เมื่อถามไม่ได้ความอะไร เขาก็สั่งให้สาวใช้ถอยออกไป
เฉินจิ้งจงออกไปล่าสัตว์ในหุบเขาตั้งแต่หัวรุ่ง ใช้เรี่ยวแรงไปไม่ใช่น้อย ยามนี้หิวจนไส้กิ่วแล้ว ตอนกินบะหมี่เขาล้วนคีบมันขึ้นมาก้อนใหญ่ สูดกินเข้าปากคำโต
หวาหยางที่หลับไปได้หนึ่งชั่วยามถูกเสียงกินบะหมี่ของอีกฝ่ายปลุกตื่น
ตอนตื่นขึ้นมาใหม่ๆ นางยังนึกสงสัยว่าเป็นเสียงอะไร พอได้ยินเฉินจิ้งจงบอกให้เฉาอวิ๋นเอามาให้เขาอีกชาม นางจึงเข้าใจได้ทันที หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว
นางไม่ชอบวิธีกินอาหารเช่นนี้ของเขาจริงๆ
หวาหยางตั้งใจว่าจะทำดีกับเฉินจิ้งจงสักเล็กน้อย ทว่าหากเขายังคงท้าทายความอดทนอดกลั้นของนางเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วล่ะก็ เกรงว่านางคงไม่มีทางปั้นหน้ายิ้มแย้มให้เขาได้เลย
หวาหยางจัดการกับเสื้อผ้าผมเผ้าของตนเองพอเป็นพิธีก่อนจะเดินออกมา
เฉินจิ้งจงกำลังจะเริ่มกินบะหมี่ชามที่สอง เส้นบะหมี่ถูกคีบขึ้นมาแล้ว แต่พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเขาก็หันหน้ามองไป พบกับใบหน้างดงามแดงระเรื่อทว่ามึนตึงอยู่เล็กน้อยของหญิงสาวเข้าพอดี
อะไรทำให้นางไม่พอใจขึ้นมาอีกเล่า
เฉินจิ้งจงหลุบตามองตะเกียบในมือ กินบะหมี่คำนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน
เขาสูดบะหมี่ลงท้องเต็มปากเต็มคำ หวาหยางหัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ส่งสายตาบอกเฉาอวิ๋นที่อยู่หน้าประตูให้ถอยไปไกลหน่อย หลังจากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะกินข้าว มองชายหนุ่มพลางพูด
“ท่านจะกินให้ช้าหน่อยไม่ได้หรือไร ทางที่ดีกินอย่าให้มีเสียง”
เฉินจิ้งจงปรายตามองนาง พูดโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ก็ข้าหิว”
“หิวก็ค่อยๆ กินได้ ใช่ว่าจะต้องรีบไปทำธุระอะไรต่อจากนี้เสียหน่อย”
เฉินจิ้งจงชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง เรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ยิ่งมีคนวุ่นวายกับเขามากเท่าไร เขาก็ยิ่งดึงดันดื้อรั้นมากเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงทำเหมือนไม่ได้ยิน ควรกินเช่นไรก็กินเช่นนั้นต่อ
หวาหยางกัดฟันโมโห หากเป็นเมื่อก่อนนางต้องกระฟัดกระเฟียดเดินจากไป หลบไปให้พ้นจากเสียงนั้นแน่ ทว่านางตัดสินใจแล้วว่าจะทำดีกับเขาสักหน่อย
นางยินดีให้โอกาสเขาอีกครั้ง จึงพูดออกมาตามตรง “วิธีการกินเช่นนี้ของท่าน ข้าได้ยินแล้วปวดหัว ยิ่งข้าปวดหัวก็ยิ่งหงุดหงิดรำคาญ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตร่วมกันดีๆ ได้อย่างไร”
เฉินจิ้งจงเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ เขากลืนบะหมี่ที่เหลือในปากลงท้อง พิจารณาดูหวาหยางพลางเอ่ยปากถาม “องค์หญิงอยากใช้ชีวิตร่วมกันดีๆ กับข้า?”
สายตาของเขาคมกริบตรงไปตรงมาคล้ายสามารถอ่านทะลุใจคน มิหนำซ้ำยังแฝงไว้ซึ่งแววตาดุดันราวกับต้องการบอกว่า ‘ไม่ว่าใครก็อย่าฝันว่าจะหลอกข้าได้’ อีกหลายส่วน
คางของหวาหยางเชิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นางส่งเสียงเฮอะประชดออกมาคำหนึ่งด้วยท่าทีเย่อหยิ่งจองหองแบบเดียวกัน
เฉินจิ้งจงไม่แน่ใจว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เอ่ยปากถามหยั่งเชิง “ถ้าข้ากินข้าวเสียงเบา วันหน้าองค์หญิงจะให้ข้านอนเตียงด้วยอย่างนั้นหรือ”
เทียบกับความคิดอ่านเจ้าเล่ห์ซับซ้อนพวกนั้น เขาสนใจก็แต่ผลประโยชน์ที่จะได้รับจริงๆ มากกว่า ไม่เช่นนั้นไม่ว่านางจะใช้คำพูดดีงามสักเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์
หวาหยางมองเขาพลางบอก “ได้ แต่มีข้อแม้”
เฉินจิ้งจงจุปากหนักๆ ออกมาคำหนึ่ง น่าขันจริงๆ ข้ากับนางเป็นสามีภรรยากัน ข้าอยากนอนเตียงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรสักหน่อย แต่นางกลับยังตั้งเงื่อนไข!