวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มผู้นั้น แต่คิดว่าก็คงเป็นเจี่ยนฮูหยินกับบุตรชายคนโตของนาง ส่วนเด็กสาวอีกคนก็คือคนที่เขาได้เจอที่ด้านหน้าประตูเรือนหนิงชุ่ยเมื่อตอนกลางวัน
เขาเก็บสายตาสำรวจของตนเองกลับมาเหมือนไม่มีเรื่องอะไร จากนั้นก็คารวะให้อู๋ซื่อ “หลานคารวะท่านย่า”
อู๋ซื่อกำลังนั่งกอดเด็กสาวชุดสีแดงอยู่บนตั่งหลัวฮั่น บนใบหน้าประดับรอยยิ้มใจดี เมื่อเห็นสวีจ้งเซวียนคารวะให้นาง นางก็โบกมือยิ้มเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้ามีธุระยุ่ง เพียงแต่วันนี้ครอบครัวพี่สาวของน้าสะใภ้ห้าเจ้ามาถึงจวน ก็เลยเรียกเจ้ามาด้วย ทุกคนได้มากินอาหารร่วมกันและพบหน้ากันย่อมเป็นเรื่องดี”
เจี่ยนเหยียนอยู่ด้านข้างได้ยินแล้วรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
ตามหลักแล้วอู๋ซื่อเป็นย่าของสวีจ้งเซวียน ทว่าเหตุใดนางฟังอู๋ซื่อพูดเช่นนี้กลับคล้ายกำลังอธิบายให้สวีจ้งเซวียนฟัง ซ้ำเวลาอู๋ซื่อพูดกับสวีจ้งเซวียนยังแฝงความระมัดระวังและประจบประแจงเอาไว้ ไม่มีความสนิทสนมอย่างที่ย่าหลานควรมีให้กันเลย
และช่วงที่เจี่ยนเหยียนกำลังประหลาดใจนั้นเอง จี้ซื่อก็พาสวีจ้งเซวียนไปทำความรู้จักเจี่ยนฮูหยินแล้ว ก่อนเรียกให้เจี่ยนชิงกับเจี่ยนเหยียนมาหาต่อ
เจี่ยนชิงจะต้องได้ยินคนเล่าประวัติอันเก่งกาจของเด็กหัวกะทิสวีมาแล้วเป็นแน่ สายตาที่มองสวีจ้งเซวียนในยามนี้จึงเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ได้เห็นคิงคองยักษ์ในสวนสัตว์เป็นครั้งแรก มีความหวั่นเกรง ทว่าก็ยังอยากเข้าไปดูใกล้ๆ และพูดคุยด้วย
เมื่อถึงคราวเจี่ยนเหยียนนางกลับแค่หลุบตาลงน้อยๆ ไม่ได้มองสวีจ้งเซวียน ก่อนจะย่อกายคารวะอย่างสำรวมพร้อมเอ่ยเรียกสั้นๆ ว่า “คุณชายใหญ่”
สวีจ้งเซวียนเองก็ประสานมือตอบและแค่เอ่ยเรียก “คุณหนูเจี่ยน” กระชับสั้นเช่นกัน เท่านี้ก็นับว่าทั้งสองคนได้ทักทายกันแล้ว
จากนั้นก็ได้ไปทักทายฮูหยินกับบุตรชายบุตรสาวของบ้านที่เหลือของสกุลสวีต่อ หลังพูดคุยกันสักพักก็มีสาวใช้กับบ่าวหญิงอาวุโสเดินเข้ามาตั้งโต๊ะอาหาร
อาหารมื้อหนึ่ง ฉากหน้าก็นับว่ากินกันอย่างปรองดองมีความสุข หลังกินเสร็จเจี่ยนฮูหยินก็พาเจี่ยนเหยียนไปนั่งร่วมพูดคุยกับอู๋ซื่อ หลังสนทนาเรื่อยเปื่อยกันครู่หนึ่งถึงได้บอกลากลับไป
ทันทีที่พวกนางจากไป อู๋ซื่อก็เอนตัวลงวางแขนข้างหนึ่งเท้าอยู่บนหมอนหนุนสีน้ำเงินเข้มทอลายมังกรตัวเล็ก สนทนาสัพเพเหระกับจู้หมัวมัวคนสนิทของตนเอง แต่ก็แค่พูดเรื่องครอบครัวเจี่ยนฮูหยินเท่านั้น แน่นอนว่าความหมายโดยนัยแฝงอาการดูถูกพวกเจี่ยนฮูหยินที่เป็นแค่ตระกูลพ่อค้าด้วย
จู้หมัวมัวย่อมเอ่ยสนับสนุนคำพูดของนาง
หลังจากนั้นสักพักอู๋ซื่อก็ตะแคงร่างเป็นท่าที่สบายกว่าเดิม ครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ด้านเซวียนเอ๋อร์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
จู้หมัวมัวยิ้มเอ่ยตอบ “หลายวันมานี้บ่าวคอยสังเกตดู คุณหนูอู๋ชอบคุณชายใหญ่เข้าจริงๆ แล้วเจ้าค่ะ ขอแค่คุณชายใหญ่กลับมาวันหยุด คุณหนูอู๋ก็จะหาโอกาสไปพบหน้าคุณชายใหญ่เสมอ คุณหนูอู๋หน้าตาน่ามองน่าเอ็นดู อ่อนโยนบริสุทธิ์ราวกับปั้นมาจากน้ำเช่นนี้ บุรุษผู้ใดจะไม่ชมชอบได้ หากได้ใกล้ชิดกันบ่อยครั้งยังจะต้องกลุ้มใจว่าคุณชายใหญ่จะไม่ชอบคุณหนูอู๋อีกหรือเจ้าคะ”
อู๋ซื่อได้ยินแล้วก็ผงกศีรษะเห็นด้วย