ทดลองอ่าน ชายาสะท้านแผ่นดิน บทนำ – บทที่ 8 – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ชายาสะท้านแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ชายาสะท้านแผ่นดิน บทนำ – บทที่ 8

 บทที่ 3

วันรุ่งขึ้น ฟ้ายังไม่ทันสาง ข่าวหนึ่งก็เลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ เริ่มแพร่สะพัดออกไปดุจไฟลามทุ่ง

หญิงอัปลักษณ์ลั่วอวี่ปฏิเสธการเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ชายสาม ติว่าองค์ชายสามมีรูปโฉมงดงามยิ่งกว่าอิสตรี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมีรูปลักษณ์เหมือนสตรีเพศ ดังนั้นจึงประกาศถอนหมั้น ทั้งพาบิดามารดาออกจากบ้านเพื่อยืนยันความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

ข่าวนี้แพร่สะพัดว่องไวสะท้านฟ้าไปทั่วแผ่นดิน หากเทียบกันแล้ว เรื่องที่ลั่วอวี่มีวรยุทธ์กลับถูกข่าวนี้กลบจนมิด

องค์ชายสามคือผู้ใดรู้หรือไม่

พระโอรสองค์ที่สามอันเกิดแต่พระมเหสีของพระราชาองค์ปัจจุบัน กล่าวกันว่ารูปร่างหล่อเหลาสง่างาม ไม่เป็นสองรองใคร อีกทั้งแม้อายุยังน้อยกลับมีพลังยุทธ์ก้าวข้ามระดับสีเขียวเข้าสู่พลังยุทธ์สีน้ำเงินซึ่งถือเป็นพลังยุทธ์ขั้นสูงในบรรดาพลังยุทธ์เจ็ดสี นับเป็นยอดอัจฉริยะผู้หาตัวจับยาก

แต่วันนี้องค์ชายผู้งามสง่ากลับถูกถอนหมั้นเสียแล้ว ทั้งยังถูกหญิงอัปลักษณ์ถอนหมั้นอีกด้วย

ยังมีข่าวใดน่าตื่นตะลึงไปกว่าข่าวนี้อีกเล่า

ทุกแห่งที่ข่าวแพร่สะพัดไปถึงเป็นต้องกลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังอาหารในวงน้ำชาตามหัวถนนท้ายตรอกไปทันที อีกทั้งยิ่งแพร่ออกไปก็ยิ่งถูกใส่สีตีไข่

ยามนี้ลั่วอวี่ซึ่งอยู่ในหอลับกลับสำราญอารมณ์เป็นที่สุด นางยกถ้วยชาหอมกรุ่นขึ้นละเลียดลิ้มรสจิบแล้วจิบเล่า

ฝั่งตรงข้ามของนางคือจวินอวิ๋นและเฟยเยียนที่กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด

“อาจารย์เจ้าเป็นคนสอน เหตุใดข้าจึงไม่รู้” จวินอวิ๋นมองบุตรสาวที่อยู่ตรงหน้า

อาจารย์? นางมีอาจารย์คอยชี้แนะเสียที่ไหน ที่บอกไปเช่นนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัยบางประการที่ยากจะอธิบายเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงอุปโลกน์อาจารย์ขึ้นมาลอยๆ

“อาจารย์ไม่ชอบพบปะผู้คน” ลั่วอวี่คลี่ยิ้ม

จวินอวิ๋นได้ยินแล้วหันไปสบตากับเฟยเยียนวูบหนึ่ง

แผ่นดินลืมธารากว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ จะมีจอมยุทธ์ผู้ลึกลับไม่ปรารถนาจะเปิดเผยตัวถือเป็นเรื่องปกติยิ่ง นึกไม่ถึงว่าโชคดีเช่นนี้จะมาตกอยู่กับลั่วอวี่ของพวกเขาได้ ดียิ่งนักดียิ่งนัก

จวินอวิ๋นไม่ซักไซ้เรื่องวรยุทธ์ของลั่วอวี่อีก เป็นวิชายุทธ์ที่แตกต่างจากแผ่นดินลืมธาราอย่างเห็นได้ชัด

ผู้เยี่ยมยุทธ์ย่อมมีความคิดอ่านและเคล็ดวิชาสุดยอดของผู้เยี่ยมยุทธ์เสมอ ไม่มีพลังยุทธ์ก็ไม่เป็นไร สามารถคว้าชัยได้ก็พอ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จงปฏิบัติต่ออาจารย์ของเจ้าให้ดี”

จวินอวิ๋นกล่าวถึงตรงนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง เขาทอดถอนใจออกมาเบาๆ มองลั่วอวี่ที่ยิ้มกริ่มก่อนกล่าวว่า “ส่วนเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเจ้ากับองค์ชายสาม เจ้าก็”

พูดยังไม่ทันจบ แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางของลั่วอวี่ที่บ่งชัดว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จวินอวิ๋นก็พูดอะไรไม่ออกอีก

ผ่านไปครู่หนึ่งจวินอวิ๋นจึงถอนหายใจอีกคราแล้วว่า “เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถิด เจ้าพอใจก็พอ ครั้งนั้นองค์ชายสามเพียงแกล้งเจ้าตามประสาเด็ก ต้องจำฝังใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

ได้ยินที่บิดาบ่น ลั่วอวี่จะยิ้มก็ไม่ใช่ ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง นางได้แต่พยักหน้ารับพร้อมกล่าวว่า “ใช่ ข้าจำฝังใจ”

ผู้ใดแยแสตำแหน่งพระชายาอ๋องกัน!

จวินอวิ๋นและเฟยเยียนเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่มองสบตากันแล้วคลี่ยิ้มอย่างอับจนปัญญาออกมาพร้อมกัน

“แล้วลั่วหลีน้องชายเจ้าเล่า เจ้า”

“ท่านพ่อโปรดวางใจ ในเมื่อเราตัดขาดกับจวนกั๋วกง ข้าย่อมไม่ให้น้องต้องตกอยู่ในเงื้อมมือศัตรูเป็นแน่ สหายของข้าได้ส่งคนไปรับน้องที่บ้านท่านยายก่อนแล้ว” ลั่วอวี่ชี้ไปทางจวินเฟย

จวินอวิ๋นมองลั่วอวี่แวบหนึ่ง แล้วจึงเบนสายตาไปทางจวินเฟยซึ่งยืนเงียบไม่พูดจาอยู่ที่ด้านข้างมาโดยตลอด รังสีเข่นฆ่าและความลึกลับจากกายของจวินเฟย ผู้อื่นอาจมองไม่ออก แต่มีหรือที่จวินอวิ๋นจะไม่รู้

คนผู้นี้ไม่ธรรมดา!

ดูเหมือนบิดามารดาเช่นพวกเขาคงพลาดอะไรไปไม่น้อย บุตรสาวของพวกเขาเริ่มยืนผงาดค้ำฟ้าโดยที่พวกเขาไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยสักนิด

เมื่อเห็นบิดามารดาไม่มีข้อคัดค้าน ลั่วอวี่จึงกล่าวขึ้นระหว่างประคองถ้วยชาในมือ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ต่อไปพวกท่านก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจ เรื่องความปลอดภัยไม่มีปัญหาแน่นอน อีกไม่กี่วันข้าจะไม่อยู่ พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเพียงจะไปหาของบางอย่างเท่านั้น”

เรื่องพิษที่คอยรุมเร้านางมาสิบกว่าปีและยังมีเรื่องคนที่วางยาพิษนางอีก เหล่านี้เป็นเสมือนหนามที่คอยทิ่มแทงใจนาง ทว่าเรื่องสำคัญยิ่งกว่าที่ยังคั่งค้างอยู่ก็คือบิดาของนางก็มีพิษชนิดนี้อยู่ในกายเช่นกัน เพียงแต่มีปริมาณน้อยมาก น้อยกระทั่งไม่เคยรู้สึก หากแต่มันกลับกัดกร่อนร่างกายของเขาอย่างเชื่องช้าซึ่งนางได้รู้เรื่องนี้เข้าโดยบังเอิญ

หลายปีมานี้นางค้นคว้าข้อมูลมากมาย แต่กลับไม่พบว่าเป็นยาพิษชนิดใด

ใช้พิษร้ายแรงที่ไม่มีผู้ใดในแคว้นไร้ปีกรู้จักมาเล่นงานครอบครัวของนาง ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีเจตนาสังหารให้สิ้นซาก เนื่องจากเป็นพิษที่ออกฤทธิ์ช้า

ท่านพ่อท่านแม่ของนางไปล่วงเกินผู้ใดเข้ากันแน่ ลั่วอวี่อยากถามยิ่งนัก ทว่าตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือนางมีพลังวัตรสามารถขับพิษเองได้ แต่บิดาของนางไม่มี

บัดนี้พลังฝีมือของนางก้าวรุดหน้าไปมาก ถึงเวลาสมควรช่วยถอนพิษให้บิดาได้แล้ว

ทางเหนือของเมืองร่วมผลมีภูเขาลูกหนึ่งชื่อภูเขาผู้วิเศษ นางเคยไปสำรวจมาแล้ว ที่นั่นมีพืชสมุนไพรมากมาย เพียงแต่ครั้งนั้นนางยังไม่สำเร็จวิชา ไม่อาจปีนขึ้นสู่ยอดผา หากแต่ครานี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

แม้แคว้นไร้ปีกจะไม่มีบันทึกเกี่ยวกับพิษชนิดนี้อยู่เลย แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะถอนพิษไม่ได้ ผู้ฝึกวรยุทธ์โบราณนอกจากศึกษาศิลปะการต่อสู้แล้ว ยังศึกษาเรื่องสมุนไพรและการฝังเข็มไปพร้อมกันด้วย

ได้ยินลั่วอวี่กล่าวเช่นนั้น จวินอวิ๋นก็พยักหน้า ฝ่ายเฟยเยียนกำชับกำชาบุตรสาวไม่กี่คำก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ

บุตรสาวคนนี้ของพวกเขายืนหยัดด้วยตนเองมาโดยตลอด นางทำอะไรละเอียดรอบคอบ พวกเขาไม่มีอะไรต้องห่วงกังวล ส่วนเรื่องจวนกั๋วกงม่วงพราว สถานที่แห่งนั้นเปรียบเสมือนสายน้ำลึกล้ำยิ่ง หลายปีมานี้แม้ถูกขับไล่ออกมา แต่พวกเขาก็มีชีวิตที่สุขสบายใจอย่างที่หาไม่ได้จากจวนกั๋วกง พวกเขาอยู่ที่นี่ย่อมประเสริฐกว่าอยู่ในสถานที่ซึ่งมีแต่การแย่งชิงชื่อเสียงผลประโยชน์แห่งนั้นมากมายนัก

ตัดขาดก็ตัดขาด

ครั้นแล้วจวินอวิ๋นและเฟยเยียนก็ตัดสินใจพำนักอยู่ภายใต้อิทธิพลของหอลับ

ลั่วอวี่อยู่เป็นเพื่อนบิดามารดาสองวัน วันที่สามนางก็มุ่งหน้าขึ้นเขาผู้วิเศษ

ปุยเมฆขาวสะอาด สายลมโชยพลิ้ว อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ

ลั่วอวี่ย่างเท้าเข้ามาสู่ภูเขาผู้วิเศษ นางไม่ได้สนใจเรื่องอื่นใด แต่หารู้ไม่ว่า ‘พายุหมุน’ ที่มีนางเป็นจุดศูนย์กลางกำลังพัดม้วนเข้าสู่เมืองหลวงแล้ว

วิหคสื่อสารหลากสีบินขวักไขว่ ข่าวสารปลิวว่อนทั่วท้องฟ้า

 

สิ่งปลูกสร้างในเมืองหลวงสร้างจากศิลาอันเก่าแก่เรียบง่าย ดูโอ่อ่ายิ่งใหญ่ สงบร่มเย็นงามสง่า เยียบเย็นและทรงอำนาจ กลิ่นอายเหล่านี้ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจที่ซ่อนแฝงอยู่ภายใน

หลังคาบ้านเรือนทรงโค้งและทรงจั่วเปล่งประกายหลากสีสันลานตาท่ามกลางแสงอาทิตย์สาดส่อง ร้านรวงแน่นขนัด ดูคึกคักยิ่ง

หอสุราห้วงทำนองเป็นหนึ่งในหอสุราชั้นยอดแห่งเมืองหลวง

“นี่ เจ้าได้ยินข่าวบ้างหรือไม่ หญิงอัปลักษณ์ไม่เอาไหนแห่งจวนกั๋วกงม่วงพราวปฏิเสธการแต่งงานกับองค์ชายสามแล้วพากันย้ายหนีไปทั้งบ้าน”

“ใครบ้างจะไม่รู้ เขาลือกันไปทั้งแผ่นดิน”

“หญิงหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่กลับกล้าปฏิเสธการแต่งงานกับองค์ชายสาม นางคิดอย่างไรกัน ได้บินขึ้นยอดไม้เป็นพญาหงส์กลับไม่ต้องการ”

“เจ้าจะไปรู้อะไร! ข้าได้ยินว่าหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นบอกว่าองค์ชายสามหน้าตาละม้ายอิสตรีเกินไป นางไม่ชมชอบ ถึงได้ปฏิเสธการแต่งงาน ฮ่าๆ”

“จริงหรือ”

“ก็จริงน่ะสิ”

ภายในหอสุรามีแขกเหรื่อนั่งอยู่เต็มไปหมด หัวข้อสนทนาล้วนวนเวียนอยู่กับข่าวสะท้านแผ่นดินที่วิหคสื่อสารส่งมา

เมื่อเปรียบกับเสียงหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสานที่ด้านนอกแล้ว ภายในห้องรับรองโอ่อ่าของหอสุราแห่งนี้ คนผู้หนึ่งกำลังมีสีหน้าเขียวคล้ำ กำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดังกร๊อบ ส่วนอีกสองคนที่อยู่ข้างกายก็กำลังอุดปาก พยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิต

“ข้ายังได้ยินมาว่าหญิงอัปลักษณ์นางนี้ปฏิเสธการแต่งงานเพราะองค์ชายสามไม่มีน้ำยา!”

“หา! เรื่องจริงหรือโกหก! จงว่ามาเร็วเข้า”

“สตรีผู้หนึ่งไม่ยอมแต่งงานกับบุรุษ ถ้าไม่เพราะไร้น้ำยายังจะมีเรื่องใดอีกเล่า”

“จริงด้วย ที่บอกว่ารูปโฉมงดงามกว่าสตรี คำพูดนี้มิใช่เป็นการบอกทางอ้อมว่าองค์ชายไม่มีน้ำยาหรอกหรือ ฮ่าๆ”

“ใช่ ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน”

พริบตาเดียวเสียงหัวเราะก็ดังครืนไปทั้งร้าน

ท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครง ภายในห้องรับรองหรูหราห้องนั้นก็บังเกิดเสียงปังกึกก้องจนหูแทบดับ โต๊ะไม้จันทน์หลังบานประตูถูกพลังฝ่ามือฟาดใส่จนแหลกเป็นผุยผง ประตูห้องพลอยแตกกระจาย เศษไม้กระเด็นไปทั่วบริเวณ

“เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม อย่าเพิ่งวู่วาม”

บุรุษชุดขาวที่อยู่ในห้อง ทางหนึ่งพยายามกลั้นหัวเราะ ทางหนึ่งก็ฉุดรั้งตัวบุรุษที่มีสีหน้าเดือดดาล แผ่รังสีอำมหิตออกมาทั่วร่างเอาไว้

คำพูดจากปากคนคนหนึ่ง เล่าลือกันปากต่อปาก จากเมืองร่วมผลมาถึงที่นี่ ข้อความเดิมจึงถูกถ่ายทอดจนผิดเพี้ยนไปอย่างสิ้นเชิง จะไปเชื่อได้อย่างไร

บุรุษชุดม่วงที่อยู่อีกด้านช่วยโอบรั้งบุรุษที่กำลังโมโหคลุ้มคลั่งอีกแรง พูดพลางหัวเราะไปพลาง “แค่ข่าวโคมลอย เชื่อได้เสียที่ไหน พวกเรารู้ว่าเจ้ามีน้ำยาก็พอแล้ว เจ้าโอ๊ย!”

สิ่งที่โต้ตอบกลับมาคือหลังมือของบุรุษซึ่งอารมณ์เดือดพล่าน เหวี่ยงเข้าใส่ปลายจมูกอย่างจัง เลือดกำเดาไหลพรวดทันที บุรุษผู้นั้นรีบเอามืออุดจมูกกระโดดหนี

พอเขากระโดดหนี บุรุษชุดขาวไหนเลยจะสามารถฉุดรั้งราชสีห์ที่กำลังบ้าคลั่งไว้ได้ คนผู้นั้นสลัดหลุดจากการเกาะกุมไปทันที

โครม! เตะผางในคราเดียว ประตูห้องที่เดิมแตกวิ่นจนเหลือเพียงเศษซากรุ่งริ่งอยู่เล็กน้อย บัดนี้กลับไม่เหลืออะไรแล้ว

แขนเสื้อสีเหลืองทองสะบัดคราหนึ่ง บุรุษผู้มีสีหน้าเดือดดาลก้าวพรวดออกมายืนตระหง่านอยู่ตรงหัวบันไดของหอสุราอย่างเย็นชา กวาดตามองฝูงชนที่สับสนอลหม่านอยู่เบื้องล่าง

กลุ่มคนที่ส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งอยู่ข้างล่างต่างได้ยินเสียงกึกก้องกัมปนาทจากด้านบนแต่แรกแล้ว เวลานี้จึงพากันแหงนหน้ามองขึ้นไปสลอน

เพียงเห็นที่หัวบันไดด้านบนมีคนผู้หนึ่งเรือนผมดำยาวรวบสูง นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นมีเปลวเพลิงฝากแฝงอยู่ภายใน ขณะที่กำลังกวาดตามองมายังฝูงชนอยู่นี้ ประกายไฟในดวงตาดูจะร้อนแผดเผามากขึ้น เวลานี้บุรุษรูปงามจนน่าตื่นตะลึงผู้นี้เกิดเพลิงโทสะกรุ่นในตัวและกำลังพุ่งสูงเสียดฟ้า

“ผู้ใดกัน ท่าทาง”

“ชู่ว”

“องค์ชายสาม แย่แล้ว”

“สวรรค์ เป็นองค์ชายสาม เมื่อครู่พวกเรา”

พริบตานั้นหอสุราที่เมื่อครู่ก่อนยังมีเสียงพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานพลันเงียบเป็นเป่าสาก ทุกคนในที่นั้นพากันก้มหน้าก้มตา ใบหน้ามีแต่ความหวาดผวาและกระอักกระอ่วน

เวลานี้องค์ชายสามควรจะอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงมิใช่หรือ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้

องค์ชายสามกวาดสายตาเย็นชาไปยังฝูงชน เขาก้าวลงจากบันไดทีละก้าวๆ แขกที่อยู่ใกล้คล้ายได้ยินเสียงองค์ชายสามกัดฟันกรอด สัมผัสได้ถึงเปลวเพลิงร้อนแรงจากสายตาที่มองมา ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้น

“ฮึ”

เมื่อลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย องค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนก็แค่นเสียงหนักๆ ออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ตวัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป

ที่ด้านหลัง สหายทั้งสองซึ่งเฝ้ามององค์ชายสามผู้พยายามข่มกลั้นโทสะแล้วเดินจากไป ทางหนึ่งก็ป้องปากหัวเราะหึๆ อีกทางก็แสร้งวางมาดขรึม กระแอมกระไอสองทีแล้วเอ่ยช้าๆ “ไม่มีข่าวลือในหมู่ปัญญาชน หากเจตนาใส่ร้ายผู้อื่นให้เสื่อมเสีย เช่นนั้นคุกหลวงก็ยินดีต้อนรับพวกเจ้าทุกเมื่อ”

กล่าวจบคนทั้งสองก็พากันยืดอกเชิดหน้า เดินตามองค์ชายสามออกไปด้วยสีหน้าคล้ายมีความโกรธโมโหทาทาบอยู่จางๆ ทว่าหลังออกจากหอสุรามาได้ไม่ไกลก็พากันหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง

ส่วนแขกเหรื่อที่อยู่ในหอสุรา แม้องค์ชายสามจะจากไปนานโขแล้วก็ยังคงไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ส่งเดช

บารมีที่เหลือยังสามารถสยบผู้คน!

 

แสงอาทิตย์เปล่งประกาย อาบไล้สิ่งปลูกสร้างอันวิจิตรงดงาม ดูเจิดจรัสตระการตา

ปัง!

องครักษ์เฝ้าประตูจวนกั๋วกงม่วงพราวได้แต่ยืนทำตาปริบๆ มององค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนถีบประตูไม้จันทน์บุกเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนโดยไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปขวาง

“เรียกจวินโย่วเทียนออกมาพบข้า” เสียงตวาดดังกึกก้องทะลุผ่านตัวอาคารแต่ละชั้นของจวนกั๋วกงม่วงพราว ดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงขอบฟ้า

พริบตาถัดมากั๋วกงคนปัจจุบันจวินโย่วเทียนพร้อมด้วยบุตรชายหลายคนก็พากันออกมา

“องค์ชายสาม ท่าน” จวินโย่วเทียนผมขาวโพลนทั้งศีรษะ แต่รูปร่างกลับกำยำล่ำสันยิ่ง รีบออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

องค์ชายสามหน้าดำคร่ำเครียด กดข่มอารมณ์โกรธ น้ำเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “อย่ามาทำเป็นตีหน้าซื่อ จวินโย่วเทียน ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่เคยได้ยินข่าวลือที่ชาวบ้านกำลังโจษจัน”

“องค์ชายสาม นั่นเป็นเพียงข่าวโคมลอยเรื่องนี้”

องค์ชายสามยกมือห้าม ตัดบทจวินโย่วเทียนทันที เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวเสียงหนัก “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังเจ้าแก้ตัว ข้าเพียงจะบอกเจ้าว่าไม่ว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีใด ต้องนำตัวหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นมาที่เมืองหลวงให้จงได้ ถอนหมั้นหรือ อย่าหวังไปหน่อยเลย! ได้ยินหรือไม่”

เสียงตวาดดังขึ้นด้วยความเดือดดาลสุดขีด เห็นชัดว่าเวลานี้เพลิงโทสะขององค์ชายสามลุกโชนเพียงใด

หญิงอัปลักษณ์ที่ยัดเยียดให้ผู้ใดก็ไม่ต้องการ ถึงกับกล้าประกาศถอนหมั้น กล้าบอกว่าเขาคล้ายอิสตรี กล้าหาว่าเขาไม่มีน้ำยา

น่าตายนัก หากเขาทนต่อคำครหานี้ได้ คงไม่มีสิ่งใดที่ทนไม่ได้อีกแล้ว

เดิมเขาไม่ต้องการหญิงอัปลักษณ์นางนี้เป็นชายา แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว

เขาต้องเอาตัวนางมาให้จงได้ เขาจะทุบกดบดขยี้แล้วกระทืบซ้ำแรงๆ อีกสักหลายทีเพื่อระบายโทสะที่คุโชนอยู่ในใจ

เมื่อได้ยินคำสั่งขององค์ชายสาม จวินโย่วเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค้อมศีรษะรับคำ “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”

ได้ยินจวินโย่วเทียนรับคำ องค์ชายสามก็แค่นเสียงฮึออกมาคำหนึ่ง ก่อนยกเท้าถีบโต๊ะหยกเบื้องหน้าจนล้มคว่ำแล้วค่อยสะบัดแขนเสื้อจากไป

จวินโย่วเทียนมององค์ชายสามที่จากไปด้วยความโมโห เขาเพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ โดยไม่ได้หันหน้ากลับมา “ได้ยินที่องค์ชายสามรับสั่งแล้วใช่หรือไม่”

“ได้ยินแล้วขอรับ” บุตรชายคนโตผู้กุมอำนาจในจวนและบุตรชายคนที่สี่รับคำพร้อมกัน

“เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ยกให้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้า ข้าไม่อยากได้ยินคำตอบที่ไม่น่าพอใจ”

“ขอรับ”

สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านม่านหน้าต่างม้วนตลบ ดอกท้อนอกห้องโถงกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่ง สายลมบางเบาพัดโชยผ่านมา กลีบดอกไม้บางเบาปลิดปลิวร่วงพรู นับเป็นฤดูกาลอันงดงามยากจะหาใดเปรียบ

 

ภูเขาผู้วิเศษ เมืองร่วมผล

ลั่วอวี่ผู้ไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆ กับข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไปเพราะตนเองเป็นสาเหตุกำลังสะพายหลัว เก็บสมุนไพรต่างๆ อยู่ตามหน้าผาสูงชัน

หลายวันมานี้นางข้ามภูเขาหลายลูกติดต่อกัน ได้สมุนไพรดีมาไม่น้อย

ลั่วอวี่เหลียวมองดูหลัวที่มีสมุนไพรอยู่ครึ่งหนึ่ง เมื่อเห็นตัวยาที่ต้องใช้ในการรักษาบิดาค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น นางก็รู้สึกยินดียิ่งนัก

เที่ยงตรง แสงแดดฤดูใบไม้ผลิสาดลอดผ่านยอดไม้ ลั่วอวี่นั่งอยู่บนลานว่างเปล่า กำลังย่างกระต่ายป่าตัวหนึ่งด้วยท่าทางชำนิชำนาญ

น้ำมันสีเหลืองทองค่อยๆ หยาดหยดลงบนกองไฟ เสียงดังฉี่ๆ กลิ่นหอมตลบอบอวลทั่วบริเวณ

นึกถึงตอนนั้น อาจารย์พานางออกมาฝึกวิชาก็จะจับกระต่ายป่า นกต่างๆ ตามป่าเขาเช่นนี้มาย่างกินเป็นอาหารเสมอ ฝีมือการย่างเนื้อของนางนับว่าเป็นเลิศ

จ๊อกๆ

ขณะที่ลั่วอวี่กำลังจมจ่อมอยู่กับเรื่องราวในอดีต จู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นมาอย่างชัดเจน

ลั่วอวี่ตื่นจากภวังค์ อดขำไม่ได้ นางไม่ได้หิวมากถึงเพียงนั้น เหตุใดท้องจึงร้องขึ้นมาได้!

จ๊อกๆ

ขณะที่นางกำลังหัวเราะอยู่นั้น เสียงท้องร้องกลับดังขึ้นมาอีก ซ้ำยังได้ยินชัดถนัดหูกว่าครั้งก่อน

ลั่วอวี่ชะงักอึ้ง นี่มิใช่เสียงที่เกิดจากตัวนาง จังหวะนั้นสองตาพลันเหลือบขึ้น จับจ้องไปตามที่มาของเสียง

ห่างจากหน้ากองไฟไปไม่ไกล สิ่งมีชีวิตเล็กๆ สีเงินยวงตัวหนึ่งกำลังเบิกดวงตากลมโปน จ้องมาที่นางตาไม่กะพริบไม่สิ จ้องกระต่ายป่าของนางต่างหาก

มุมปากเปียกชุ่ม หยดหยาดใสวาวกำลังไหลย้อยมาตามมุมปากของมันแล้วค่อยๆ หยดติ๋งลงมา

นั่นมันน้ำลาย

ลั่วอวี่หัวเราะออกมาทันที คลายอาการระแวดระวังลง ทั้งไม่คิดจะสนใจเรื่องที่เจ้าตัวน้อยสามารถเข้ามาอยู่ใกล้ตัวนางถึงเพียงนี้อย่างไร้สุ้มไร้เสียง โดยที่นางไม่รู้เนื้อรู้ตัวแม้แต่น้อยได้อย่างไร

นางพินิจพิจารณาเจ้าตัวน้อยอย่างละเอียด ขนสีเงินยวงทั้งร่างไม่พันกันเลยสักเส้น ตัวเล็กกระจ้อยขนาดราวฝ่ามือเท่านั้น รูปร่างหน้าตาคล้ายสุนัขจิ้งจอกนิดๆ พังพอนหน่อยๆ

ทว่าลั่วอวี่แน่ใจ มันมิใช่ทั้งสุนัขจิ้งจอกและพังพอน มันเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่นางไม่รู้จัก

ยามนี้เจ้าตัวน้อยกำลังยืนด้วยสองขาหลัง เท้าหน้าของมันโอบก้อนหินที่มีขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารกอยู่ก้อนหนึ่ง มันยืดตัวตรง จ้องมองไปที่เนื้อกระต่ายย่างไม่กะพริบตา ท่าทางตะกละตะกลามนั้นไม่ต้องอาศัยคำพูด มันก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว

ลั่วอวี่ยอมรับว่าตนเองมิใช่คนที่ชื่นชอบสัตว์เล็กๆ สักเท่าไร ทว่าก็ยากจะทำเมินเฉยต่อความน่ารักของเจ้าตัวนี้ได้ นางหัวเราะแล้วส่ายหน้า อาศัยจังหวะนี้พลิกหมุนเนื้อกระต่ายป่าที่อยู่ในมือ

เวลานี้เนื้อกระต่ายป่าใกล้สุกได้ที่จึงยิ่งส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ

“เอื๊อก”

ลั่วอวี่ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายลงคอดังชัด นางหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

เจ้าตัวน้อยจอมตะกละเอ๋ย!

ครั้นเจ้าตัวน้อยเห็นเนื้อกระต่ายป่าพลิกไปมาไม่หยุด จึงเงยหน้าขึ้นชำเลืองตามองลั่วอวี่ที่กำลังหัวเราะร่าคราหนึ่ง

ลั่วอวี่เห็นชัดว่ามันกำลังถลึงตาใส่นาง เสียงหัวเราะจึงยิ่งขบขันมากขึ้น

เจ้าตัวน้อยคล้ายรู้ว่าลั่วอวี่กำลังหัวเราะมัน คราวนี้จึงตวัดสายตาดุดันใส่นาง ทำท่ากลัดกลุ้มใจ ก่อนยกก้อนหินในอุ้งเท้าขึ้นกัดกร้วมไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เคี้ยวกรุบๆ ประหนึ่งกำลังกินถั่วปากอ้า

เสียงหัวเราะของลั่วอวี่พลันชะงักค้างพลางจ้องไปที่ก้อนหินซึ่งถูกกัดจนแหว่งไปแล้ว

ก้อนหินก้อนนั้นแลคล้ายจันทร์เต็มดวงที่ถูกกัดหายไปส่วนหนึ่งกลายเป็นจันทร์เสี้ยว เจ้าตัวน้อยถึงกับกัดกินก้อนหินได้ แสดงว่าฟันของมัน

“กร้วม กร้วม”

ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของลั่วอวี่ ครู่เดียวเจ้าตัวน้อยก็จัดการแทะก้อนหินในอุ้งเท้าจนหมดเกลี้ยง มันหมอบลงกับพื้น สายตากลับมาจับจ้องที่เนื้อกระต่ายย่างอีกครั้ง

มุมปากของลั่วอวี่กระตุกน้อยๆ สัตว์อสูรในแผ่นดินลืมธาราช่างมหัศจรรย์แท้ นางไม่เคยเห็นสุนัขจิ้งจอกที่กินก้อนหินได้มาก่อนนางขอสมมติให้เจ้าตัวน้อยเป็นสุนัขจิ้งจอกเป็นการชั่วคราว

เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าตัวน้อยที่เอาแต่กลืนน้ำลายไม่หยุด ทั้งอวดฟันสีขาวแวววาวเต็มปาก ลั่วอวี่ก็ลงมือฉีกน่องกระต่ายป่าที่ย่างเสร็จแล้วให้มันอย่างรู้งาน

ฟันของมันช่างแหลมคมเหลือเกิน

เจ้าตัวน้อยถูกกลิ่นหอมยั่วจนน้ำลายสอมานานแล้ว ครั้นเห็นลั่วอวี่โยนเนื้อน่องมาให้ข้างหนึ่งก็รีบกระโจนเข้าหาทันที มันส่งเสียงคำรามออกมาคำหนึ่งแล้วจึงกัดกิน งั่มๆๆ พริบตาเดียวน่องกระต่ายก็หายวับไปกับตา

ลั่วอวี่มองสัตว์ที่ตัวเล็กเท่าฝ่ามือก้มหน้าก้มตาจัดการกับน่องกระต่ายป่าที่มีขนาดพอๆ กับตัวของมัน ปากขยับหมุบหมับไม่หยุด เดี๋ยวก็เผยอขึ้น เดี๋ยวก็หุบลง น่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะฉีกน่องอีกข้างส่งเข้าปากตนเองแล้วกัดลงไป

“งั่ม”

ลั่วอวี่เพิ่งอ้าปากกัดลงไปคำแรก พลันมีแสงสีเงินสว่างวาบขึ้นตรงหน้า รวดเร็วจนนางมองไม่ทัน แล้วก็เห็นบนน่องกระต่ายป่าที่ยังงับอยู่คาปาก ด้านหนึ่งคือปากของนาง ส่วนอีกด้านมีกรงเล็บข้างหนึ่งของเจ้าสัตว์ตัวเล็กสีเงินยวงตะปบอยู่ ปากเล็กจ้อยกำลังกัดอยู่บนน่องกระต่ายป่าอีกด้านหนึ่ง ลำตัวห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ

ลั่วอวี่มองประสานสายตากับเจ้าตัวน้อย

ดวงตาเล็กๆ ของมันเบิกกว้าง แววตาบ่งบอกความมุ่งมั่นว่าไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด จะยอมสู้ตายถวายชีวิตเพื่ออาหารเลิศรสอย่างแน่นอน

ลั่วอวี่เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวของมัน เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกอับจนคำพูดและขบขันยิ่งนัก จำต้องยอมคายน่องกระต่ายป่า ยกส่วนที่อร่อยที่สุดให้เจ้าตัวน้อยนี้ไป

เมื่อมันเห็นตนเองได้รับชัยชนะก็รีบกอดน่องกระต่ายป่าทันที ครั้นแล้วก็จัดการกินกร้วมๆ ไม่ว่าจะแทะกระดูก เลาะเนื้อ ล้วนว่องไวยิ่ง

ลั่วอวี่หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วหันไปหยิบเนื้อกระต่ายป่าที่เหลือ ทว่านางเพิ่งจะขยับยื่นมือ จู่ๆ เจ้าตัวน้อยก็กระโจนเข้ามา มันกระโดดขึ้นมาบนหลังมือของลั่วอวี่ พ่นน้ำลายใส่เนื้อกระต่ายป่าไปสองที จากนั้นก็หันมาเชิดหน้าขึ้นมองนาง

ลั่วอวี่ชะงักค้าง ก้มลงมองเจ้าตัวน้อย ในดวงตาดำขลับคู่นั้นเต็มไปด้วยความได้ใจ ช่างคล้ายลั่วหลีน้องชายของนางในวัยเด็กยิ่งนัก พอแย่งของกินนางไม่สำเร็จก็เล่นลูกไม้สกปรก พ่นน้ำลายลงบนของอร่อยเสีย เช่นนี้สิ่งนั้นย่อมต้องตกเป็นของเขาไปโดยปริยาย

ท่าทางแบบนี้มันช่าง

ลั่วอวี่คิดจะปั้นหน้าบึ้งตึง แต่ก็ทนไม่ไหวจริงๆ

“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะใสดังสะท้อนอยู่บนยอดเขา ล่องลอยทั่วท้องฟ้าไปตามสายลม

เจ้าตัวน้อยนี้น่าขันดีจริง!

เมื่อได้รับชัยชนะ เจ้าตัวน้อยที่ได้ครอบครองเนื้อกระต่ายป่าทั้งหมดก็จัดการกับเนื้อกระต่ายที่เหลือจนเกลี้ยงในพริบตาเดียว ทิ้งเพียงกองกระดูกไว้ให้ลั่วอวี่ จากนั้นเมื่ออิ่มหนำสำราญแล้วมันค่อยลุกขึ้นบิดเอวอย่างเกียจคร้าน ตรงเข้ามากอดขาของลั่วอวี่ เอาเล็บเท้าและปากถูไถซุกไซ้ไปบนเนื้อตัวของเด็กสาวคล้ายกำลังออดอ้อนคลอเคลีย สร้างปฏิสัมพันธ์อันเป็นมิตร

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็พลันยินดี แม้มันจะจัดการอาหารกลางวันของนางจนเรียบ ทว่าเมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยเข้ามาผูกมิตรไมตรี นางก็รู้สึกดีใจ

นางยื่นมือออกไปหมายจะลูบไล้แผงขนสีเงินที่แลดูเรียบลื่นดุจแพรไหม ทว่ามือของนางยังไม่ทันสัมผัสถูก เจ้าตัวน้อยก็พลันผละอุ้งเท้า กระถดถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก้มลงมองกรงเล็บของตัวเองแล้วลูบปากเล็กๆ ของตนคล้ายพอใจยิ่งที่ไม่มีคราบสกปรกหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย ครั้นแล้วมันก็หมุนตัว สะบัดก้นใส่ลั่วอวี่ แสงสีเงินสว่างวาบวิ่งหายลับไป

มือของลั่วอวี่ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงค่อยๆ ก้มลงมอง เห็นมุมเสื้อของตนมีคราบมันเยิ้มเปื้อนอยู่ บนกางเกงสีฟ้าปรากฏรอยอุ้งเท้าสองข้างให้เห็นเด่นชัด

กล่าวกันว่าสัตว์บางชนิดมีนิสัยรักสะอาด หลังกินอาหารจะต้องทำความสะอาดเส้นขนและกรงเล็บของตนให้สะอาดเอี่ยม วันนี้เห็นทีนางคงโชคไม่ดี บังเอิญมาเจอสัตว์ที่รักสะอาดเป็นชีวิตจิตใจเข้า อีกทั้งสิ่งที่ต้องสูญเสียไปคืออาหารกลางวันทั้งมื้อ ขณะเดียวกันยังถูก ‘ประทับรอยเท้าไว้ให้ดูต่างหน้า’ บนเสื้อผ้าอีกด้วย

นางคิดจะบันดาลโทสะ ทว่าการถือสาหาความสัตว์เล็กๆ ตัวหนึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาด

ลั่วอวี่ขมวดคิ้วมุ่น แต่ยังไม่วายต้องกลั้นหัวเราะ สุดท้ายได้แต่ฝากถ้อยคำไปกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ “เจ้าตัวน้อย เจอกันครั้งหน้า อย่าหวังจะได้กินอีกเลย”

ไม่รู้ลั่วอวี่พูดไปเพราะพาลโมโหหรือสบถสาบานกันแน่ ทว่าหลายวันต่อจากนั้นคำพูดของลั่วอวี่กลับไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย

คล้ายว่าเจ้าสัตว์ตัวเล็กได้ยึดมั่นแล้วว่าลั่วอวี่คือผู้บันดาลอาหารเลิศรสที่เดินเหินได้ ขอเพียงท้องหิว ได้เวลาอาหารเมื่อใด มันก็จะมาปรากฏตัวต่อหน้าเนื้อย่างอันโอชะที่ลั่วอวี่ย่างเสร็จแล้วอย่างตรงเวลา กินหมดก็สะบัดก้นไป จากนั้นก็เฝ้ารอให้ถึงเวลาอาหารมื้อต่อไป

ขณะที่ลั่วอวี่ถูกยั่วอารมณ์เสียจนจะโมโหก็ไม่ได้ จะหัวเราะก็ไม่ออก ทั้งรู้สึกประหลาดใจในความว่องไวของเจ้าตัวน้อยอย่างมาก

เร็วยิ่งนัก ว่องไวเกินไปแล้ว เมื่อนึกถึงว่านางฝึกคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นสำเร็จขั้นที่สิบแล้ว วิชาตัวเบาของนางในยามนี้ไปได้ไกลกว่าพริบตาละพันลี้ แต่กลับไม่อาจสลัดหลุดจากเจ้าตัวน้อยได้เลย นางถูกมันตามติดอยู่ข้างหลังตลอดเวลา ดูจากท่าทางคล้ายยังมีกำลังเหลืออีกด้วย

เจ้าตัวน้อยนี่เป็นสัตว์ชนิดไหนกันแน่

 

ดวงดาวสาดแสงระยิบระยับลงมาจากท้องฟ้ายามราตรี กะพริบวิบวับดุจดวงตาซุกซน

บนยอดเขาผู้วิเศษ สายลมพัดผ่านยอดไม้บังเกิดเสียงดังซู่ๆ

ดวงจันทร์แจ่มกระจ่าง สายลมพัดเอื่อย ทิวทัศน์งดงามตระการตา ท่ามกลางสีสันยามราตรี ลั่วอวี่เอนกายพิงก้อนหินก้อนหนึ่ง มุมปากเคลือบรอยยิ้ม กำลังละเลียดกลอยมันภูเขา ในมืออย่างใจเย็น

นางจัดการเจ้าตัวน้อยไม่ได้เช่นนั้นหรือ วันนี้นางจะไม่ย่างเนื้อ ดูซิเจ้าตัวน้อยจะกินอะไร

ความมืดเริ่มแผ่กระจายหนาตาขึ้นทุกขณะ เลยเวลาอาหารตามปกติมานานแล้ว

เจ้าตัวน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าคล้ายจะหิวจนเริ่มหงุดหงิดงุ่นง่านแล้ว พยายามส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่หยุด คล้ายจะบอกเป็นนัยว่ามันมาถึงแล้ว รีบทำอาหารให้มันกินเร็วเข้า

ลั่วอวี่นิ่งฟังเสียงเหล่านั้น มุมปากแย้มยิ้มกว้างขึ้น แต่ก็ยิ่งละเลียดหัวกลอยมันในมืออย่างเอื่อยเฉื่อยมากขึ้น

มนุษย์ไม่กินเนื้อย่างวันหนึ่ง ไม่หิวตายมิใช่หรือ

หลังจากส่งเสียงเตือนอยู่เป็นนานสองนาน เจ้าตัวน้อยเห็นลั่วอวี่ไม่ยอมขยับก็ทนต่อไปไม่ไหว มันพุ่งปราดออกจากราวป่ามาหยุดตรงหน้าลั่วอวี่ กวัดแกว่งกรงเล็บน้อยๆ ไปมา ส่งเสียงร้องจิ๊ๆ จ๊ะๆ ใส่นาง

นัยน์ตาเล็กๆ ปูดโปน ปากน้อยเชิดขึ้น กรงเล็บทั้งสองกวัดแกว่งไปมาไม่หยุด ดูไปก็คล้ายเด็กเล็กๆ คนหนึ่งกำลังร้องโวยวายว่า ‘กินข้าวๆ ข้าจะกินข้าว รีบหาข้าวให้ข้ากินเดี๋ยวนี้’ หน้าตาท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ รอยยิ้มในดวงตายิ่งฉายชัดขึ้น แต่ยังคงแสร้งทำเป็นไม่สนใจ หนำซ้ำยังยื่นมือไปหยิบหัวกลอยมันภูเขาในหลัวที่จวนจะเต็มแล้วออกมาอีกเส้นหนึ่ง ตั้งหน้าตั้งตาแทะกินต่อไป ปากก็กล่าวเนิบนาบโดยไม่สนใจว่าเจ้าตัวน้อยจะเข้าใจหรือไม่ว่า “คืนนี้ข้าจะกินของสิ่งนี้”

เมื่อเห็นลั่วอวี่หยิบหัวกลอยมันออกมากัดกินต่อ เจ้าตัวน้อยจึงเดือดพล่านขึ้นมาแล้ว! มันกระโจนขึ้นไปบนท่อนแขนของลั่วอวี่ อ้าปากเห็นฟันขาววาววาม

เพียงเห็นฟันขาวซี่เล็กตวัดผ่าน หัวกลอยมันในมือของลั่วอวี่ก็ถูกเจ้าตัวน้อยเขมือบลงท้องด้วยความเร็วอันร้ายกาจ

ชั่วพริบตาเดียวหัวกลอยมันก็ไม่เหลือหลอ

เจ้าตัวน้อยยกอุ้งเท้าเช็ดมุมปาก มันเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับลั่วอวี่ ท่าทางอวดดียิ่งนักคล้ายกำลังบอกว่า ‘กินได้ ดูซิว่าคราวนี้เจ้าจะกินอะไร’

ลั่วอวี่เลิกคิ้วขึ้น เจ้าตัวน้อยกินทุกอย่างที่ขวางหน้า นางประจักษ์ด้วยสายตาตนเองมาแล้ว สองวันมานี้บางครั้งนางเก็บสมุนไพรจนค่ำมืดไปหน่อย ยามที่มันโผล่มา ถ้าไม่หอบก้อนหินมากินเล่นก็จะเป็นก้านไม้ บ้างก็เป็นผลึกแก้ว ไม่เช่นนั้นก็ดินเหนียว เป็นสัตว์ที่เข้าตำรากินไม่เลือกอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยกินหัวกลอยมันของนางหมด ลั่วอวี่จึงไม่รู้สึกประหลาดใจ และถือโอกาสเลิกกินเสียเลย นางยกมือขึ้นซ้อนหนุนศีรษะ เอนร่างพิงก้อนหิน เริ่มเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์

เจ้าตัวน้อยเห็นลั่วอวี่นอนหลับโดยไม่สนใจมันก็โกรธจนกระโจนขึ้นไปบนศีรษะของนาง แล้วระบายโทสะด้วยการยีผมของนางยุ่งเหยิงเหมือนรังนก แต่ก็ยังไม่หายแค้น มันส่งเสียงคำรามแล้วอ้าปากกว้างงับผมสีดำของลั่วอวี่ออกมากระจุกหนึ่ง แล้วกินลงท้องไปเพื่อระบายโทสะ

นึกไม่ถึงว่าลั่วอวี่ยังคงไม่สนใจมัน

หลายวันมานี้เจ้าตัวน้อยทำกร่างวางก้ามจนเคยตัว จะทนรับความเมินเฉยเช่นนี้ได้อย่างไร ตาเล็กๆ แดงก่ำ ดวงตาปูดโปนพลันพร่ามัว หยาดน้ำใสๆ ร่วงเผาะลงมากระทบถูกใบหน้าของลั่วอวี่

ลั่วอวี่ตะลึงงัน รีบลืมตาขึ้น เห็นเจ้าตัวน้อยกำลังมองนางอย่างน้อยอกน้อยใจ แววตาเต็มไปด้วยการตัดพ้อต่อว่า

แม้จะเรียกว่ากลั่นแกล้ง แต่ลั่วอวี่ก็แค่คิดจะหยอกล้อเจ้าตัวน้อยเล่นเท่านั้น เห็นแบบนี้ใจก็อ่อนยวบลงทันที จะไปถือสาหาความอะไรกับสัตว์เล็กๆ ตัวหนึ่ง นางก็ช่างเหลือเกิน!

ลั่วอวี่ลุกนั่งตัวตรง ยื่นมือไปลูบไล้เจ้าตัวน้อย คิดจะปลอบใจมัน

เจ้าตัวน้อยนัยน์ตาแดงวาววับไปด้วยหยาดน้ำตา หลังจากถลึงตาใส่ลั่วอวี่ด้วยความน้อยใจทีหนึ่ง ก็กระโดดขวับมุดหายเข้าไปในป่าหนีไปแล้ว

ลั่วอวี่รู้ว่าต่อให้วิชาตัวเบาของตนร้ายกาจยิ่งกว่านี้ก็ไม่อาจตามเจ้าตัวน้อยได้ทัน นางอดขมวดคิ้วไม่ได้ ดูเหมือนจะล้อเล่นจนเลยเถิดไปแล้ว

นางรีบไปหยิบไก่ป่าที่เตรียมไว้ให้เจ้าตัวน้อยอยู่ก่อนแล้วออกมาจากซอกหินด้านหลัง ลงมือก่อไฟเตรียมย่าง

ขอเพียงมีกลิ่นหอมโชย เจ้าตัวน้อยจะต้องได้กลิ่นแน่นอน ถือเป็นการแสดงความขอโทษของนาง

น้ำมันที่หยดลงบนกองไฟส่งเสียงดังฉี่ กลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ

ทว่าตอนนี้ไก่ป่าย่างเสร็จได้ครู่ใหญ่แล้ว เจ้าตัวน้อยก็ยังไม่มาเสียที

เห็นทีวันนี้นางคงทำให้เจ้าตัวน้อยโกรธเข้าจริงๆ แล้ว ลั่วอวี่ส่ายหน้า ยากนักที่จะได้เจอสัตว์ที่น่ารักน่าชังเช่นนี้ นางกลับ

ลั่วอวี่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ภายใต้แสงจากกองไฟ เงาร่างสีเงินยวงพลันฉายวาบ พุ่งขวับเข้ามาหยุดตรงหน้านาง

ลั่วอวี่หยักยิ้มมุมปาก รีบมองไปพลางกล่าวขึ้น “เจ้าตัวน้อยยังโกรธอยู่หรือ นี่ให้เจ้า”

นางพูดยังไม่ทันจบ ขณะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า คำพูดที่ตามมาพลันถูกกลืนหายลงไปในลำคอ

เห็นเจ้าตัวน้อยลุกขึ้นยืนสองขา อุ้งเท้าหน้าประคองพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งยื่นส่งให้นาง

ใบไม้ห้าแฉก มีทั้งหมดห้าสี สดใสแวววับจับตา ดอกไม้สีขาวขนาดเท่าเล็บมือลอยเด่นอยู่ท่ามกลางใบไม้ห้าสีกำลังผลิบานงามพริ้มเพรา กลิ่นหอมบางเบาละมุนละไม เพียงดอมดมก็ซึมซาบเข้าไปถึงหัวใจ

ต้นหญ้าห้าสีเป็นยอดสมุนไพรสำหรับถอนพิษ

ทว่านี่มิใช่ประเด็นหลัก ที่สำคัญคือพืชชนิดนี้เติบโตอยู่บนหน้าผาสูงชัน ทั้งยังเป็นหนึ่งในตัวยาที่ใช้ถอนพิษให้บิดาของนางอีกด้วย เมื่อตอนกลางวันนางพบมันแล้ว หากแต่ไม่ได้เก็บกลับมา เตรียมตัวจะขึ้นเก็บในวันรุ่งขึ้นเนื่องจากดอกของมันยังไม่บาน ใบไม้ห้าสีที่ดอกยังไม่แย้มบานสรรพคุณจะด้อยลงครึ่งหนึ่ง

หากแต่บัดนี้เจ้าตัวน้อยกลับหอบใบไม้ห้าสีที่นางต้องการกลับมาให้ มองนางด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจนักหนา

เจ้าตัวน้อยติดตามนางมาตลอด รู้ว่านางต้องการสิ่งใดเช่นนั้นหรือ

อาจารย์เคยบอกนางว่าสรรพสิ่งล้วนมีชีวิตจิตใจ สัตว์ยิ่งมีความโดดเด่นในเรื่องนี้ เจ้าตัวน้อยนี่

รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นมาในดวงตา ลั่วอวี่ไม่ได้รับเอาใบไม้ห้าสีต้นนั้นมา หากแต่ค่อยๆ ยื่นมือออกไปลูบศีรษะเจ้าตัวน้อย คลี่ยิ้มแล้วว่า “กินอาหารที่ข้าย่างให้เจ้า ไม่ต้องหาสิ่งใดมาตอบแทน เพราะข้าชอบเจ้ามากจึงเต็มใจทำให้เจ้ากิน เมื่อครู่ข้าเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว เจ้าตัวน้อย เหตุใดจึงได้น่ารักน่าชังนักนะ!”

แม้เจ้าตัวน้อยจะไม่เข้าใจคำพูดของลั่วอวี่ แต่มันสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลอ่อนโยน ปากน้อยๆ พลันแย้มยิ้มทันที มันกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ เอาหัวดุนมือของลั่วอวี่ไว้แล้วถูไถคลอเคลียแรงๆ จากนั้นก็เอาใบไม้ห้าสีที่อยู่ในอุ้งเท้ายัดเข้าไปในอกเสื้อของลั่วอวี่ แล้วหมุนตัวกระโจนเข้าใส่ไก่ป่าที่ย่างสุกนานแล้ว ลงมือกินด้วยความเบิกบานใจ

“งั่มๆๆ” มันจัดการไก่ป่าตัวนั้นอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

ลั่วอวี่ยังไม่ได้สติกลับคืนมา เจ้าตัวน้อยก็สวาปามจนหมดเกลี้ยง

หลังจากอิ่มหนำ มันก็ถูกรงเล็บเล็กๆ กับพื้นดินเพื่อขจัดคราบน้ำมันบนเล็บให้สะอาดเอี่ยม จากนั้นก็กระโดดขวับขึ้นไปบนไหล่ของลั่วอวี่ ไต่ไปตามแนวไหล่มุดตัวเข้าไปในอกเสื้อของนาง อุ้งเท้าเล็กๆ หดไว้ข้างกาย กุมท้องสีขาวนวลไว้ แล้วเริ่มหลับปุ๋ย

ท่าทางมันคงคิดจะตั้งรกรากอยู่ที่นี่ระยะยาว เกาะติดลั่วอวี่ไม่ปล่อยเสียแล้ว

ลั่วอวี่เห็นดังนี้ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ นางยื่นมือไปเคาะหัวเจ้าตัวน้อยทีหนึ่ง “เจ้าจอมตะกละ ยอมตามคนอื่นมาง่ายๆ เช่นนี้ ไม่กลัวถูกจัดการหรืออย่างไร” หากแต่นางก็ปล่อยให้มันทำตามใจอยู่ดี

เจ้าตัวน้อยที่น่ารักน่าชังเช่นนี้ นางจะเลี้ยงไว้ก็แล้วกัน

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ชายาสะท้านแผ่นดิน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com