เฉาอวิ๋นเดินกระฟัดกระเฟียดมาที่ห้องครัว
เฉาเยวี่ยกำลังขอดเกล็ดปลา มีผ้ากันเปื้อนพันอยู่รอบเอว ไม่เหลือท่วงทีเฉกเช่นนางกำนัลข้างกายขององค์หญิงอย่างในอดีตอีก
ทว่าเพื่อองค์หญิง เฉาเยวี่ยรู้สึกยินดี พอนึกว่าอีกสักครู่ก็จะสามารถลงมือตุ๋นน้ำแกงปลารสเลิศให้กับองค์หญิงได้ มุมปากของนางก็ยกขึ้นน้อยๆ
เฉาอวิ๋นเดินมาหยุดอยู่ข้างกายอีกฝ่าย กระซิบพูดอะไรบางอย่าง
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉาเยวี่ยจางหาย นางสั่งเฉาอวิ๋นให้ไปรับใช้องค์หญิงก่อน ส่วนตนเองก็เช็ดมือเช็ดไม้ สายตากวาดมองไปยังปลาอ้วนที่ขอดเกล็ดเสร็จแล้วครึ่งหนึ่งด้วยความรู้สึกเสียดาย หลังจากนั้นก็เดินออกจากห้องไป มาหยุดอยู่ที่ขอบหน้าต่างเรือนปีกตะวันออกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ราชบุตรเขย องค์หญิงมีคำสั่ง บอกว่าไม่ประสงค์จะดื่มน้ำแกงปลา หากท่านต้องการก็เชิญไปตุ๋นเอง”
หลังนางพูดจบได้ไม่นานเฉินจิ้งจงก็เดินออกมา มือข้างหนึ่งถือชามเปล่า มืออีกข้างถือตะเกียบ
เฉาเยวี่ยยืนนิ่งไม่ถ่อมตน ไม่จองหองอวดดี
เฉินจิ้งจงมองไปทางห้องประธาน หน้าต่างบานนั้นปิดลงแล้ว บดบังคนที่อยู่ด้านในไม่ให้ผู้ใดมองเห็น แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว
ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ เขาไม่ได้โกรธสักหน่อย นางเป็นองค์หญิงย่อมมีสิทธิ์รังเกียจเขา และในเมื่อเขาไม่เจ็บไม่คันกับสิ่งที่นางทำ แล้วเหตุใดเขาต้องถือสาหาความนางด้วย
แต่เขาไม่อาจทนดูนางผอมแห้งแรงน้อยต่อไปได้อีก เพราะไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นความทุกข์ยากที่นางจำต้องเผชิญเพราะแต่งงานกับเขา
เฉินจิ้งจงไปยังห้องครัว ปิดประตูหน้าต่างสนิทแน่น
เฉาเยวี่ยยืนฟังอยู่ทางด้านนอกครู่หนึ่งก่อนจะไปรายงานต่อองค์หญิง
หวาหยางรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย นางรู้ว่าเฉินจิ้งจงย่างพวกสัตว์ป่าเป็น แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะยังทำน้ำแกงปลาเป็นด้วย บนโลกนี้จะมีบุรุษหนุ่มสักกี่คนที่ทำครัวเป็น
ในห้องครัว
ภายใต้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว เพียงไม่นานเฉินจิ้งจงก็จัดการกับปลาเป็นที่เรียบร้อย
บิดาของเขาอายุเลยสามสิบถึงค่อยไปลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองหลวง รับคนทั้งครอบครัวเข้าไปอยู่ด้วยกัน ทว่าท่านย่ากลับไม่คุ้นชินกับชีวิตเช่นนั้น หลังทนอยู่ได้หนึ่งปีนางก็พาอารองกับครอบครัวของเขากลับมายังบ้านเก่า
เฉินจิ้งจงตอนอายุสิบขวบได้พาอาจารย์สอนการต่อสู้กลับมาด้วย จนกระทั่งอายุสิบแปดถึงได้ถูกท่านย่าเร่งเร้าให้เข้าเมืองหลวงไปแสวงหาความก้าวหน้า
ตลอดช่วงระยะเวลาแปดปี สาวชาวบ้านอย่างท่านย่าชอบเข้าครัวลงมือทำอาหารเอง ส่วนเฉินจิ้งจงก็อยู่เป็นลูกมือคอยช่วยอีกฝ่ายทำอาหารเสมอ ดังนั้นจึงพอมีวิชาทำอาหารติดตัวอยู่บ้าง
ปลาพวกนี้เจริญเติบโตอยู่ในทะเลสาบที่ถูกห้อมล้อมด้วยผาชัน แม้แต่พวกนายพรานที่อยู่ละแวกนั้นก็ยังไม่เข้าไป เมื่อไม่มีอันตรายกล้ำกราย พวกมันย่อมอ้วนท้วนสมบูรณ์
เฉินจิ้งจงสับหัวปลาออก หมักเนื้อปลาไว้ครู่หนึ่ง รอไว้ให้สาวใช้นำไปตุ๋นน้ำแดงตอนอาหารกลางวัน
หัวปลาใหญ่พอๆ กับหนึ่งฝ่ามือของเขา เฉินจิ้งจงลงมือทอดด้วยน้ำมันปริมาณน้อยๆ ก่อน หลังจากนั้นค่อยเอาไปตุ๋นอีกที ใช้ไฟแรงทำน้ำแกง
อากาศบริเวณหน้าช่องเตาไฟร้อนจัด เมื่อเฉินจิ้งจงเติมฟืนลงไป เหงื่อพราวผุดเต็มหน้าผาก
แม้เปิดหน้าต่างอากาศย่อมเย็นสบายหน่อย ทว่าถึงตอนนั้นกลิ่นหอมของน้ำแกงปลาย่อมกระจายออกไป หากมีลมพัดหอบเอากลิ่นของมันไปถึงเรือนหลัก ตาเฒ่าเกิดได้กลิ่นขึ้นมามีหวังต้องตรงดิ่งมาเอ่ยปากสั่งสอนเขาเป็นแน่
เฉินจิ้งจงไม่กลัวถูกสั่งสอน เพียงแต่เขาคิดว่าปัญหาน้อยดีกว่าปัญหามาก ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่อยากให้คนในบ้านนึกสงสัยว่าหวาหยางเองก็กินเนื้อสัตว์ด้วยหรือไม่ เอานางไปซุบซิบนินทาลับหลัง
หลังจากผ่านไปได้ราวๆ หนึ่งเค่อ เฉินจิ้งจงก็ยกฝาหม้อออก น้ำแกงที่อยู่ด้านในเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวข้น เต้าหู้ลื่นๆ กับเห็ดภูเขาหน้าตาคล้ายร่มกลิ้งขลุกๆ อยู่ภายใน
เฉินจิ้งจงเปิดตู้ครัว หยิบเอาถ้วยน้ำแกงลายดอกโบตั๋นออกมาใบหนึ่ง หลังจากนั้นก็หยิบเอาชามกับตะเกียบออกมาอีกคู่
เหมือนหวาหยางจะชอบดอกโบตั๋นมากเป็นพิเศษ ในบ้านนอกบ้านทุกหนแห่งล้วนมีร่องรอยของดอกโบตั๋น