ทดลองอ่าน ชายาสะท้านแผ่นดิน บทนำ – บทที่ 8 – หน้า 5 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ชายาสะท้านแผ่นดิน

ทดลองอ่าน ชายาสะท้านแผ่นดิน บทนำ – บทที่ 8

บทที่ 4

วันรุ่งขึ้น

เจ้าตัวน้อยใช่ว่ามีประโยชน์แค่เพียงน่ารักน่าเอ็นดูเท่านั้น! กว่าลั่วอวี่จะรู้ตัวอีกครั้งนางก็ต้องตระหนกเมื่อรู้ว่าตนเก็บได้สมบัติล้ำค่าอะไรมา

ตั้งแต่เจ้าตัวน้อยติดตามนางมา ของในหลัวสมุนไพรของนางก็เพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็วอย่างน่าตื่นตกใจ ในนั้นเต็มไปด้วยสมุนไพรล้ำค่าเลื่องชื่อ ล้ำค่าจนแทบจะทำให้ลั่วอวี่ต้องเริ่มดูแลรักษาอย่างระมัดระวัง

ทั้งโสมพันปี หลิงจือหมื่นปี หญ้ามิรู้โรย และผลไม้สีทองถูกเจ้าตัวน้อยโยนใส่หลัวประหนึ่งเป็นต้นหญ้าดาษดื่นธรรมดา

ของเหล่านี้ไม่ว่าอย่างหนึ่งอย่างใด หากนำไปขายในตลาดล้วนมีค่าสูงกว่าทองคำหมื่นชั่ง แต่ในสายตาของเจ้าตัวน้อยก็แค่หญ้าต้นหนึ่งเท่านั้น

ไม่รู้ว่ามันมีประสาทสัมผัสและการดมกลิ่นที่เฉียบไวเพียงใด แม้แต่สุดยอดสมุนไพรที่ลั่วอวี่ยังไม่สังเกตเห็น กลับถูกเจ้าตัวน้อยขุดคุ้ยเจอทุกครั้งไป คล้ายว่าความสามารถโดยกำเนิดของมันคือการตามหาสมบัติล้ำค่าเหล่านี้

เมื่อค้นพบพรสวรรค์อันน่าตกใจของเจ้าตัวน้อย ต่อให้เป็นลั่วอวี่ผู้ไม่โลภโมโทสันยังแทบควบคุมตนเองไม่อยู่

หลังจากเก็บพืชสมุนไพรที่จำเป็นในการรักษาบิดาได้ครบแล้ว นางยังคงอยู่บนเขาผู้วิเศษต่ออีกสิบวัน ตระเวนไปกับเจ้าตัวน้อยเพื่อเก็บพืชสมุนไพรจนทั่ว

สมุนไพรในหลัวแต่ละอย่างล้วนล้ำค่า หากไม่เพราะลั่วอวี่ยึดถือหลักการที่ว่าทำอะไรอย่าให้เกินพอดี ของเหล่านี้ไม่อาจขุดไปจนหมดสิ้นในคราเดียว หาไม่แล้วสมุนไพรทุกชนิดคงถูกเจ้าตัวน้อยขุดจนไม่เหลือรากเป็นแน่

“เจ้าเงิน ไปเถอะ กลับบ้านกัน”

ลั่วอวี่ที่ประสบผลสำเร็จอย่างเต็มเปี่ยมแบกหลัวสมุนไพร โดยมีเจ้าตัวน้อยที่ได้ชื่อเรียกขานตามสีขนของมันนั่งเกาะอยู่บนไหล่ นางทะยานร่างไปข้างหน้า กลับสู่หอลับในเมืองร่วมผล

ท้องฟ้าสีครามเข้ม ก้อนเมฆสีขาวบนท้องฟ้าแปรรูปเปลี่ยนร่างไปตามแรงลมพัดโหมไปร้อยแปดพันเก้า ดูงดงามตระการตานัก

ลั่วอวี่อารมณ์ดียิ่ง ใช้วิชาตัวเบามาตลอดทาง จึงกลับถึงเมืองร่วมผลด้วยความเร็วราวดั้นเมฆาขี่สายฟ้า

ตอนมาถึงเมืองร่วมผลก็เป็นเวลากลางดึกพอดี

ลั่วอวี่ปิดบังความยินดีปรีดาไว้ไม่อยู่ นางกระโดดข้ามกำแพงเมืองต่ำเตี้ย เดินเหินบนหลังคาอย่างคล่องแคล่ว มุ่งหน้าสู่หอลับ

ลั่วอวี่ทิ้งตัวลงจากหลังคามาหยุดยืนอยู่หน้าประตูหลังโรงน้ำชาคืนมืดแล้ว นางยิ้มกริ่มคิดจะแฝงกายเข้าไปอย่างเงียบเชียบให้บิดามารดาประหลาดใจเล่น นึกไม่ถึงว่าเพิ่งย่างเท้าออกไป ดวงตาก็กวาดไปเห็นเครื่องหมายลับที่คล้ายมีคล้ายไม่มีบนบานประตู สีหน้าพลันเคร่งขรึมลงทันที

เครื่องหมายลับ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหอลับ จวินเฟยถึงต้องทิ้งเครื่องหมายนี้ไว้ เจตนาให้นางสังเกตเห็น

ลั่วอวี่หัวคิ้วขมวดมุ่น วนเวียนอยู่ตรงหน้าประตูหลังโรงน้ำชาคืนมืดรอบหนึ่งโดยมิได้เข้าไป แต่กลับเดินไปอีกทิศทางหนึ่งแล้วเข้าทางประตูลับอีกด้าน พอเข้าไปก็มีคนออกมารับหน้านางด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทันที

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ลั่วอวี่ถามเสียงหนัก

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่าน ประมุขหอสั่งกำชับไว้ หากท่านกลับมาให้รีบไปพบเขาทันที” คนผู้นั้นตอบเร็วรี่

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็โผนตัวพุ่งทะยานไปทางห้องพักของจวินเฟยทันที

รัตติกาลดำทะมึน แต่สถานที่ที่จวินเฟยพำนักอยู่กลับมีแสงโคมสว่างไสว เห็นชัดว่ายังไม่เข้านอน

พอผลักบานประตูห้องของจวินเฟยเข้าไป ลั่วอวี่จึงร้องถามขึ้นโดยพลัน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ภายในห้องไม่ได้มีเพียงจวินเฟย จวินอวิ๋นและเฟยเยียนก็อยู่ด้วย ยามนี้เมื่อเห็นลั่วอวี่กลับมาแล้ว ความตึงเครียดบนใบหน้าพวกเขาดูจะผ่อนคลายลงพร้อมกัน คล้ายโล่งใจขึ้นเล็กน้อย

“พี่ใหญ่”

“อวี่เอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว” ในดวงตาของเฟยเยียนมีความร้อนใจที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้จึงหันไปปิดประตู รีบสาวเท้าเข้ามาข้างใน จากนั้นก็วางมือลงบนหัวไหล่ของบิดามารดา เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ต้องห่วง มีข้าอยู่ทั้งคน ต้องแก้ไขได้แน่นอน”

นั่นมิใช่ถ้อยคำฮึกเหิมทรงพลังมากมาย หากแต่กลับเจือความสุขุมเยือกเย็นที่ไม่น่ามีอยู่ในตัวเด็กสาววัยสิบสี่ ทำให้คนฟังแล้วรู้สึกวางใจลงได้จริงๆ

“อวี่เอ๋อร์ พ่อจะไม่อ้อมค้อมกับเจ้า เมื่อสามวันก่อนมีข่าวไม่สู้ดีส่งมา”

สีหน้าของจวินอวิ๋นสุขุมหนักแน่น หาได้ร้อนรนสักเท่าใด เป็นความสงบเยือกเย็นอันเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ในสนามรบมายาวนาน และเวลานี้เขาวางลั่วอวี่ไว้ในตำแหน่งบุคคลที่สามารถปรึกษาหารือและเผชิญหน้ากับปัญหาร่วมกันได้คนหนึ่ง

“อืม ท่านพ่อ ว่ามาเถิด” ลั่วอวี่มองสบตาจวินอวิ๋นแล้วรับคำโดยไม่ครั่นคร้ามแม้แต่น้อย

จวินอวิ๋นพยักหน้าแล้วเปิดปากทันที “สามวันก่อนลูกน้องสามคนที่จวินเฟยส่งไปรับตัวลั่วหลีได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา”

ลั่วอวี่ฟังถึงตรงนี้ก็พลันกระจ่างแจ้งทันที สองคิ้วขึ้งขรึม แววตาแลดูเหี้ยมเกรียมจนน่าพรั่นพรึงในทันใด “น้องถูกชิงตัวไป?”

“ใช่”

จวินเฟยซึ่งมีสีหน้าคร่ำเครียดกล่าวแทรกจากด้านหลัง “ยอดยุทธ์ครามคนหนึ่งกับยอดยุทธ์น้ำเงินสามคนจากจวนกั๋วกงม่วงพราวชิงตัวลั่วหลีไปจากมือเรา พวกเรามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ต้านรับไม่อยู่ พี่ใหญ่ ขอโทษ” กล่าวจบจวินเฟยก็ทรุดเข่าลงข้างหนึ่ง หมายจะคุกเข่ารับผิดกับลั่วอวี่

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็พลันสะบัดแขนเสื้อ พลังวัตรขุมหนึ่งพุ่งเข้าพยุงร่างจวินเฟย ยับยั้งการกระทำของเขาเอาไว้

จวนกั๋วกงม่วงพราวลงมือรวดเร็วยิ่งนัก! เมื่อพบว่าหาตัวพวกนางไม่พบก็รู้ทันทีว่าต้องเบนเป้าไปที่น้องชายของนาง

นัยน์ตาทั้งสองของลั่วอวี่หรี่เล็กลง รังสีเข่นฆ่าพาดผ่านวูบหนึ่ง

ผ่านไปครู่ใหญ่ลั่วอวี่กดข่มรังสีอำมหิตนั้นไว้ได้ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ “เพราะข้าคาดการณ์ไม่รอบคอบ เรายังไม่มีความสามารถพอจะต่อกรกับยอดยุทธ์ครามได้”

ยอดยุทธ์ครามอาจเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีพลังวัตรเจ็ดสิบห้าปีขึ้นไป ในแว่นแคว้นนี้มียอดฝีมือในระดับนี้เพียงไม่กี่คน จวนกั๋วกงม่วงพราวถึงกับให้ผู้อาวุโสเพียงคนเดียวออกโรงเองเพียงเพื่อชิงตัวน้องชายของนางไป ดูท่าจวนกั๋วกงม่วงพราวคงจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

นิ้วมือทั้งห้าของลั่วอวี่ค่อยๆ กำเป็นหมัดแน่น

ยอดยุทธ์คราม ต่อให้เป็นนางก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น

เรื่องนี้ไม่อาจตำหนิคนของหอลับ

“หากลั่วหลีถูกคนของท่านพ่อจับตัวไป เรื่องความปลอดภัยคงไม่ต้องกังวลเกินไปนัก” ท่ามกลางบรรยากาศหนักอึ้ง จวินอวิ๋นได้กล่าวเสริมขึ้น

พูดจบเขาก็มองลั่วอวี่อย่างลึกล้ำครั้งหนึ่ง แล้วจึงกล่าวอย่างลังเล “เพียงแต่พวกเขาปล่อยข่าวออกมาว่าต้องการให้เจ้าเข้าเมืองหลวง”

ลั่วอวี่ได้ยินเช่นนี้ สองมือกอดอกแล้วหย่อนตัวลงนั่ง

ชิงตัวน้องชายของนางไป นอกจากทำเพื่อบีบคั้นนางแล้วก็ไม่มีความหมายอื่นใดอีก เรื่องนี้ไม่ต้องให้ใครบอก ตอนนางได้ยินว่าน้องชายถูกจับตัวไปก็คาดเดาได้แล้ว

“แต่งงานหรือ” ลั่วอวี่เลิกคิ้ว ประกายเยียบเย็นผุดขึ้นมาในส่วนลึกของดวงตา

“ไม่ได้กล่าวถึง เพียงแต่ลอบส่งข่าวมาว่าให้เจ้าเข้าเมืองหลวง ไม่เช่นนั้นแม้พวกเขาจะไม่สังหารลั่วหลี แต่จะมอบตัวเขาให้องค์ชายสามจัดการ”

จวินเฟยมองลั่วอวี่ขณะที่เอ่ยเสริมขึ้น บนใบหน้าที่ไม่ชวนมองเวลานี้กลับมีแววขบขันพาดผ่าน “ได้ยินว่าองค์ชายสามโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หากลั่วหลีตกอยู่ในเงื้อมมือเขาเวลานี้ ข้าเชื่อว่าคงไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขแน่”

เมื่อถ้อยคำนี้หลุดออกมา จวินอวิ๋นเองก็พยักหน้า สีหน้าดูสับสนทั้งกังวลทั้งอับจนปัญญา ทว่าขณะเดียวกันก็มีแววคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพาดผ่านไปแวบหนึ่ง

หลายวันมานี้ลั่วอวี่อยู่แต่บนภูเขาผู้วิเศษ ย่อมไม่ได้ยินว่าข่าวลือเหล่านั้นแพร่สะพัดออกไปจนกลายเป็นเช่นใดไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดว่าองค์ชายสามจะมีเรื่องอะไรให้ต้องเดือดดาลมากนัก

หรือเขาคิดแต่งงานกับนาง? ช่างน่าขัน

แต่จวินเฟยจะไม่มีวันกล่าวคำว่า ‘ไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข’ ขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด ในเมื่อวันนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ ดูท่าคงไม่อาจปล่อยให้ลั่วหลีตกไปอยู่ในเงื้อมมือขององค์ชายสามได้จริงๆ

นางรักน้องชายคนนี้ที่สุด จะไม่มีวันยอมให้เขาต้องได้รับความไม่เป็นธรรมหรือต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอันขาด

เจี้ยเซวียนโม่เหยียนผู้นี้ใจคออำมหิตนัก!

ความเยียบเย็นค่อยๆ ผุดขึ้นในแววตาของลั่วอวี่ ดวงตาทอประกายไหวระริก หากแต่มุมปากกลับหยักยกเป็นรอยยิ้ม “ในเมื่ออยากให้ข้าไปนัก เช่นนั้นย่อมได้ เพียงหวังว่าพวกเขาจะไม่นึกเสียใจภายหลังก็แล้วกัน”

น้ำเสียงสบายๆ คล้ายเจือเสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางความมืดยามราตรี ไม่ตึงเครียด ปลอดโปร่ง ปราศจากความฉุนเฉียวจากการถูกบีบคั้น ทว่ากลับทำให้ทั้งจวินเฟย จวินอวิ๋นและเฟยเยียนรู้สึกเป็นกังวลต่ออนาคตของจวนกั๋วกงม่วงพราวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

ลั่วอวี่แหงนหน้าขึ้น จับจ้องจันทร์กระจ่างราวกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

“อวี่เอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้า”

“ท่านแม่ โปรดวางใจ ข้ารู้ควรทำเช่นไร เอาเป็นว่าเรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้”

แม้เฟยเยียนจะรู้ว่าลั่วอวี่มีวรยุทธ์พิสดารล้ำลึก แต่ก็มิอาจหักห้ามความกังวลใจได้อยู่ดี ไม่ว่าบุตรชายหรือบุตรสาวนางก็รัก นางหาได้ต้องการขายบุตรสาวเพื่อแลกกับบุตรชายไม่

ลั่วอวี่คลี่ยิ้มแล้วเข้าไปกอดแขนมารดา อิงร่างเข้าหา

นางตระหนักดี จะโอหังอวดดีก็ต้องมีต้นทุนของความโอหังอวดดี สู้ผู้อื่นไม่ได้ยังแยกเขี้ยวกางกรงเล็บคิดว่าตนทำเช่นนั้นเช่นนี้ได้ ‘โลกนี้หากไม่มีข้าเสียคนย่อมไม่อาจหมุนต่อไปได้’ นั่นเป็นความโฉดเขลา ยามปีกยังไม่แข็งแรงพอที่จะบินสูงขึ้นก้มลงมองผืนปฐพี เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่งพึงเก็บเขี้ยวเล็บไว้ชั่วคราว จากนั้นค่อยลงมือคราเดียวให้ถึงตาย

“จิ๊ๆ”

ระหว่างที่ลั่วอวี่เอนร่างพิงแขนมารดา เจ้าเงินที่ซุกตัวหลับใหลอยู่ในอกเสื้อของนางจู่ๆ ก็คลานออกมา

มันหิวแล้ว

“สัตว์อสูร?” จวินเฟยและจวินอวิ๋นมองเจ้าเงินซึ่งกำลังปีนป่ายออกมาแล้วต่างตะลึงงันไป

มีพลังยุทธ์จึงจะสามารถกำราบสัตว์อสูร แต่ลั่วอวี่ไม่มีพลังยุทธ์แม้แต่น้อย เช่นนี้

“เจ้านี่เป็นสัตว์อสูรที่เก่งแต่กินเท่านั้น” ลั่วอวี่อุ้มเจ้าเงินจอมตะกละอย่างแย้มยิ้ม ส่วนมือก็ขยี้ตัวมันเล่น

เจ้าเงินแม้จะแยกเขี้ยวขู่ลั่วอวี่ แต่กลับปล่อยให้นางแกล้งเล่นตามใจชอบ

จวินอวิ๋นเห็นเช่นนี้คิ้วซ้ายพลันเลิกสูง มองประเมินเจ้าเงินตั้งแต่หัวจรดหางอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้นอย่างไม่แน่ใจ “นี่เป็นสัตว์ประเภทใดกัน”

“ไม่รู้” ลั่วอวี่ตอบอย่างตรงไปตรงมา

จวินอวิ๋นได้ยินแล้วจ้องมองเจ้าเงินอยู่เป็นเวลานาน เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าเหมือนเคยเห็นภาพสัตว์อสูรประเภทนี้ที่ไหนมาก่อน เพียงแต่ภายในเวลาอันสั้นยังนึกไม่ออก

แต่ภาพสัตว์อสูรที่เขาเคยดูมา ล้วนแต่เป็น

“จริงสิ ท่านพ่อ ตามข้ามาทางนี้ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”

ขณะกำลังแกล้งเจ้าเงิน ลั่วอวี่พลันฉุกคิดถึงธุระอีกเรื่องหนึ่งที่ลืมเลือนไปเพราะเรื่องของลั่วหลีขึ้นมาได้ นางลุกขึ้นตรงไปทางหลัวใส่สมุนไพรที่วางอยู่หน้าประตูพลางกล่าวกับจวินเฟยว่า “จวินเฟย เจ้าปล่อยข่าวออกไป บอกว่าข้าจะเดินทางไป แต่ขอให้พวกเขารอก่อน อีกอย่างหากถึงตอนนั้นเส้นผมของลั่วหลีขาดหายไปแม้แต่เส้นเดียว ผลที่ตามมาพวกเขาจะต้องรับผิดชอบ”

กล่าวจบ ทางหนึ่งก็คว้าหลัวสมุนไพร ทางหนึ่งก็ฉุดรั้งบิดา จากนั้นก็ส่งยิ้มแล้วขยิบตาให้มารดาก่อนเดินจากไป

เฟยเยียนเห็นเข้าก็อดพึมพำขึ้นมาไม่ได้ “เหตุใดเด็กคนนี้ถึงสนิทกับพ่อมากกว่า บุตรสาวน่าจะสนิทกับแม่มากกว่ามิใช่หรือ”

เปลวเทียนไหวระริก จวินเฟยไร้คำพูด

 

ลั่วอวี่ลากจวินอวิ๋นเข้ามาในห้องลับสำหรับฝึกวิชาของนาง นางวางหลัวสมุนไพร สีหน้าที่เดิมทียิ้มแย้มอ่อนโยนพลันเครียดขรึม

จวินอวิ๋นยังคงรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ เขารู้ดีว่าลั่วอวี่ดึงตัวเขามาย่อมมีเรื่องสำคัญเป็นแน่ เมื่อเห็นท่าทีของนางจึงเอ่ยถามเสียงต่ำ “มีเรื่องอะไร”

ลั่วอวี่ไม่ได้พูดอะไร เพียงยื่นมือออกไปแหวกเสื้อของบิดาออกแล้วใช้นิ้วจี้ลงบนจุดลมปราณกลางอกเบาๆ

“โอย” จวินอวิ๋นเจ็บจนสีหน้าแปรเปลี่ยน ร่างงอลงทันที

ความเจ็บปวดรุนแรงเกิดขึ้นเร็ว ทว่าก็หายไปเร็ว พริบตาเดียวก็เลือนหายไป

“นี่มันอาการถูกพิษ” จวินอวิ๋นผ่านโลกมามาก เพียงแวบเดียวก็คาดเดาได้แปดเก้าส่วน

ลั่วอวี่พยักหน้า “ยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า คงถูกพิษมาอย่างน้อยสิบสี่ปี”

จวินอวิ๋นได้ยินแล้วดวงตาก็ฉายแววตื่นตกใจ หลังจากนิ่งงันไปครู่หนึ่งก็ข่มกลั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้ ยืดแผ่นหลังขึ้น นิ่วหน้าแล้วถามว่า “พิษอะไร”

“ไม่ทราบ จวินเฟยสืบถามไปทั่วแคว้นไร้ปีก แต่ไม่มีผู้ใดรู้จักพิษชนิดนี้” ลั่วอวี่ตอบอย่างแผ่วเบา

จวินอวิ๋นได้ยินเช่นนี้ ในดวงตาก็มีแววประหลาดใจผุดขึ้น เรื่องนี้

“ท่านพ่อ ท่านบอกลั่วอวี่ทีเถิด ท่านเคยล่วงเกินผู้มีฐานะพิเศษคนใดหรือไม่” ลั่วอวี่โน้มกายลง มองสบตาจวินอวิ๋นที่นั่งอยู่

จวินอวิ๋นได้ยินลั่วอวี่กล่าวเช่นนี้ แววตาพลันบ่งบอกอาการครุ่นคิดลังเลขึ้นมาก่อน จากนั้นก็มีประกายประหลาดใจฉายวาบขึ้นมาในดวงตาดำสนิท สุดท้ายก็รีบสะกดกลั้นความรู้สึกนั้นไว้ หากไม่เพราะลั่วอวี่เฝ้าจับจ้องดวงตาของเขาอยู่ คงพลาดที่จะได้เห็นอย่างแน่นอน

“เมื่อก่อนด้วยฐานะหัวหน้ากองอารักขาย่อมล่วงเกินผู้คนมาไม่น้อย แต่มิใช่คนที่มีฐานะพิเศษอะไร” จวินอวิ๋นยื่นมือมาตบไหล่ลั่วอวี่เบาๆ

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ รู้ว่าบางทีบิดาคงไม่อยากกล่าวถึง หรือเป็นไปได้ว่าบิดาของนางก็ยังไม่แน่ใจนัก

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปท่านพ่อต้องระวังตัวให้มาก ครั้งนี้ข้าขึ้นเขาผู้วิเศษ รวบรวมยาถอนพิษมาได้ครบแล้ว ดีว่าเป็นยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า ข้ายังมีเวลามาถอนพิษได้”

กล่าวถึงตรงนี้ลั่วอวี่เหลือบมองจวินอวิ๋นแวบหนึ่ง มิได้เอื้อนเอ่ยต่อไปอีก แต่ความหมายบ่งบอกชัดเจน หากครั้งหน้ามิใช่พิษที่ออกฤทธิ์ช้า ผลที่ตามมา

จวินอวิ๋นย่อมเข้าใจความหมายของลั่วอวี่ดี เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า “หากเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ เจ้าสามารถเข้าไปในสำนักศึกษาหลวงได้ จงไปหาคนผู้หนึ่งนามว่าอู๋หยา บางทีเขาอาจพอรู้อะไรบ้าง”

ลั่วอวี่ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าเครียดขรึมก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง นางผงกศีรษะรับคำ “เจ้าค่ะ”

ขอเพียงมีเบาะแสที่จะสืบหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังการวางยาพิษออกมาได้เป็นพอ ศัตรูอยู่ในที่ลับ พวกนางอยู่ในที่แจ้ง หากไม่อยากถูกเข่นฆ่าสังหารก็ต้องลากตัวการออกมา จากนั้นค่อยตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก

“เช่นนั้นท่านพ่อ ตอนนี้ข้าจะปรุงยาถอนพิษให้ท่าน”

 

สายลมในฤดูใบไม้ผลิแต่งแต้มสีเขียวขจีให้ต้นหยางหลิว ดอกท้อแดงสะพรั่งรับฤดูกาล พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านพ้นไปหนึ่งเดือน

เมืองหลวงยังคงรุ่งเรืองเฟื่องฟูเช่นกาลก่อน ดอกไม้นานาพรรณผลิบานงามสะพรั่งไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

ลั่วอวี่ในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนของบุรุษเพศพร้อมด้วยม้าชั้นเลวสีดำตัวหนึ่งเหยาะย่างอยู่บนพื้นดินในเขตเมืองหลวงอย่างไม่รีบร้อน ท่าทางเอื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์ยิ่ง

เมืองหลวงแห่งแคว้นไร้ปีกก่อสร้างด้วยหิน มีส่วนคล้ายอาณาจักรโรมันโบราณอยู่บ้างจากความทรงจำของลั่วอวี่ ดูใหญ่โตโอ่อ่าสง่างาม เยือกเย็นน่าเกรงขาม ขณะขี่ม้าไปบนถนนในเมืองหลวง นางมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นคล้ายได้เข้ามาสู่อาณาจักรโบราณ

ขณะกำลังมองสำรวจรอบด้านไปเรื่อยเปื่อย คนผู้หนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลได้เดินตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้านางพลางทักทายด้วยเสียงราบเรียบ

“คุณหนูลั่วอวี่”

ลั่วอวี่หันหน้าไปชายตามองบุรุษวัยกลางคนท่าทางคล้ายพ่อบ้านที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง ไม่กล่าววาจา

“ในที่สุดคุณหนูลั่วอวี่ก็มาแล้ว ข้าน้อยมารับคุณหนูลั่วอวี่ เชิญ” บุรุษวัยกลางคนโค้งตัวลงเล็กน้อย ทันใดนั้นที่ด้านหลังก็มีรถม้างามหรูคันหนึ่งวิ่งเข้ามา

ลั่วอวี่รู้ดีว่าสิ่งที่เรียกว่าปานบนใบหน้าของนางเป็นหลักฐานบ่งชี้ตัวนางได้ดีที่สุด จวนกั๋วกงม่วงพราวมีอิทธิพลกว้างขวางถึงเพียงนี้ มีหรือจะไม่รู้ว่านางมาแล้ว

นางไม่มีท่าทีแปลกใจแม้แต่น้อย เพียงพยักหน้าแล้วก้าวขึ้นรถม้า

ผู้คนที่อยู่รอบข้างพอเห็นรถม้าจากจวนกั๋วกงม่วงพราวก็อดสอดส่ายสายตามองมาไม่ได้ เมื่อเห็นลั่วอวี่ซึ่งไม่อำพรางใบหน้า และไม่มีท่าทางอับอายในความอัปลักษณ์ของตนเองแม้แต่น้อย ชั่วพริบตาเดียวข่าวซุบซิบก็แพร่กระจายไปทั่วทุกทิศทางดุจคลื่นโหมซัดสาด

หญิงอัปลักษณ์แห่งจวนกั๋วกงม่วงพราวผู้ปฏิเสธการแต่งงานกับองค์ชายสาม ทั้งบอกว่าองค์ชายสามไร้น้ำยาผู้นั้นมาแล้ว มาถึงเมืองหลวงแล้ว!

เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปก็กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

ลั่วอวี่ผู้เป็นศูนย์กลางของพายุหมุนลูกนี้นั่งอยู่บนรถม้าอย่างไม่สะทกสะท้าน ท่าทางหนักแน่นดุจขุนเขา เห็นพวกปากมากรอบข้างเป็นเพียงมดปลวกที่ไม่ควรใส่ใจ หรือหากกล่าวในอีกแง่มุมหนึ่งก็เป็นท่วงทีที่เปี่ยมด้วยความทระนงองอาจ ทำให้พ่อบ้านผู้มาต้อนรับประหลาดใจอย่างยิ่ง

อายุยังน้อย กลับมั่นคงดุจภูผา ช่างมีจิตใจที่สุขุมคัมภีรภาพยิ่งนัก!

 

เดินทางผ่านเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรืองมาครึ่งค่อนเมืองก็เข้าสู่จวนกั๋วกงม่วงพราว หนึ่งในสามมหาอำนาจแห่งแคว้นไร้ปีก

หรูหราอลังการยังไม่อาจบรรยายความยิ่งใหญ่โอ่อ่า

สูงส่งน่าเกรงขามยังไม่อาจบรรยายพลังอำนาจ

วิจิตรตระการตายังไม่อาจบรรยายความประณีตงดงาม

ลั่วอวี่นั่งในตำแหน่งของแขกในห้องโถงข้าง กำลังหมุนถ้วยชาในมือเล่น

ดียิ่งนัก ครึ่งชั่วยามผ่านไปยังไม่มีผู้ใดโผล่หัวมาสักคน คงคิดจะแสดงอำนาจกับนางกระมัง!

แพขนตาขยับน้อยๆ มุมปากของลั่วอวี่ค่อยๆ หยักยกเป็นรอยยิ้ม

ในเมื่อเจ้าบ้านไม่รู้วิธีปฏิบัติต่อแขกผู้มาเยือน เช่นนั้นนางจะสอนพวกเขาเองว่าอะไรคือมารยาทในการรับรองแขก

นิ้วเรียวงามทั้งห้าค่อยๆ ไล้วนไปรอบปากถ้วยชารอบหนึ่ง ภายใต้พลังวัตรอันเข้มแข็งทรงพลังทำให้น้ำชาในถ้วยจับตัวเป็นน้ำแข็งทันที นิ้วเรียวบีบเพียงครั้งเดียว ถ้วยชาพลันแตกกระจายกลายเป็นเศษน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วน

มุมปากของลั่วอวี่เจือด้วยรอยยิ้ม ในดวงตากลับมีประกายเยียบเย็นพาดผ่าน

นางหัวเราะเสียงต่ำแล้วกล่าวกับเจ้าเงินที่นอนจนเบื่อจึงเริ่มหันมาแทะเก้าอี้กินว่า “มังกรมีวิถีของมังกร หงส์มีเส้นทางของหงส์ ห้องโถงข้างแห่งนี้มิใช่ที่ที่ข้าสมควรนั่ง เช่นนั้นก็ทำลายทิ้งเสียเถิด”

พูดจบนางก็สะบัดมือ ก้อนน้ำแข็งในมือซึ่งเปรียบเสมือนดินระเบิดอันทรงอานุภาพถูกซัดเข้าใส่เสาหยกขาวสี่ต้นที่คอยค้ำยันห้องโถงข้างแห่งนี้ทันที

เสียงกระแทกหนักๆ ดังขึ้นสี่ครั้ง เสาหยกขาวเริ่มปริแตกลามออกจากจุดที่ถูกซัดแตก

ลั่วอวี่สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งแล้วจึงสาวเท้าไปทางประตูใหญ่อย่างเชื่องช้า เจ้าเงินส่งเสียงจิ๊ๆ จ๊ะๆ เดินตามไป

ลั่วอวี่เดินเนิบนาบออกมาจากห้องโถงข้าง มุ่งหน้าไปทางประตูใหญ่อย่างเอ้อระเหยลอยชาย ขณะที่นางเดินห่างออกมาได้สิบเชียะก็ได้ยินเสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหวมาจากด้านหลัง ตามด้วยฝุ่นละอองกระจายฟุ้ง ควันหนาแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ

เสาหยกขาวในห้องโถงข้างถูกทำลาย เมื่อสูญเสียสิ่งค้ำยัน ห้องโถงทั้งห้องพลันพังครืนลงมา ก่อนหน้านี้ยังเป็นสิ่งปลูกสร้างอันวิจิตรงดงาม พริบตาถัดมากลับกลายเป็นเพียงกองซากเศษหินที่ใช้การไม่ได้

ส่วนลั่วอวี่ที่เดินออกห่างมาได้สิบเชียะ พ้นเขตที่ฝุ่นละอองจะปลิวมาถึงได้พอดี กระทั่งเส้นผมสักเส้นก็ไม่กระดิก

ทุกอย่างตกอยู่ในความนิ่งเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยกระโดดออกมาจากรอบๆ กองซากปรักหักพัง คนเหล่านี้เดิมหมายมาดจะได้เห็นลั่วอวี่ปล่อยไก่ เวลานี้กลับหน้าตามอมแมมไปด้วยฝุ่น แต่ละคนพากันจับจ้องห้องโถงข้างที่พังทลายลงมาอย่างตื่นตะลึง มุมปากเกร็งกระตุก

ลั่วอวี่ไม่แม้แต่จะหันไปมอง นางลูบไล้เจ้าเงินที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกพลางสาวเท้าไปทางประตูใหญ่อย่างไม่รีบไม่ร้อน

“แค่กๆ คุณหนูลั่วอวี่ โปรดอย่าจากไปโดยพลการ” ทันใดนั้นก็มีบ่าวไพร่รุดเข้ามาขวางหน้า

ลั่วอวี่ไม่แม้แต่เงยหน้า เพียงสะบัดแขนเสื้อ คนที่เข้ามาขวางพลันหงายท้องล้มตึงลงไปทันที

“คุณหนูลั่วอวี่ ท่านทำเช่นนี้พวกเราลำบากใจนัก”

อีกคนล้มคว่ำคะมำลงกับพื้น

“คุณหนูลั่วอวี่ ท่าน”

ผู้พูดพลันล้มก้นจ้ำเบ้า จากนั้นก็ล้มกลิ้งติดๆ กันอีกหลายคนแล้วไปติดแหง็กอยู่ในซอกหิน

“คุณหนูลั่วอวี่”

ตลอดทางบรรดาบ่าวไพร่พากันดาหน้าเข้ามาหมายจับกุมตัวลั่วอวี่ กลับคาดไม่ถึงว่าเบื้องหน้าของลั่วอวี่คล้ายมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางอยู่ พวกเขายังไม่ทันรุดเข้าไปก็ถูกดีดสะท้อนกลับมาเสียแล้ว

ไกลออกไปมีบ่าวไพร่ คุณหนู และคุณชายในจวนกั๋วกงม่วงพราวจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจมาเฝ้ารอชมเรื่องสนุก เมื่อเห็นเช่นนี้แต่ละคนต่างเบิกตาโพลง จ้องมองหญิงอัปลักษณ์ลั่วอวี่ที่ก้าวเดินเป็นเส้นตรง จังหวะก้าวไม่ช้าไม่เร็ว กระทั่งศีรษะก็ไม่ได้เงยขึ้น เอาแต่จดจ่ออยู่กับสัตว์อสูรตัวเล็กแบบบางในอ้อมแขนเท่านั้น ทว่าตลอดทางบ่าวไพร่ก็ถูกซัดหงายล้มคว่ำไปจำนวนนับไม่ถ้วน ท่าทางของนางดูเอื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์ราวกับกำลังเดินชมวิวทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิ ไม่ได้เหลือบแลผู้ใดเลย เพียงมุ่งหน้าไปทางประตูใหญ่

“คุณหนูลั่วอวี่ นายท่านขอเชิญไปปรึกษาหารือที่ห้องโถงกลางขอรับ”

ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย น้ำเสียงทรงพลังดังขึ้น บุรุษวัยกลางคนรูปร่างผึ่งผายในชุดเสื้อคลุมยาวผู้หนึ่งเดินเข้ามา

พ่อบ้านใหญ่แห่งจวนกั๋วกงออกหน้าแล้ว

ลั่วอวี่ซึ่งเดินตามเส้นทางของตนมาตลอดยามนี้ค่อยหยุดฝีเท้าลง เงยหน้ายิ้มหยันพลางกล่าวว่า “ข้ายังเข้าใจว่าผู้คนในจวนกั๋วกงม่วงพราวตายหมดแล้วเสียอีก”

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดจากปาก บรรดาบ่าวไพร่ที่ออกมาในช่วงก่อนหน้าต่างกัดฟันกรอด

ที่แท้ในสายตาของลั่วอวี่ พวกเขาล้วนมิใช่คน แม้จะเข้าใจความหมายในคำพูดของลั่วอวี่ แต่พวกเขายังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะไปพูดจากับนาง อดไม่ได้ที่จะนึกเดือดดาลอยู่ในใจ ช่างเป็นเด็กสาวที่กำเริบเสิบสานนัก!

“คุณหนูลั่วอวี่ เชิญ”

บุรุษวัยกลางคนไม่ได้โต้ตอบและไม่ได้บันดาลโทสะ บนใบหน้าเย็นชาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดให้เห็น เพียงค้อมกายน้อยๆ ให้ลั่วอวี่เป็นเชิงเชื้อเชิญ จากนั้นก็เดินนำทางไป

คนผู้นี้เฉยเมยเยือกเย็น เจือด้วยความหยิ่งยโสในความเป็นคนของจวนกั๋วกงม่วงพราวอยู่ในที ลั่วอวี่เห็นอยู่ในสายตา เยาะหยันอยู่ในใจ

 

ภายในโถงกลางของจวนกั๋วกงม่วงพราว แม้ไม่หรูหราโอ่อ่าสลักเสลาเป็นมังกรเป็นหงส์เทียบเคียงตำหนักของเหล่าเชื้อพระวงศ์ แต่ก็ทรงอานุภาพน่าเกรงขามทำให้คนไม่อาจมองข้าม คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางจะได้เข้ามานั่งสนทนาในห้องโถงกลางได้ ในบรรดาลูกหลานที่ถูกเสือกไสไล่ส่งไปอยู่ดินแดนห่างไกล ลั่วอวี่เป็นคนเดียวที่ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้ามาเจรจาความในห้องโถงกลางแห่งนี้

ห้องโถงกลางอันใหญ่โตโอ่โถง ที่นั่งในตำแหน่งเจ้าบ้านสองตำแหน่งตั้งอยู่จุดกึ่งกลางสุด ซ้ายขวามีเก้าอี้เรียงรายสองฝั่งด้านละแปดตัว บนเสาหยกขาวขนาดใหญ่หกต้นมีพยัคฆ์เหินสีดำกระหวัดเกี่ยวล้อมวน ขับเน้นให้โต๊ะเก้าอี้ไม้จันทน์ยิ่งดูน่าเกรงขาม

ยามนี้ในตำแหน่งเจ้าบ้านมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่

คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่สง่าผ่าเผย ดูเปี่ยมพลังอำนาจเกินบรรยาย แลละม้ายบิดาของนางอยู่สามส่วน เขาก็คือท่านลุงใหญ่ของนาง โหวเจวี๋ย จวินลี่แห่งจวนกั๋วกงม่วงพราวผู้เป็นรองเพียงท่านกั๋วกงจวินโย่วเทียนเท่านั้น

โดยไม่สนใจความสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย ลั่วอวี่ตรงเข้าไปหย่อนก้นลงนั่ง ฝ่ามือลูบไล้เจ้าเงินที่กำลังพริ้มตาด้วยความสบายอยู่ในอ้อมแขนพลางเอ่ยเสียงเย็น “ข้ามาแล้ว มอบตัวน้องชายข้าคืนมา”

เมื่อเห็นลั่วอวี่ไม่มีอาการครั่นคร้าม ทั้งก่อนหน้านี้เพิ่งทำลายห้องโถงข้างของจวนกั๋วกงไป เวลานี้ยังวางตัวทัดเทียมกล่าววาจาเช่นนี้กับเขาอีก จวินลี่สีหน้าเคร่งขรึมลงก่อนจะกล่าวเสียงเย็น “จวินลั่วอวี่ ทางที่ดีเจ้าจงสำนึกถึงฐานะของตัวเองให้ดีก่อน ระวังคำพูดของเจ้าด้วย”

น้ำเสียงทุ้มต่ำไร้โทสะ หากแต่น่าหวั่นเกรง

ลั่วอวี่กลับไม่ถูกอำนาจของเขากดข่มแม้แต่น้อย นางเลิกคิ้วเรียวงาม แค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “ฐานะของข้า ข้าย่อมตระหนักดี ไม่ต้องให้ท่านย้ำเตือน ท่านจวินโหว ทางที่ดีท่านควรสำนึกถึงฐานะของท่านก่อนจะดีกว่า”

จวินลี่ได้ยินแล้วบนใบหน้าพลันมีร่องรอยโทสะคุกรุ่นขึ้นมาบางๆ ในบรรดาชนรุ่นหลังแห่งจวนกั๋วกงม่วงพราว ยังไม่เคยมีผู้ใดบังอาจกล่าววาจาเช่นนี้กับเขา!

สีหน้าของเขาขรึมลง ดวงตาหรี่เล็ก

“จวินลั่วอวี่ อย่าคิดว่าไปแอบฝึกวิชานอกรีตนอกรอยที่ใดมาแล้วเข้าใจว่าตนเองเก่งกล้าไร้ผู้เทียมทาน ไม่มีใครในโลกนี้กำราบเจ้าได้ แค่ฝีมือปลายแถวของเจ้า จวนกั๋วกงม่วงพราวของเราหาได้เห็นอยู่ในสายตาไม่” คำกล่าวนี้มิใช่ข่มขู่ ยิ่งฟังเหมือนคุกคาม

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วไม่เกิดโทสะ กลับเอนกายพิงพนักเก้าอี้ นางหัวเราะเสียงเย็น “จวนกั๋วกงม่วงพราว หนึ่งในสามจวนกั๋วกงใหญ่แห่งแคว้นไร้ปีก อิทธิพลแทรกซึมทั่วทุกหย่อมหญ้า เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังสี่ยอดยุทธ์ครามแห่งแคว้นไร้ปีกก็อยู่ในจวนกั๋วกงม่วงพราวแห่งนี้แล้วหนึ่งคน พลังอำนาจย่อมแข็งแกร่งเกรียงไกร ความสามารถนี้ข้าเองก็ยอมรับ ตัวข้าในเวลานี้ยังไม่สามารถเอาชนะยอดยุทธ์ครามได้ แต่@@@แล้วอย่างไรหรือ”

ในใจของลั่วอวี่ย่อมมีตาชั่งอยู่อันหนึ่ง คนเรานั้นจะโอหัง จะอวดดีย่อมได้ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่แกร่งกล้ายิ่งกว่ายังจะโอหังอวดดีอย่างไร้ขอบเขตก็เท่ากับเอาไข่ไก่ไปกระทบกับก้อนหิน นั่นย่อมมิใช่ความโอหังอวดดี หากแต่เป็นความโฉดเขลา

ลั่วอวี่เองไม่เคยคิดว่าตนเป็นคนโฉดเขลา

“แล้วอย่างไรหรือ” จวินลี่แค่นหัวเราะ “ก็หมายความว่าเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะมาท้าทายข้าที่นี่อย่างไรเล่า ลั่วหลีจะอยู่หรือไป เจ้าไม่มีสิทธิ์จะมาถามถึง” เสียงหัวเราะเย็นเยียบ เจือด้วยความหลงระเริงที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก

ลั่วอวี่ได้ยินแล้วปรายหางตามองจวินลี่ บนดวงหน้าปราศจากความขุ่นเคือง ไม่มีความร้อนรนและไร้ความหวาดหวั่น มุมปากยังหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบาคล้ายกำลังเวทนาเขา ยังผลให้ใบหน้าของนางซึ่งครึ่งหนึ่งคล้ายเทพธิดา ครึ่งหนึ่งคล้ายมารร้าย บังเกิดเป็นความขัดกันอย่างสุดขั้วระหว่างความอัปลักษณ์และความงามหยาดเยิ้ม

สีหน้าของจวินลี่ขรึมลงในทันที ลั่วอวี่กำลังเวทนาเขาเช่นนั้นหรือ

ด้วยสายตาเช่นเดิม ลั่วอวี่เอ่ยขึ้นช้าๆ “จวนกั๋วกงม่วงพราวไม่นับญาติสายรอง เฉพาะลูกหลานสายตรงมีจำนวนทั้งหมดสามร้อยสี่สิบแปดคน ผู้ที่มีความสามารถสูงสุดก็คือจวินลั่วเฟย บุตรชายของใต้เท้าโหวเจวี๋ย เป็นถึงยอดยุทธ์เขียว ส่วนยอดยุทธ์ระดับน้ำเงินขึ้นไปในจวนแห่งนี้ก็มีเพียงไม่กี่คน จวินโหวเจวี๋ย ข้าเชื่อว่าน้องชายทั้งสองของท่านคงกลับมารายงานเรื่องความสามารถของข้าให้ท่านทราบแล้ว เวลานี้ต่อให้ข้าไม่อาจเอาชนะยอดยุทธ์ระดับน้ำเงินขึ้นไปได้ แต่ที่ต่ำกว่าระดับน้ำเงินลงไปเล่า”

กล่าวถึงตรงนี้ลั่วอวี่หยุดนิ่งไปชั่วขณะ มองจวินลี่ที่สีหน้าแข็งค้างไปในพริบตา นิ้วมือค่อยๆ ลูบไล้ไปตามเนื้อตัวน้อยๆ ของเจ้าเงิน

“ข้าเชื่อว่าหากข้าจะสังหารพวกเขา ย่อมง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ” สีหน้านุ่มนวลอ่อนโยน น้ำเสียงกลับเยียบเย็นเสียดแทงกระดูกประหนึ่งหนามแหลมที่แทงทะลุเข้ามา

“เจ้ากล้า!” ดวงตาทั้งคู่ของจวินลี่หรี่ลง รังสีอำมหิตแผ่กระจายออกมาทั่วร่าง

พริบตานั้นลั่วอวี่ก็เก็บงำความอ่อนโยนบนใบหน้า เชิดศีรษะขึ้นกล่าวเสียงเฉียบขาด “ไม่เชื่อเราก็มาลองดูกัน! ขอเพียงท่านกล้าแตะต้องน้องชายข้าแม้เพียงเส้นขน ข้าจะทำให้จวนกั๋วกงม่วงพราวต้องสิ้นลูกสิ้นหลาน”

แมวน้อยที่กางกรงเล็บอย่างเกียจคร้านออกมาเป็นระยะ จู่ๆ กลับกลายร่างเป็นเสือดาวที่หมายขย้ำคน ทำให้จวินลี่ถึงกับตกตะลึง พลังอำนาจถูกลั่วอวี่กดข่มลงอย่างสิ้นเชิงในพริบตา

อากาศในโถงกลางเยียบเย็นหนักอึ้ง ทำให้คนหายใจไม่ออก

“ทารกหญิงปากกล้านัก ไม่กลัวว่าวันนี้จะไม่ได้ก้าวออกจากจวนกั๋วกงแห่งนี้หรือ”

ฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงบ่งบอกถึงความเป็นผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนดังขึ้นทำลายบรรยากาศในห้องโถงกลางที่ต่างกำลังเฝ้าคุมเชิงกันอยู่ ชายชราผมสีเงินผู้หนึ่งสองมือไพล่หลังเดินเข้ามาช้าๆ

“ท่านพ่อ” จวินลี่ได้ยินเสียงก็รีบลุกขึ้นยืน เอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม

จวินโย่วเทียน กั๋วกงคนปัจจุบันแห่งจวนกั๋วกงม่วงพราวชำเลืองตามองบุตรชายอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง จากนั้นก็จับนิ่งอยู่ที่ร่างของลั่วอวี่

จวินลี่เห็นเช่นนี้ก็อึ้งไปเล็กน้อย บิดากำลังตำหนิที่เมื่อครู่เขาปล่อยให้ตนเองถูกพลังอำนาจของเด็กสาวตัวเล็กๆ กดข่ม ทำให้จวนกั๋วกงต้องเสียหน้า

ลั่วอวี่หันหน้ามาเผชิญกับจวินโย่วเทียนที่ยังกระฉับกระเฉง ลั่วอวี่เก็บงำท่าทีแข็งกร้าว เอนกายพิงพนักเก้าอี้แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “คิดจะสังหารข้า พวกท่านกล้าหรือ”

คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา จวินโย่วเทียนผงกศีรษะในทันที “ทารกหญิงตัวดี ครั้งนั้นเรามองเจ้าพลาดไปจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าสามารถสร้างผลงานขึ้นมาได้ เฉลียวฉลาดยิ่งนัก”

ลั่วอวี่คลี่ยิ้มน้อยๆ ฟังคำพลางผงกศีรษะ คล้ายกำลังเกรงใจในคำสรรเสริญเยินยอของจวินโย่วเทียน

ระหว่างเดินทาง นางก็ได้ยินข่าวลือที่พูดกันจนกลายเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระเหล่านั้น รวมถึงคำสั่งขององค์ชายสามที่ต้องการให้นางมาเมืองหลวง

ฐานะของนางในยามนี้คือที่ระบายโทสะขององค์ชายสาม ขณะเดียวกันสัญญาหมั้นหมายหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทก็ยังมิได้ถูกเพิกถอน ด้วยฐานะทั้งสองของนางในเวลานี้ย่อมมิใช่ผู้ที่จวนกั๋วกงม่วงพราวคิดจะสังหารก็สามารถสังหารได้

หากจวนกั๋วกงม่วงพราวสามารถสั่งการเองได้ วันนี้พวกเขาคงไม่บีบคั้นให้นางเข้าเมืองหลวงแล้ว

“ทว่าใจคออำมหิตเกินไป”

ช่วงแรกเป็นการกล่าวชม ประโยคถัดมาของจวินโย่วเทียนจึงจะเป็นประเด็นหลัก

สิ้นลูกสิ้นหลานเพียงเพราะจวินลั่วหลีคนเดียว นางถึงกับหันคมหอกเล็งมายังทายาทรุ่นต่อไปทั้งหมดของจวนกั๋วกงม่วงพราว คนเหล่านั้นล้วนเป็นญาติพี่น้องของนางทั้งสิ้น

“ตั้งแต่พวกเราถูกขับไล่ออกจากที่นี่ ท่านกั๋วกงมิใช่ได้ตัดสินใจเลือกแล้วหรือ จวนกั๋วกงต้องการเพียงผู้แข็งแกร่ง ส่วนพวกที่อ่อนแอจะไปตายอยู่ในซอกหลืบใดก็หาได้ใส่ใจไม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จวนกั๋วกงม่วงพราวของท่านกับสกุลจวินของข้า เวลานี้จึงเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ในอดีตเคยเกี่ยวข้องกันเท่านั้น กับคนแปลกหน้าจะมาพูดเรื่องใจดำอำมหิตได้อย่างไร” แม้ลั่วอวี่จะกำลังยิ้ม แต่ก็จืดชืดและเยียบเย็นนัก “ข้าเพียงทำตามกฎกติกาของพวกท่าน เพราะฉะนั้นเวลานี้พวกท่านจงอย่าได้ยกความสัมพันธ์ขึ้นมาอ้าง ตอนนี้ข้าจะถามอีกครั้ง น้องชายของข้าอยู่ที่ใด”

หลังจากได้ฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว จวินโย่วเทียนซึ่งเดิมกำลังย่นคิ้ว ในดวงตาพลันปรากฏแววประหลาดใจและลึกล้ำพาดผ่าน ฝ่ายจวินลี่ให้รู้สึกเดือดดาลในความกำแหงของนาง ทว่าถูกผู้เป็นบิดาปรามไว้

หลังจากมองประเมินลั่วอวี่อย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง จวินโย่วเทียนก็ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งในตำแหน่งเจ้าบ้าน แบ่งแยกความเป็นเจ้าบ้านและแขกอย่างชัดเจน

“ทายาทรุ่นหลังของจวนกั๋วกงม่วงพราวไม่ขาดผู้มีแววเป็นยอดฝีมือ เพิ่มเจ้ามาอีกคนก็ไม่ได้มากขึ้น ขาดเจ้าไปคนก็หาได้น้อยลง ในเมื่อเจ้าแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ เช่นนั้นจวนกั๋วกงม่วงพราวของเราก็คงต้องว่ากันไปตามเนื้อผ้า” น้ำเสียงของจวินโย่วเทียนราบเรียบ ทว่าเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามแม้นไร้โทสะ

“ในเมื่อสกุลจวินของเจ้ากับจวนกั๋วกงม่วงพราวเป็นเพียงคนแปลกหน้า เช่นนั้นเจ้าควรจะรู้ว่าสัญญาหมั้นหมายครั้งนั้นบิดาของเจ้าเป็นผู้ตกปากรับคำ แต่เวลานี้เพราะการหมั้นหมายนี้ทำให้จวนกั๋วกงม่วงพราวต้องอึดอัดลำบากใจยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทและองค์ชายสาม นอกจากนี้องค์ชายสามยังยืนกรานไม่เห็นด้วยกับการถอนหมั้น ถึงกับทูลขอต่อฝ่าบาท เมื่อใดที่พระองค์มีพระชนมายุครบเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวก็จะเข้าพิธีอภิเษกสมรสทันที หากผู้ใดกล้าฝ่าฝืน ต้องโทษประหารทั้งสกุล ข้าไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขปัญหานี้แทนเจ้า ในทางกลับกัน เจ้าต่างหากที่ต้องจัดการให้เราอย่างเหมาะสม”

“ตกลง” ลั่วอวี่ฟังแล้วหัวคิ้วขยับเข้าหากัน แต่กลับตอบได้อย่างเฉียบขาดฉะฉาน

จวินโย่วเทียนเห็นดังนี้จึงพยักหน้า สภาพการณ์เหมือนเป็นการเจรจาระหว่างแขกกับเจ้าบ้านอย่างแท้จริง “ส่วนลั่วหลีน้องชายของเจ้า หนึ่งเดือนก่อนจวนกั๋วกงเราได้ทำการทดสอบพลัง เห็นว่ามีพรสวรรค์ไม่น้อย จึงส่งเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาหลวง แม้องค์ชายสามจะอยู่ที่นั่นด้วย แต่ข้าย่อมส่งคนไปคอยดูแลอารักขา จวินลั่วอวี่ การเข้าสำนักศึกษาหลวงยากเย็นเพียงใดเจ้าย่อมรู้ดี เมื่อน้องชายเจ้าได้เข้าไปศึกษา อนาคตย่อมสดใส เรื่องนี้ถือว่าจวนกั๋วกงของข้าแสดงน้ำใจต่อเจ้าก็แล้วกัน”

ลั่วอวี่ฟังถึงตรงนี้ แม้จะเป็นห่วงลั่วหลีที่ถูกส่งไปอยู่ใกล้ปากพยัคฆ์อย่างองค์ชายสาม หากแต่นางตระหนักดี ลั่วหลีสามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวงได้ย่อมเป็นเรื่องดีอย่างมาก สถานที่แห่งนั้นเป็นถึงสำนักศึกษาที่ดีที่สุดซึ่งแคว้นไร้ปีกและอีกสองแคว้นที่อยู่ข้างเคียงร่วมมือกันก่อตั้งขึ้น ผู้จบการศึกษาจากที่นี่ ไม่มีใครไม่เป็นใหญ่เป็นโต

“ขอบคุณมาก น้ำใจครั้งนี้วันหน้าข้าย่อมตอบแทน” ลั่วอวี่ลุกขึ้นยืน

“ดีมาก” จวินโย่วเทียนผงกศีรษะพลางสะบัดมือคราหนึ่ง เทียบสีแดงแผ่นบางก็พุ่งตรงไปหาลั่วอวี่

ลั่วอวี่ยื่นนิ้วมือออกมาสองนิ้ว คีบแผ่นเทียบที่ซัดเข้ามา

“วันนี้เป็นวันที่สำนักศึกษาหลวงรับสมัครศิษย์ช่วงฤดูใบไม้ผลิเป็นวันสุดท้าย นี่เป็นหนังสือรับรองตัวเจ้า”

ลั่วอวี่คลี่ออกอ่าน หมึกดำยังไม่แห้งดี เห็นทีคงจะเป็นหนังสือรับรองที่เพิ่งเขียนเสร็จสดๆ ร้อนๆ หัวคิ้วหางตาพลันกระตุกวาบ ลั่วอวี่เงยหน้าขึ้นมองจวินโย่วเทียน จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “จวินกั๋วกงก็คือจวินกั๋วกง”

จวินโย่วเทียนพยักหน้า ตอบกลับไปคำหนึ่ง “ขอบคุณที่ชม”

ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก ประสานมือไปทางจวินโย่วเทียนครั้งหนึ่ง ก่อนหมุนกายแล้วก้าวออกจากห้องโถงไป จากนั้นเงาร่างก็พลันพุ่งทะยาน พริบตาเดียวก็จากไปไกล

จวินลี่ซึ่งยืนอยู่กลางห้องโถง เวลานี้กำลังมองไปที่จวินโย่วเทียน ก่อนจะกล่าวอย่างเคลือบแคลงสงสัย “ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึง”

จวินโย่วเทียนค่อยๆ ยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นจิบ มองตามหลังลั่วอวี่ซึ่งจากไปไกลแล้วพลางกล่าวขึ้นช้าๆ “จวินลี่ เจ้าจงจำไว้ ยอมรังแกคนชราให้ตกต่ำ ดีกว่าข่มเหงผู้เยาว์ให้อับจน ทารกหญิงผู้นี้ฉลาดกว่าที่เราคาดคิด”

จวินลี่เห็นจวินโย่วเทียนกล่าวอย่างจริงจัง ความประหลาดใจก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว

หรือว่าด้วยสารรูปเยี่ยงนี้ของจวินลั่วอวี่จะสามารถขึ้นนั่งในตำแหน่งพระชายาอ๋องได้จริงๆ วันหน้ายังอาจช่วงชิงตำแหน่งพระมเหสีได้อีกด้วย?

ทว่าต่อให้ครองตำแหน่งพระมเหสีได้ก็หาได้มีอำนาจใหญ่โตขนาดที่จวนกั๋วกงม่วงพราวของพวกเขาจะต้องขอพึ่งบารมี เรื่องนี้

จวินโย่วเทียนเห็นจวินลี่ไม่เข้าใจก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เพียงลุกขึ้นเดินออกไป

จวนกั๋วกงม่วงพราวดูจากภายนอกคล้ายทรงอิทธิพลกว้างใหญ่ไพศาล หากแต่ความเน่าเปื่อยเสื่อมโทรมภายในเขาย่อมรู้ดีกว่าใคร นี่คือเรือที่ดูโอ่อ่าหรูหรา หากแต่ข้างในกลับมีจุดรั่วไม่รู้เท่าไร ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะยังประคับประคองตัวลอยลำไปได้อีกไกลแค่ไหน และไม่รู้ว่าเมื่อใดจะอับปางลง เด็กสาวผู้นี้แม้จะอ่อนเยาว์นักแต่กลับยอมฉีกหน้าเขา ตัดขาดความสัมพันธ์กับจวนกั๋วกงม่วงพราวซึ่งผู้คนรอบข้างต่างหมายจะตะเกียกตะกายขึ้นมาผูกมิตร ความคิดของนางไหนเลยไม่ลึกซึ้ง

“การมอบผลประโยชน์ให้อย่างพอเหมาะพอควร ทั้งสองฝ่ายต่างได้ประโยชน์ย่อมดีที่สุด แต่หากนางทำให้พวกเราต้องเสียหาย” จวินโย่วเทียนกล่าวยังไม่ทันจบ เพียงแต่ยกมือขึ้นขีดขวางกลางอากาศคราหนึ่ง ท่าทางเยียบเย็นอำมหิตยิ่งนัก

ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ก็ต้องสังหาร

จวนกั๋วกงม่วงพราวของเขาไม่มีวันปล่อยให้ผู้ที่เป็นภัยได้ผงาดค้ำฟ้าเป็นอันขาด ต่อให้เป็นลูกหลานของพวกเขาเองก็ตาม!

 

วังไร้ปีก ตำหนักบรรทมขององค์ชายสาม

บุรุษชุดขาววางขี้ผึ้งทาแผลในมือลง เขามองโม่เหยียนผู้มีใบหน้าบึ้งตึงและกำลังใส่ยาอยู่อย่างล้อเลียนพลางเอ่ยขึ้น “เพิ่งมีข่าวว่าคู่หมั้นของเจ้าเข้าไปที่จวนกั๋วกงม่วงพราวแล้ว”

โม่เหยียนได้ยินเช่นนี้ สีหน้าซึ่งเดิมก็ย่ำแย่พออยู่แล้วกลับยิ่งเคร่งเครียดลงจนน่าหวั่นเกรง เขาขว้างขี้ผึ้งยาในมือลงบนโต๊ะหยกขาวอย่างแรง

“ฮ่าๆ ได้ยินว่าอัปลักษณ์จนน่าตกใจเลยทีเดียว”

ในบรรดาคนทั้งสาม บุรุษผู้สวมอาภรณ์สีม่วงยกมือขึ้นกอดอก เอนกายพิงเก้าอี้ไม้จันทน์ตัวเขื่องที่ตั้งอยู่หน้าบานหน้าต่าง เขามองบาดแผลบนแผ่นหลังของโม่เหยียนแล้วหัวเราะอย่างไม่มีเจตนาดี

เรื่องที่ออกไปฝึกวิชาแล้วกลับมามือเปล่ายังไม่ต้องพูดถึง แต่ยังกล้าบุกไปอาละวาดที่จวนกั๋วกงโดยไม่กลับสำนักศึกษาหลวงก่อน ผลที่ตามมาก็คือองค์ชายสามต้องถูกลงโทษตามกฎของสำนักศึกษา ต้องประลองฝีมือกับอาจารย์ของพวกเขาทั้งสองคน ถูกเล่นงานเกือบตาย

ทว่าเรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อความรวดเร็วในการรับข่าวสารของพวกเขา

องค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนเพลิงโทสะลุกโชน สีหน้าบูดบึ้งดูไม่ได้ เขาสวมเสื้อสวบแล้วกล่าวเสียงเข้ม “จวินโย่วเทียนมอบหนังสือรับรองให้นางหรือยัง”

“ให้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นกำลังมุ่งหน้าไปที่สำนักศึกษา” บุรุษชุดสีม่วงตอบทันที ก็คนจากจวนกั๋วกงม่วงพราวเพิ่งมาส่งข่าว

นิ้วทั้งห้าของโม่เหยียนกำแน่นจนลั่นกรอบแกรบ นัยน์ตาทั้งสองหรี่ลง

“ดี ดียิ่งนัก ไป กลับสำนักศึกษา” พูดจบเขาก็ตวัดแขนเสื้อ ก้าวยาวๆ ออกจากตำหนักบรรทมไป

หญิงอัปลักษณ์ ถึงกับกล้าบอกว่าข้าไม่มีน้ำยา ช่างน่าตายนัก! คอยดูครั้งนี้ข้าจะจัดการเจ้าเช่นไร ใน แคว้นไร้ปีกแห่งนี้ยังไม่เคยมีใครกล้าตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับข้าแม้แต่คนเดียว!

บุรุษชุดขาวและบุรุษชุดม่วงเห็นดังนี้ก็หันมาสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาเลิกคิ้วและลอบยิ้มออกมาพร้อมกัน ตอนเดินทางกลับมาเมืองหลวง โม่เหยียนต้องเสียท่าให้กับหญิงอัปลักษณ์ยังไม่พอ วันนี้คู่หมั้นอัปลักษณ์ที่ทำให้เขาเสียหน้าเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ประมาณการดูแล้วน่าจะ@@@

ทั้งสองมองหน้ากัน หัวเราะฮ่าๆ แล้วเดินตามไป

โม่เหยียนทำทุกวิถีทางเพื่อชักนำหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นมายังสำนักศึกษาหลวงซึ่งเป็นอาณาจักรของเขา คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ชมแล้ว

ท้องฟ้าสีแดงระเรื่อ ย่างเข้าสู่ต้นฤดูร้อนอากาศเริ่มร้อนระอุขึ้นมาแล้ว

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ชายาสะท้านแผ่นดิน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com