นางรู้ว่านี่เป็นบทพรรณนาถึงต้นไผ่ของนักกวีสมัยถังผู้หนึ่ง นำมาแปะไว้ที่นี่ก็นับว่าเข้ากับทัศนียภาพอยู่ ส่วนเรื่องที่ว่าเขียนออกมาดีหรือไม่ นางลอบเดาว่าตัวอักษรสิงเฉ่าสองแถวนี้น่าจะเป็นลายมือของสวีจ้งเซวียน จึงไม่กล้าแสดงความเห็น แค่ผงกศีรษะเอ่ยว่า “กวีสองประโยคนี้เหมาะกับที่นี่มาก ตัวอักษรสิงเฉ่าทั้งสองแถวก็เขียนได้ดีมากเช่นกัน”
ตอนนั้นเองอู๋จิ้งเซวียนก็เอ่ยขึ้นจากด้านข้างว่า “ตัวอักษรสิงข่ายสองแถวนี้เขียนได้ไหลลื่น สง่างาม ฝีมือด้านการเขียนอักษรของญาติผู้พี่นับว่าแตกฉาน ฝึกฝนมาได้อย่างเชี่ยวชาญจริงๆ”
เจี่ยนเหยียนอึ้งไป ในใจคิดว่า…หรือข้าจะมองผิด ความจริงนี่เป็นลายมือสิงข่ายสองแถว ไม่ใช่สิงเฉ่า?
นางจึงหันไปมองอักษรแผ่นนั้นอีกครั้งพลางไล่สายตาพิจารณาไปทีละตัวอักษรอย่างละเอียด แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวอักษรสองแถวนี้เป็นอักษรแบบเฉ่ามากกว่าแบบข่ายอยู่ดี
และโดยไม่ตั้งใจ ปลายหางตาของเจี่ยนเหยียนก็ตวัดไปเห็นว่าที่ด้านหลังประตูของห้องหลักมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่
บนกรอบช่องประตูมีกระดาษหนาชั้นหนึ่งปิดไว้ ถึงแม้จะไม่โปร่งใส มองไม่เห็นว่าข้างในเป็นอย่างไร แต่วันนี้แสงแดดเจิดจ้ามาก หากตั้งใจมองก็ยังพอจะมองออกเลือนรางว่าด้านหลังมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ เงาร่างของคนผู้นั้นค่อนข้างสูง จะต้องเป็นบุรุษอย่างไม่ต้องสงสัย และบุรุษที่สามารถเข้าออกภายในเรือนหนิงชุ่ยแห่งนี้ได้อย่างอิสระน่าจะมีไม่มากกระมัง เจี่ยนเหยียนแทบจะเดาได้ในทันทีว่าคนผู้นั้นเป็นใคร นางลอบร้องทุกข์อยู่ในใจ คนเขียนอักษรคู่แผ่นนี้ยืนอยู่ตรงนั้น พวกข้ากลับมาวิจารณ์กันว่าลายมือของเขาเป็นเช่นไร
เดิมเจี่ยนเหยียนก็ไม่อยากออกความเห็นว่าตัวอักษรสองแถวนั้นเขียนได้เป็นอย่างไรอยู่แล้ว คราวนี้ก็เลยปิดปากเงียบไปเสียเลย แล้วหันหน้าไปมองกอไผ่ด้านข้างแทน
สวีจ้งเซวียนที่อยู่ภายในห้องกลับเดินออกมายืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน ทอดสายตามองแต่ละคนที่อยู่ด้านล่างขั้นบันได
เขายังคงสวมชุดผ้าโปร่งสีเขียวชุดนั้น เมื่อยืนตัวตรงอยู่บนทางเดินเช่นนี้ก็ดูสง่างามราวกับต้นไผ่ลำหนึ่ง
ทันทีที่สวีเมี่ยวจิ่นมองเห็นเขาก็ถามออกไปทันที “พี่ใหญ่ ท่านมาตั้งแต่เมื่อใดหรือเจ้าคะ”
“เพิ่งมาถึง” เขาหันหน้าเข้าหาสวีเมี่ยวจิ่น คำพูดเอ่ยตอบกระชับสั้น ทว่าหางตากลับมองไปทางเจี่ยนเหยียน
เด็กสาวสวมเสื้อแพรสีแดงอ่อน กระโปรงผ้าแพรสีเขียวหยกเอาแต่หันไปสนใจกอไผ่ด้านข้างประหนึ่งว่าบนใบไผ่มีอะไรที่น่าดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษ
“ญาติผู้พี่” อู๋จิ้งเซวียนคลี่ยิ้ม หัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นมา ขณะเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “ที่แท้ท่านก็อยู่ที่นี่” ในใจกลับคิดว่า เขาอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย ยังดีที่เมื่อครู่ข้าไม่ได้กลับไปเพราะความกระอักกระอ่วน มิฉะนั้นไม่ใช่ว่าจะพลาดโอกาสพบหน้าครั้งนี้ไปหรือ
ยามนั้นเองเจี่ยนเหยียนก็หันหน้ากลับมาในที่สุด
อิงตามลำดับความสัมพันธ์ สวีเมี่ยวจิ่นกับอู๋จิ้งเซวียนล้วนทักทายสวีจ้งเซวียนเรียบร้อย คราวนี้ก็ควรจะถึงทีนางแล้ว ดังนั้นนางจึงย่อกายคารวะสวีจ้งเซวียน ทว่าไม่ได้มองเขา เอาแต่หลุบตามองปลายเท้าตนเองพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทั้งสุภาพและห่างเหิน “คุณชายใหญ่”
จากมุมของสวีจ้งเซวียน เขามองเห็นแค่ดอกไม้ผ้าแพรสีน้ำเงินอ่อนกับปิ่นดอกอวี้หลันหยกสีขาวที่เสียบอยู่บนเรือนผมนางเท่านั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่านางมองไม่เห็น แต่สวีจ้งเซวียนก็ยังผงกศีรษะตอบรับโดยไม่รู้ตัว จากนั้นยังเอ่ยตอบว่า “คุณหนูเจี่ยน”
เจี่ยนเหยียนไม่ได้พูดอะไรอีก แค่หลุบตามองพื้นเท่านั้น