อู๋จิ้งเซวียนเป็นหลานสาวจากบ้านพี่ชายนาง ตอนที่พี่ชายนางต้องออกจากเมืองหลวงไปรับตำแหน่งที่ต่างเมืองได้พาอู๋จิ้งเซวียนมาพบนางด้วย ครั้งแรกที่นางได้เห็นอู๋จิ้งเซวียนก็นึกชอบนิสัยสงบเสงี่ยมอ่อนโยนของอีกฝ่าย ทั้งยังเห็นว่าหลานสาวผู้นี้มีรูปโฉมน่ามอง กิริยาก็อ่อนหวาน จึงรั้งตัวอีกฝ่ายไว้ที่จวนสกุลสวี
แต่ความจริงอู๋ซื่อนั้นมีเจตนาส่วนตัวอยู่ นางอยากจะจับคู่อู๋จิ้งเซวียนกับสวีจ้งเซวียน เช่นนี้มิใช่ว่าครอบครัวจะได้เกี่ยวดองกันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นหรอกหรือ ดังนั้นนางจึงรั้งอู๋จิ้งเซวียนเอาไว้เลี้ยงดูข้างกาย ให้ได้พบหน้าสวีจ้งเซวียนทุกเช้าค่ำ ให้ต่างฝ่ายต่างตกหลุมรักกันย่อมดีที่สุด
“จู้หมัวมัว” อู๋ซื่อคิดๆ แล้วก็เอ่ยสั่ง “ช่วงนี้อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นมาแล้ว หาสักวันตัดชุดฤดูใบไม้ผลิสีสันสดใสให้เซวียนเอ๋อร์สักหลายๆ ตัว แล้วก็ซื้อเครื่องประดับใหม่ๆ มาด้วย เงินค่าตัดชุดกับซื้อเครื่องประดับให้เอาจากส่วนของข้าไปใช้”
จู้หมัวมัวขานรับ
อู๋ซื่อเอ่ยต่อ “ข้านึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เมื่อครู่นี้ได้เห็นคุณหนูสกุลเจี่ยนผู้นั้น รูปโฉมเองก็นับว่างดงาม พูดกันตามตรงก็นับว่าข่มเซวียนเอ๋อร์ลงไปได้ ทั้งยังมีกิริยามารยาทสง่างาม ดูน่าเอ็นดู จู้หมัวมัว เจ้าว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า…”
จู้หมัวมัวรู้ว่าผู้เป็นนายกำลังกังวลสิ่งใดจึงรีบยิ้มเอ่ยขึ้นมาทันที “จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ แม้คุณหนูเจี่ยนจะรูปโฉมงดงาม แต่ว่าก็เพิ่งอายุไม่เท่าไร…อายุสิบสาม แค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้นเอง! คุณชายใหญ่อายุยี่สิบสี่ปีแล้ว ทั้งสองคนอายุห่างกันสิบเอ็ดปี คุณชายใหญ่จะต้องตานางได้อย่างไรกัน ท่านคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ!”
“แต่ข้าก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี” อู๋ซื่อถอนหายใจ “ข้าคงคิดมากไป แต่เมื่อครู่นี้ในงานเลี้ยง ข้าเห็นสายตาของเจี่ยนฮูหยินเอาแต่มองไปที่เซวียนเกอเอ๋อร์ ตอนที่พูดคุยเรื่อยเปื่อยยังเคยถามเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของเซวียนเกอเอ๋อร์อีกด้วย”
“เจี่ยนฮูหยินก็แค่เห็นว่าคุณชายใหญ่อายุปาเข้าไปยี่สิบสี่ปีแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน ก็เลยถามออกมาด้วยความประหลาดใจเฉยๆ เจ้าค่ะ” จู้หมัวมัวเอ่ยปลอบอู๋ซื่อ “ท่านคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ”
อู๋ซื่อผงกศีรษะเบาๆ “ขอให้เป็นเช่นนั้นก็แล้วกัน”
แต่ความจริงความกังวลของอู๋ซื่อนั้นเป็นเรื่องจริง เจี่ยนฮูหยินมีความคิดจะจับสวีจ้งเซวียนอยู่จริงๆ
ตอนนี้นางกำลังนอนตะแคงอยู่บนตั่ง ฟังเรื่องที่ให้เจินจูไปสืบข่าวมา
“…สกุลสวีมีทั้งหมดห้าบ้าน ในจำนวนนั้นนายท่านใหญ่ นายท่านสาม กับนายท่านห้าสามีของน้องสาวท่านต่างไม่อยู่แล้ว นายท่านสี่ทำการค้า ออกไปก่อตั้งอีกตระกูล ได้พาคนในครอบครัวย้ายออกไปจากจวนนานแล้ว ดังนั้นในบรรดาบุตรชายรุ่นก่อนจึงเหลือแค่นายท่านรองที่ยังอาศัยอยู่ในจวน ด้วยเหตุนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสวีจึงมอบเรือนเจาฮุยเรือนหลักของจวนสกุลสวีให้บ้านรอง ส่วนตัวนางไปอยู่ที่เรือนซงเฮ่อข้างๆ ส่วนที่อาศัยของฉินซื่อจากบ้านใหญ่กับอวี๋ซื่อของบ้านสามก็อยู่ในเรือนเล็กสองหลังด้านหลังเรือนซงเฮ่ออีกทีเจ้าค่ะ”
“เหตุใดถึงไม่ใช่บ้านใหญ่ที่อาศัยอยู่เรือนเจาฮุย แต่เป็นบ้านรองแทนเล่า” เจี่ยนฮูหยินประหลาดใจอย่างมาก “ต่อให้นายท่านใหญ่จะไม่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรคุณชายใหญ่ก็มีตำแหน่งขุนนางสูงสุดในจวนสกุลสวี ทั้งยังเป็นหลานชายคนโต ตามหลักแล้วบ้านใหญ่ควรจะอาศัยอยู่ในเรือนเจาฮุยจึงจะถูก”
“ฮูหยิน” เจินจูรีบเอ่ยอธิบาย “เรื่องนี้มีสาเหตุเจ้าค่ะ เดิมฮูหยินผู้เฒ่าสวีไม่ใช่ภรรยาเอกของนายท่านผู้เฒ่าสวี นางเป็นแค่ภรรยาเอกคนที่สองเท่านั้น แต่นายท่านใหญ่สวีเป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกคนแรกของนายท่านผู้เฒ่าสวี ตัวฮูหยินผู้เฒ่าสวีเองให้กำเนิดแค่นายท่านรองกับนายท่านห้าเท่านั้น นายท่านสามกับนายท่านสี่ล้วนเกิดจากอนุภรรยา มิหนำซ้ำบ่าวยังได้ยินมาว่าคุณชายใหญ่สวีก็ไม่ใช่บุตรของฉินซื่อเหมือนกัน เดิมเป็นบุตรของอนุภรรยาของนายท่านใหญ่ แค่เลี้ยงดูภายใต้ชื่อของฉินซื่อเท่านั้น”
“ที่แท้คุณชายใหญ่ผู้นี้เกิดจากอนุหรือนี่” เจี่ยนฮูหยินเอ่ยออกมาช้าๆ