ตะวันลอยขึ้นกลางฟ้า เฉาอวิ๋นและเฉาเยวี่ยยืนอยู่หน้าประตูโถงกลาง กระซิบถกกันว่ากลางวันนี้จะทำอาหารอะไรให้องค์หญิงดี
คาดไม่ถึงว่าจะมีเสียง ‘โครม’ ดังลอยมาจากห้องเล็กทางทิศตะวันตก
เฉาอวิ๋นหน้าซีด ในตำบลที่ห่างไกลเช่นนี้คงไม่ใช่ว่ามีโจรร้ายกล้าเข้ามาก่อเหตุฆาตกรรมอะไรกระมัง
อย่าว่าแต่องค์หญิงจะรังเกียจบ้านเก่าสกุลเฉินหลังนี้เลย แม้แต่พวกนางเองก็ยังรังเกียจ เรือนเล็ก กำแพงเตี้ย บางครั้งก็มีงูแมลงเลื้อยไต่เข้ามา ทำเอาคนอกสั่นขวัญแขวนทั้งวัน!
ระยะนี้เฉาเยวี่ยลงมือทำอาหารทุกวัน เรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่ขี้กลัวเหมือนเก่า นางบอกให้เฉาอวิ๋นเฝ้าอยู่ที่นี่ ก่อนจะรีบชักเท้าวิ่งไปที่ห้องครัว คว้ามีดหั่นผักมาเล่มหนึ่ง!
ตอนวิ่งออกมาพร้อมมีดหั่นผัก นางก็เห็นราชบุตรเขยมือข้างหนึ่งถือไก่ภูเขาขนงามตัวหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือปลาอ้วนที่ยังมีน้ำหยดอยู่เดินออกมาจากห้องเล็กทางทิศตะวันตก เฉาอวิ๋นที่อยู่ใต้ชายคาสองตาเบิกกว้างอ้าปากค้าง
เฉาเยวี่ยเองก็ตกตะลึง
เฉินจิ้งจงมองดูมีดหั่นผักที่ส่องประกายวับวาวในมืออีกฝ่าย
เฉาเยวี่ยรีบซ่อนมีดไว้ด้านหลัง ใบหน้าเล็กๆ แดงระเรื่อ สีหน้ากระอักกระอ่วน
เฉินจิ้งจงเข้าใจได้ทันที เขาชำเลืองมองไปทางห้องประธานพลางถามเฉาอวิ๋น “องค์หญิงเล่า”
เฉาอวิ๋นตอบเสียงแผ่วเบา “หลังเสวยอาหารเช้าเสร็จองค์หญิงก็เสด็จกลับไปบรรทมต่อแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินจิ้งจงไม่รู้สึกแปลกใจ ร่างกายของนางอ่อนแอ มิหนำซ้ำเมื่อคืนยังเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อย
เขาถือเหยื่อที่ล่ามาได้เดินไปหยุดอยู่หน้าเฉาเยวี่ย ขมวดคิ้วพูด “ในรัศมีสิบหลี่มีใครบ้างไม่รู้ว่าที่นี่คือบ้านสกุลเฉิน โจรกระจอกทั่วไปไม่มีทางกล้าล่วงล้ำเข้ามา และคนที่กล้าเข้ามาก็ย่อมไม่มีทางกลัวมีดหั่นผักของเจ้า คราวหน้าถ้าพบเจอเรื่องเช่นนี้อีก ให้ตะโกนเรียกคนช่วย พวกองครักษ์จะได้ได้ยิน”
เฉาเยวี่ยก้มหน้า คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากถาม “หากเป็นราชบุตรเขยเล่า”
“หลังจากนี้เวลาข้ากลับมาจะผิวปากก่อนคราหนึ่ง”
เฉาเยวี่ยถอนหายใจโล่งอก “ราชบุตรเขยวางใจ บ่าวจะจดจำไว้”
เฉินจิ้งจงยื่นเหยื่อในมือส่งให้นาง “ปลาเอาไปตุ๋นทำน้ำแกง ส่วนไก่เก็บไว้ค่อยกินวันพรุ่งนี้ อย่าลืมมัดปากมันไว้ อย่าให้มันเที่ยวร้องกระโตกกระตาก”
เฉาเยวี่ยสองตาเบิกกว้าง “เช่น…เช่นนี้คงไม่เหมาะกระมัง”
“หากไม่ตุ๋น หรือพวกเจ้าจะปล่อยให้องค์หญิงของพวกเจ้าหิ้วท้องหิวต่อไป?”
เฉาเยวี่ยรับปากอย่างรวดเร็ว
เฉินจิ้งจงมองดูห้องครัวคราหนึ่ง ตอนหันกลับมาเขาก็เอ่ยว่า “อาหารเช้าของข้าส่งเข้าไปด้วย”
เรื่องราวที่ต้องทำมีอยู่ไม่น้อย เฉาอวิ๋นรีบวิ่งเข้ามาช่วยเฉาเยวี่ย
เฉินจิ้งจงสาวเท้ายาวๆ ตรงไปที่ห้องประธาน หยุดยืนอยู่หน้าโถงกลางครู่หนึ่งก่อนจะไปยังห้องนอน
ด้านในเงียบสงัด นอกเตียงห้องม่านโปร่งถูกปลดลง
เฉินจิ้งจงเลิกม่านก็เห็นนางหลับอยู่กลางเตียง ตัวนางที่บางและผอมอยู่แล้วกลับยิ่งดูบอบบางอ่อนแอมากขึ้นไปอีกเมื่อเทียบกับเตียงขนาดใหญ่หรูหรานี้
ทันใดนั้นเขาก็สูดจมูกฟุดฟิด ได้กลิ่นยาจางๆ
ยิ่งเห็นหัวคิ้วของนางขมวดอยู่ด้วยกันเช่นนั้น เฉินจิ้งจงก็รู้สึกกังวลในใจ อาจเป็นไปได้ว่าเขาใช้แรงมากเกินไปและทำให้นางได้รับบาดเจ็บแล้วหรือไม่
ถึงจะนึกสงสัย แต่เฉินจิ้งจงก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะปลุกนางขึ้นมาถามในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเดินจากไปเงียบๆ
เขานั่งอยู่ในโถงกลาง หลังจากผ่านไปราวๆ หนึ่งเค่อ* เฉาอวิ๋นก็ประคองบะหมี่ชามหนึ่งเข้ามา ยังคงเป็นบะหมี่ไข่ใส่ผัก น้ำแกงใสราวกับน้ำ แม้แต่คราบน้ำมันสักหยดก็ไม่มี
เฉินจิ้งจงเรียกเฉาอวิ๋นที่กำลังจะถอยจากไปแล้วเอ่ยถาม “องค์หญิงป่วยหรือ”
เฉาอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่นะเจ้าคะ”
“แล้วเหตุใดข้าถึงคล้ายได้กลิ่นยา”
“เช่นนั้นราชบุตรเขยก็ต้องดมผิดแล้วแน่ๆ เช้าวันนี้องค์หญิงทรงอารมณ์ดีไม่ใช่น้อย ถึงกับกินบะหมี่หมดชาม”
ได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่ายลิงโลดยินดีเช่นนั้น เฉินจิ้งจงก็ตระหนักได้ทันทีว่าอาการเบื่ออาหารของหวาหยางก่อนหน้านี้ย่ำแย่เพียงใด