“ขอบคุณมาก…เรื่องนั้น…ข้าอยากจะบอกว่าในที่สุด เราก็แต่งงานกันแล้ว ข้าไม่คิดเลยว่าใต้เท้ามู่จะเข้าวังไปสนองพระราชโองการและขอบพระทัยฝ่าบาท” ใต้เท้ามู่ที่เขาพูดถึงคือมู่เจิ้งหยาง “พอใต้เท้ามู่เข้าวังก็มีราชโองการออกมาในวันนั้น ทำให้เรื่องทุกอย่างเร่งรีบไปหมด…ข้าเคยสาบานกับเจ้าไว้แล้วว่าจะออกหน้าแก้ปัญหาให้ แต่ผลกลับทำให้เจ้าจำเป็นต้องแต่งงาน…ข้าไม่ดีเอง”
เขาผิดที่หักใจวางยานางไม่ได้ ไม่อาจทำให้นางเป็นโรคหลับไม่ตื่น ทั้งที่รู้ว่าจวนคังอ๋องมีบทบาทอะไรในสายตาฮ่องเต้ซิงอวี้ แต่เขากลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ ทั้งยังทำเป็นสุขภาพอ่อนแอ เพื่อเดินไปบนพื้นน้ำแข็งบางๆ นี้โดยลำพัง ทว่าในช่วงเวลาที่ควรตัดใจ เขากลับตัดใจจากโอกาสที่จะได้ครอบครองสตรีที่เขาเฝ้าปรารถนามานานหลายปีไม่ได้ เขาเพียงอยากไขว่คว้านางมาไว้ในมือโดยไม่ยอมปล่อยและไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ในเมื่อเป็นสามีภรรยากัน ด้วยปฏิภาณไหวพริบและความเฉลียวฉลาดของนาง เขาไม่มีทางปิดบังนางได้นานแน่ ไม่ช้าก็เร็ว มู่ไคเวยย่อมรู้เรื่องของเขาทุกอย่าง
ถึงตอนนั้น เมื่อนางรู้เรื่องในอดีตของเขาทั้งหมดแล้วนางจะมองเขาด้วยสายตาเช่นไรกันนะ
เฮ้อ ยิ่งพูด ฟู่จิ่นซียิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องจริงๆ
“คนผิดคือข้าต่างหาก” มู่ไคเวยพูดโพล่งขึ้นเพราะเห็นเนตรหงส์ที่เหมือนมีประกายน้ำ ทำให้นางอดใช้นิ้วเกาแก้มไม่ได้ “ข้านิสัยไม่ดี จู่ๆ ก็ลงไม้ลงมือ การที่ท่านอ๋องที่เป็นคนอ่อนโยนใจกว้างต้องมาอยู่กับข้าถือเป็นการเอาเปรียบท่านแล้ว…เอ่อ…ท่านอ๋องไม่ต้องตกใจนะ ข้าไม่ทำร้ายท่านหรอก ความหมายของข้าคือ…” นางย่นคิ้วคิดหนักนิดหน่อย “ตัวอย่างเช่นการป่วนห้องหอวันนี้ ถ้าเป็นคนนิสัยดีย่อมต้องอดทนให้มันผ่านไป แต่ข้ากร่างจนเคยตัวเลยทำให้เกิดเรื่องยุ่ง และท่านอ๋องต้องถูกพระญาติเอาไปพูดกันให้ทั่ว…”
ฟู่จิ่นซีอยากรวบร่างเจ้าสาวของตัวเองมากอดจริงๆ
เวลานางไม่ได้สวมชุดขุนนางสีดำทำให้นางดูตัวเล็กและอรชรมากขึ้น ยิ่งหญิงสาวทำตัวเรียบร้อยและพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความรู้สึก ยิ่งทำให้นางดูน่ารักกว่าเก่า ไม่ว่าจะมองที่ใดก็ล้วนน่าเอ็นดู ทำให้หัวใจของชายหนุ่มคันคะเยอจนแทบทนไม่ไหว…แต่เขาก็ต้องทนให้ได้!
ฟู่จิ่นซีต้องสะกดกลั้นความปรารถนาที่อยากจะกอดนางอย่างสุดชีวิตแล้วยื่นมือออกไปจากโปงผ้าห่มเพื่อกุมมือข้างหนึ่งของหญิงสาว เหมือนมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และเป็นไปตามธรรมชาติ
“ปล่อยให้พวกเขาพูดกันไปเถอะ ข้า…ข้าชอบให้เจ้าทุบตีเวลาไม่พอใจ เช่นนี้ล่ะดีแล้ว เพราะชายาข้าคืออสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวง ย่อมต้องเปี่ยมอำนาจบารมีเช่นนี้ ไม่ว่าเจ้าอยากซัดใคร ข้าล้วนไม่มีปัญหา”
มู่ไคเวยฟังแล้วถึงกับเลิกคิ้วขึ้นยิ้มๆ
ตอนถูกเขากุมมือ มู่ไคเวยรู้สึกว่าปลายนิ้วของชายหนุ่มค่อนข้างเย็น ทั้งที่มือของเขาซุกอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ แต่มันกลับไม่ได้อุ่นขึ้นเลย ไม่รู้ว่าร่างกายเขามีปัญหามากเพียงใด หญิงสาวแอบคิดแล้วรู้สึกหนักอึ้งในอก นางจึงเผลอใช้มือทั้งสองข้างจับมือที่ซีดจนมองเห็นเส้นเลือดสีเขียวของเขา แล้วนวดคลึงนิ้วเรียวที่ปราศจากสีเลือดทั้งสิบนิ้วเบาๆ
ว่ากันว่านิ้วมีเส้นเลือดที่เชื่อมต่อไปถึงหัวใจ พอถูกนวดมือเช่นนี้ นิ้วเท้าทั้งสิบในถุงเท้าของฟู่จิ่นซีเลยแอบหดเกร็ง หัวใจในโพรงอกข้างซ้ายกระเด้งกระดอนรุนแรงจนปวดซี่โครง เขารู้สึก…เหมือนจะหอบออกมาด้วยความรู้สึกซาบซ่านอย่างหน้าไม่อาย