นางนึกถึงวันแรกที่เพิ่งมาถึง ครั้งที่เข้าร่วมงานเลี้ยงของสกุลสวีกับเจี่ยนฮูหยิน หลังกินอาหารเสร็จเจี่ยนฮูหยิน อู๋ซื่อ รวมถึงฉินซื่อกับคนอื่นๆ ก็นั่งสนทนาเรื่อยเปื่อยอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นเจี่ยนฮูหยินถามออกไปประโยคหนึ่งว่า ‘มิทราบว่าคุณชายใหญ่เคยแต่งงานหรือไม่’
ทันทีที่เจี่ยนฮูหยินถามออกมา เจี่ยนเหยียนที่นั่งอยู่ข้างนางก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันที แทบอยากหาโพรงมุดเข้าไปแล้วไม่ออกมาอีก
ในยุคสมัยนี้การถามคำถามเช่นนี้ต่อหน้าญาติผู้อื่นยากจะไม่ให้คนคิดเชื่อมโยงเลยเถิดจริงๆ โดยเฉพาะในตอนที่ตัวเจี่ยนฮูหยินยังมีบุตรสาวที่ยังไม่แต่งงานอยู่คนหนึ่ง สวีจ้งเซวียนเองก็มีฐานะสูงออกปานนั้น
ยามนั้นเจี่ยนเหยียนได้ยินฉินซื่อหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็เห็นนางเอ่ยด้วยรอยยิ้มดูถูกว่า
‘ยังเลย! แต่ว่าก็มีครอบครัวมากมายเอาเทียบชะตาของบุตรสาวมามอบให้ ส่งคนมาเป็นแม่สื่อ แต่ข้าคิดว่าถึงอย่างไรเซวียนเกอเอ๋อร์ก็เป็นขุนนางลำดับหลักขั้นสาม…จากอายุของเขา ตำแหน่งขุนนางลำดับหลักขั้นสามก็ไม่เล็กแล้ว วันหน้าอนาคตน่าจะยังไปได้ไกลกว่านี้ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเรื่องการแต่งงานของเซวียนเกอเอ๋อร์สามารถคิดให้ดีๆ ได้ ต่อให้ไม่อาจเป็นองค์หญิงหรือบุตรสาวของท่านอ๋อง แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นบุตรสาวของขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก บุตรสาวของครอบครัวทั่วๆ ไปไม่ต้องพูดถึงเซวียนเกอเอ๋อร์หรอก ต่อให้เป็นข้าก็ยังไม่อยากจะมอง ไม่พูดถึงเลยจะดีกว่า!’
หลังนางเอ่ยประโยคนี้จบเจี่ยนฮูหยินก็มีสีหน้าจืดเจื่อนขึ้นมา
ยามนั้นเจี่ยนเหยียนยิ่งก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม รู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนเองถูกเจี่ยนฮูหยินทำให้ย่อยยับไปแล้ว!
นับจากนี้ไปไม่รู้ว่าคนในจวนสกุลสวีจะมองนางอย่างไร อาจคิดว่านางพยายามที่จะเกาะสวีจ้งเซวียนก็ได้ ดังนั้นนับตั้งแต่คืนนั้นหากนางไม่จำเป็นต้องพบหน้าสวีจ้งเซวียนก็จะพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด จะได้ไม่ต้องให้ใครมานินทาครหาลับหลัง
หลังเข้าไปในห้องของสวีเมี่ยวจิ่น เจี่ยนเหยียนก็นั่งเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะ หลุบตาลงมองลายผีเสื้อล้อมดอกไห่ถังรอบๆ โต๊ะสีแดง พยายามทำให้ตนเองกลายเป็นอากาศธาตุ ไม่ให้ผู้ใดสนใจ
ต่างไปจากการถ่อมตนของนาง นับตั้งแต่อู๋จิ้งเซวียนเข้ามาในห้องก็สั่งให้ชิงจู๋ไปหาแจกันสีฟ้าหลังฝนมา ทั้งยังสั่งให้ซิ่งเอ๋อร์สาวใช้ไปตักน้ำใส่แจกันมาครึ่งใบ สุดท้ายเลือกดอกท้อสองกิ่งที่ดอกบานสวยที่สุดมาจากในมือเสวี่ยหลิ่ว แล้วปักลงในแจกันด้วยตนเอง
สวีเมี่ยวจิ่นนั่งอยู่ข้างเจี่ยนเหยียน มองดูอู๋จิ้งเซวียนกระทำทั้งหมดนี้ด้วยความเบื่อหน่าย
ส่วนสวีจ้งเซวียนนับตั้งแต่เข้ามาในห้องก็ไปหยิบคัมภีร์เล่มหนึ่งมาจากชั้นหนังสือ ก่อนไปนั่งอ่านบนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ ทว่าปลายหางตากลับเอาแต่เหลือบมองเจี่ยนเหยียน คัมภีร์ในมือจึงไม่ถูกพลิกเปลี่ยนหน้าอยู่นาน
นางนั่งก้มหน้าสงบนิ่ง จากมุมของเขามองไปเห็นลำคอขาวเนียนของนางที่โผล่พ้นมาช่วงหนึ่ง และในชายแขนเสื้อของนางก็เก็บตำราเล่มหนึ่งไว้ คิดว่าน่าจะเป็นเล่มที่นางอ่านตอนอยู่ในป่าเหมยเมื่อครู่นี้ เนื่องจากตอนนี้นางปล่อยมือห้อยลงมาเล็กน้อย ตำราในแขนเสื้อจึงโผล่ออกมาช่วงหนึ่ง ส่งผลให้เขามองเห็นตัวอักษรสีน้ำตาลเข้มบนหน้าปกของตำราเล่มนั้นได้
เป็นตำรา ‘บันทึกประวัติศาสตร์’
ไม่ค่อยมีเด็กสาวในห้องหออ่านตำรา ‘บันทึกประวัติศาสตร์’ นัก สวีจ้งเซวียนจึงคิดว่าเจี่ยนเหยียนผู้นี้ ตอนนั่งอย่างสำรวมอยู่ที่นี่ ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรก็เห็นนางเป็นเด็กสาวในห้องหอที่อยู่ในกรอบประเพณีอันดีงามอย่างมาก ทว่าเมื่อครู่นี้ในป่าเหมยเขากลับได้เห็นกับตาตนเองว่านางนั่งอยู่ในท่าทางที่ดูผ่อนคลายสบายใจ ปากครวญท่วงทำนองที่เขาฟังไม่เข้าใจ ตอนที่นางนั่งยองๆ เล่นกับลูกแมว ในดวงตาก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ไม่เหมือนในตอนนี้ที่เสมือนนางสวมหน้ากาก มีแค่รอยยิ้มบางๆ อันไร้ที่ให้ตำหนิ
นางไม่ได้เสแสร้งเก่งในระดับธรรมดา หลังสวีจ้งเซวียนได้บทสรุปนี้ก็เก็บสายตากลับมามองคัมภีร์ในมือ