นางลอบถอนหายใจและรู้สึกว่าเมื่อวานตนเองพลาดไปจริงๆ เดิมทีเรื่องที่ควรซักก็ต้องซัก หากซักความจนกระจ่างแล้ว การที่สองคนร่วมมือกันย่อมดีกว่าเขาเป็นฝ่ายลุยเดี่ยวแน่
ความรู้สึกของมู่ไคเวยเปลี่ยนแปลงไปมากมายหลากหลาย
แต่สิ่งหนึ่งที่นางไม่สงสัยเลยคือคังอ๋องเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ…พิเศษมากจริงๆ
เพราะเขาคือคนที่มารดาของนางสละชีวิตเพื่อช่วยไว้!
สิ่งที่ท่านแม่ใช้ชีวิตแลกมาย่อมเป็นสิ่งมีค่า แม้นางกับคังอ๋องจะไม่สนิทกัน แต่มู่ไคเวยก็ไม่อยากเห็นเขาตกที่นั่งลำบาก กระทั่งถูกความระแวงของฮ่องเต้ทำร้ายซ้ำอีก
ตกค่ำ สาวใช้สูงวัยกลุ่มหนึ่งก็ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามาภายในห้อง ก่อนจะเห็นคุณหนูของพวกนางสวมชุดตัวกลางเพื่อเตรียมเข้านอนแล้ว ยามนี้กำลังนั่งอยู่ที่หน้ากระจก นางไม่ได้มองเงาเฉิดฉายของตนเองในกระจกด้วยสีหน้าเศร้าซึม แต่ถือกระบี่ไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วใช้มืออีกข้างถือผ้าสะอาด ขัดถูอาวุธซ้ำๆ อย่างประณีตบรรจง…ประกายกระบี่สาดจับใบหน้าของนางทำให้นางแลดูงดงามดุดันพอๆ กับคมกระบี่ ต่อให้สาวใช้มากประสบการณ์ได้มาเห็นหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เจอ…หนังศีรษะก็ยังคงรู้สึกชาวาบอยู่ดี
“คุณหนูเจ้าคะ พวกข้าช่วยท่านหวีผม หรือนวดหนังศีรษะดีหรือไม่” ต่อให้หนังศีรษะชา แต่พวกนางยังคงต้องรับมือนายหญิงของบ้านผู้ทำงานเป็นหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีมานานหลายปีให้สำเร็จอยู่ดี
“อืม ก็ดี รบกวนหลันกูกูด้วย” มู่ไคเวยเลิกคิ้วยิ้มๆ นางเก็บอาวุธอย่างแคล่วคล่องว่องไวแล้วนั่งนิ่งๆ อย่างว่าง่าย สีหน้าแลดูนุ่มนวลสมเป็นกุลสตรีมากขึ้นอีกหลายส่วน
หลันกูกูวางอ่างน้ำบนขาตั้งแล้วเดินไปที่ด้านหลังของมู่ไคเวยเพื่อช่วยคลายเอ็นวัวที่ใช้รวบผมของนางทั้งวัน หลังจากนั้นก็ใช้สิบนิ้วนวดคลึงหนังศีรษะหนักเบาสลับกัน นวดไปพลางบ่นไปพลาง
“คุณหนูเอาแต่รวบผมเป็นหางม้าสูงทรงเดิมตลอด ทั้งยังไม่ยอมใช้เครื่องประดับ ใช้แค่เอ็นวัวเส้นเดียว เฮ้อ เอ็นวัวนี่ก็ใช้เส้นละสองสามปีไม่เคยเปลี่ยนเช่นกัน…” ยิ่งบ่นก็ยิ่งอยากร้องไห้ “คุณหนูเจ้าขา พวกข้าไม่มีสิทธิ์พูด แต่สิ่งที่พวกข้าถนัดที่สุดคือวิชาทำผมที่มารดาข้าจับมือสอนให้ตั้งแต่สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อไรคุณหนูจะทำตัวดีๆ ให้ข้าได้แสดงฝีมือช่วยท่านทำผมทรงงามๆ ชนิดพลิกฟ้าคว่ำดินให้ลือลั่นไปทั่วเมืองหลวง เพื่อเป็นการปลอบประโลมดวงวิญญาณของมารดาที่อยู่บนสวรรค์บ้าง”