น้ำอุ่นผสมเรียบร้อย หวาหยางไปอาบน้ำก่อน นางไม่อนุญาตให้สาวใช้คนสนิทตามเข้ามาปรนนิบัติรับใช้
เมื่อคืนเฉินจิ้งจงไม่ต่างกับหมาป่าหิวกระหาย เพียงเพราะนางโง่เขลาเข้าใจว่าเขาเป็นภูตผีที่ตายไปแล้วถึงสามปี กว่าจะได้มาพบกันอีกครั้งก็ไม่ใช่ง่าย นางจึงทำใจตำหนิเขาไม่ลง
รอยจ้ำแดงๆ สองดวงบนข้อมือเกิดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย ส่วนบนร่างกาย…หวาหยางไม่กล้ามอง
ครั้นอาบน้ำแต่งกายเสร็จ นางก็เรียกเฉาอวิ๋นให้เข้ามาช่วยเช็ดผมให้
นางหลับตาพิงร่างอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าแดงระเรื่อ สีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เฉาอวิ๋นนึกขึ้นได้ถึงเสียงการเคลื่อนไหวที่ได้ยินเมื่อคืน ราชบุตรเขยเปี่ยมไปด้วยเรี่ยวแรงกำลัง แม้แต่เตียงห้องหนักๆ นั่นก็ยังสั่นสะเทือน
ทว่าในเมื่อองค์หญิงตั้งใจปกปิด นางย่อมต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
“พวกเราอยู่ที่นี่กันนานเท่าไรแล้ว” หวาหยางเอ่ยปากถาม น้ำเสียงคล้ายถามไปส่งๆ
เฉาอวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา “พวกเรามาถึงที่นี่เมื่อวันที่สาม วันนี้วันที่ยี่สิบห้า ผ่านมาได้ยี่สิบกว่าวันแล้วเพคะ”
หวาหยางเข้าใจแล้ว ปีนี้เป็นปีรัชศกจิ่งซุ่นปีที่ยี่สิบห้า เป็นปีแรกที่นางตามบ้านสกุลเฉินมาไว้ทุกข์อยู่ที่หลิงโจว
นางย้อนเวลากลับมาได้อย่างไร หวาหยางไม่รู้ แต่หากกลับมาเกิดใหม่ได้จริง นางก็รู้สึกดีใจยิ่ง
พ่อสามีของนางสร้างคุณงามความดีต่อแผ่นดินไว้มากมาย หลังสิ้นชีวิตเกียรติยศชื่อเสียงอันใดไม่ควรถูกคนทำลายลง ภรรยากับบุตรหลานก็ไม่ควรมีจุดจบเช่นนั้น
รวมถึงน้องชายของนาง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตอนเด็กฉลาดเฉลียวรู้อันใดควรมิควร น่ารักน่าใคร่ยิ่งนัก เหตุใดโตขึ้นมาถึงได้กลายเป็นทรราชเช่นนั้นได้ นางจำเป็นต้องชักจูงน้องชายที่หลงผิดให้กลับมาอยู่บนวิถีทางที่ถูกต้อง!
ยังมีเฉินจิ้งจง
ต่อให้เขาเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง แต่ก็เป็นแม่ทัพผู้กล้าที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้และปวงประชา หวาหยางตั้งใจจะปกป้องชีวิตเขาอย่างสุดกำลังความสามารถ
หลังหวีผมเสร็จ เฉาเยวี่ยสาวใช้รุ่นใหญ่อีกคนก็เตรียมอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย
หวาหยางมองไปที่ลานคราหนึ่ง “ราชบุตรเขยเล่า”
เฉาเยวี่ยส่ายหน้า นางยุ่งอยู่ในครัวตลอด ไม่ทันได้สังเกตเรื่องราวด้านนอก
เฉาอวิ๋นอยู่ข้างกายผู้เป็นนาย นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน
เจินเอ๋อร์เอ่ยตอบ “ตอนหาบน้ำพวกหม่อมฉันพบเจอราชบุตรเขยเข้าพอดีเพคะ ราชบุตรเขยคล้ายไปตากผ้า หลังจากนั้นก็หายตัวไป”
หวาหยางขมวดคิ้ว
โชคยังดีที่เพียงไม่นานนางก็นึกขึ้นได้ ชาติที่แล้วเฉินจิ้งจงทำตัวไม่ค่อยจะถูกขนบธรรมเนียมเท่าไรนัก มักลอบปีนกำแพงออกไปล่าสัตว์อยู่เป็นประจำ มีอยู่หลายครั้งที่เขาถึงกับตั้งใจเอาไก่ย่างปลาย่างกลับมาให้นางด้วย หวาหยางแม้ในใจจะนึกอยาก แต่เพราะกลัวจะถูกเขาหัวเราะเยาะจึงยอมอด รักษาท่าทีศักดิ์ศรีองค์หญิงของตนไว้ พร้อมเอ่ยปากเหน็บแนมว่าเขาไม่กตัญญูต่อผู้เป็นย่าของตนเอง
เฉินจิ้งจงไม่สนใจ เขานั่งลงกินเนื้อคำโตต่อหน้านางพลางพูดหยัน ‘ท่านย่าเอ็นดูข้า ตอนเด็กๆ ท่านย่าชอบดูข้ากินข้าวเป็นที่สุด ยิ่งข้ากินเยอะนางก็ยิ่งดีใจ ท่านย่าอยู่บนสวรรค์ หากให้นางเห็นข้าไว้ทุกข์อดอาหาร นางต้องเป็นคนแรกที่เจ็บปวดใจ’
เพราะไม่ต้องการฟังความคิดอ่านบิดเบี้ยวของเขา หวาหยางจึงไล่เขาออกไป เหลือไว้ก็แต่กลิ่นเนื้อย่างหอมกรุ่นที่กำจายอยู่ทั่วทั้งห้อง ไม่ว่าทำเช่นไรก็ไม่ยอมจางหาย
“องค์หญิงเสวยก่อนเถอะเพคะ หากยังรอต่อไป บะหมี่จะเกาะเป็นก้อนเสียก่อน” เฉาเยวี่ยที่รับผิดชอบงานครัวเอ่ยปากเตือนเสียงแผ่ว
หวาหยางพยักหน้า จับตะเกียบมองดูถ้วยบะหมี่บนโต๊ะ
ที่เฉาเยวี่ยทำเช้านี้คือบะหมี่ไข่ใส่ผัก ผักพวกนี้ทางเรือนหลักส่งมาให้ เพิ่งเด็ดมาจากสวนผักบ้านสกุลเฉินตอนหัวรุ่ง สดใหม่เป็นที่สุด
เส้นบะหมี่เรียบลื่นเป็นประกาย แค่ดูก็รู้แล้วว่าต้องอร่อยแน่
ฝีมือทำครัวของเฉาเยวี่ยไม่ธรรมดา เพียงแต่ชาติที่แล้วเพราะต้องไว้ทุกข์อย่างยากลำบากหวาหยางจึงอารมณ์ไม่ดี กินอะไรล้วนไม่ถูกปาก ตอนกลับถึงเมืองหลวงใบหน้าซูบเซียวร่างกายผ่ายผอม ทำเอาเสด็จแม่หลั่งน้ำตา น้องชายเองก็โกรธจัด มั่นอกมั่นใจว่าบ้านสกุลเฉินกระทำทารุณต่อนาง…
หวาหยางตกตะลึง หรือว่าที่น้องชายโกรธแค้นบ้านสกุลเฉินเช่นนั้น ส่วนหนึ่งเพราะข้าเป็นเหตุ?
ไม่น่าจะใช่ นางไม่เคยโอดครวญอันใดกับน้องชาย ทุกครั้งที่อีกฝ่ายถามว่าคนที่บ้านสกุลเฉินเป็นเช่นไร นางล้วนชื่นชมในสิ่งที่ควรชื่นชม เรื่องที่ไม่พึงพอใจก็เก็บงำไว้ในใจ
ช่างเถอะ เรื่องราวในชาติที่แล้วล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไข ครั้งนี้นางต้องหลีกเลี่ยงป้องกันเรื่องราวใดๆ ที่จะทำให้น้องชายของนางเกลียดแค้นชิงชังบ้านสกุลเฉินไม่ให้เกิดขึ้นเด็ดขาด
มีคุณูปการของบ้านสกุลเฉินอยู่เบื้องหน้า มีความพยายามของนางอยู่เบื้องหลัง นางไม่เชื่อว่าน้องชายของนางผู้นั้นจะเป็นทรราชแต่กำเนิดได้
อารมณ์ของนางเปลี่ยนไป หวาหยางรู้สึกว่าบะหมี่มังสวิรัติชามนี้หอมกรุ่นเป็นที่สุด ไม่เพียงกินเส้นบะหมี่จนหมด แม้แต่น้ำแกงก็ยังซดหมดไปครึ่งชาม
เฉาเยวี่ยมองดูอยู่ข้างๆ ดีใจจนนึกอยากร้องไห้ สามเดือนมานี้องค์หญิงแทบไม่นึกอยากอาหาร ทุกเช้าค่ำนางเฝ้าแต่นึกหนทางทำอาหารรสเลิศออกมา คิดจนผมบางแทบหมดหัวแล้ว!
เฉาอวิ๋นเองก็สองตาแดงก่ำ บ้านเก่าสกุลเฉินเก่าซอมซ่อเรียบง่าย องค์หญิงพำนักอาศัยไม่มีความสุข หากยังกินไม่ลงอีก สองปีที่เหลือต่อจากนี้จะทำเช่นไร
โชคดีจริงๆ โชคดียิ่งนัก!