ชายาสะท้านแผ่นดิน
ทดลองอ่าน ชายาสะท้านแผ่นดิน บทนำ – บทที่ 8
บทที่ 5
สำนักศึกษาหลวงคือสำนักศึกษาชั้นสูงที่สามแคว้นใหญ่ซึ่งมีเขตแดนติดต่อกันได้แก่แคว้นไร้ปีก แคว้นขุมอนันต์ และแคว้นป่าเฟิงร่วมกันก่อตั้งขึ้น
กล่าวถึงผู้ก่อตั้งสำนักก็นับเป็นตำนานที่น่าสนใจ เขาถือกำเนิดในแคว้นขุมอนันต์ ร่ำเรียนการต่อสู้ที่แคว้นป่าเฟิง ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงในแคว้นไร้ปีก เป็นอัจฉริยะผู้หาตัวจับยาก เรืองนามไปทั่วแผ่นดินลืมธารา เนื่องจากเขามีความผูกพันลึกซึ้งกับทั้งสามแว่นแคว้น จะตั้งสำนักศึกษาในแคว้นหนึ่งแคว้นใดล้วนไม่เหมาะ จึงตัดปัญหาด้วยการให้แคว้นทั้งสามร่วมมือกันก่อตั้งสำนักศึกษาเสียเลย
สถานที่กำหนดไว้ที่เมืองหลวงแห่งแคว้นไร้ปีก ส่วนแคว้นขุมอนันต์และแคว้นป่าเฟิงต่างได้รับสิทธิพิเศษบางประการ ด้วยเหตุนี้ทั้งสามแว่นแคว้นจึงรู้สึกมีความเสมอภาคทัดเทียมและดำเนินการด้วยดีมาโดยตลอด
ส่วนบุคคลที่อยู่ภายในสำนักศึกษาหลวง ไม่มีผู้ใดมิใช่ผู้มากพรสวรรค์จากแคว้นทั้งสาม มีบุคคลสำคัญอยู่มากมายนับไม่ถ้วน
ตะวันสาดแสงทองผ่องอำไพ กระเบื้องเคลือบบนหลังคาส่องประกายระยิบระยับหลากสีสันละลานตาภายใต้แสงอาทิตย์ แต่งแต้มเมืองหลวงให้ยิ่งเหลืองอร่ามชวนมอง
สำนักศึกษาหลวงตั้งอยู่ทางด้านใต้ของเมืองหลวงแห่งแคว้นไร้ปีกซึ่งค่อนข้างเงียบสงบ มีอาณาบริเวณหลายพันหมู่ ทอดยาวข้ามภูเขาหลายลูก ยามทอดสายตามองไปแทบไม่เห็นจุดสิ้นสุด
เวลานี้ที่หน้าประตูสำนักศึกษาอันสูงตระหง่านมีผู้คนต่อแถวยาวเหยียดราวมังกรนอนทอดกาย
บิดามารดานับไม่ถ้วนต่างพาบุตรหลานของตนมาชะเง้อชะแง้เฝ้ารอ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายและคาดหวัง รวมถึงความร้อนใจไม่เป็นสุข เหลือเวลาวันนี้อีกวันเดียวเท่านั้น หากยังไม่ได้ลงชื่อเข้าเรียนก็ต้องรอไปอีกสามปี
ตอนลั่วอวี่เดินทางมาถึงสำนักศึกษาหลวง สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือผู้คนจำนวนมากที่เข้าแถวยาวเหยียดดูคึกคักยิ่ง
สมัยก่อนนางเคยเห็นการเปิดรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชิงหัว มหาวิทยาลัยปักกิ่ง หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มาแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นที่ใดมีบรรยากาศครึกครื้นเป็นประวัติการณ์เท่านี้มาก่อน
ลั่วอวี่โบกหนังสือรับรองในมือไปมา ยังดีที่มีของสิ่งนี้ หาไม่แล้วลั่วอวี่ส่ายหน้าแล้วเดินลัดตรงไปยังจุดทดสอบศิษย์ใหม่
“เข้ามาได้อย่างไร ไปต่อแถว” ตรงบริเวณจุดรับศิษย์ใหม่ที่อยู่ด้านหน้าสุด บุรุษวัยกลางคนหน้าตาหยิ่งยโสผู้หนึ่งที่กำลังก้มหน้าก้มตามองผลการทดสอบ หันมาตวาดใส่ลั่วอวี่
ลั่วอวี่ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นหนังสือรับรองที่อยู่ในมือให้ทันที
“เจ้าไม่รู้จักเข้าแถวหรือจวนกั๋วกงม่วงพราวอ๋อ คนของจวนกั๋วกงม่วงพราวหรอกหรือ”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นพอเห็นหนังสือรับรองก็พลันชะงักค้างไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองลั่วอวี่
ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็คลี่ยิ้มน้อยๆ “โปรดอำนวยความสะดวกด้วย”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นมองลั่วอวี่ สายตาจับจ้องอยู่ที่ปานบนใบหน้าของนาง อีกทั้งลั่วอวี่ก็พูดจาอย่างเปิดเผยไม่ได้ปิดบังอำพราง ทำให้บุรุษวัยกลางคนจำได้ทันที “ที่แท้เป็นเจ้าเอง”
ลั่วอวี่คิดไม่ถึงว่าตนจะเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แม้แต่คนในสำนักศึกษาหลวงยังรู้จักนาง นางไม่ได้พูดอะไร เพียงยิ้มน้อยๆ
“ดี เจ้าลองทดสอบก่อนเลย”
บุรุษวัยกลางคนพอรู้ว่าเป็นลั่วอวี่ก็คึกคักขึ้นอักโข ผลักเด็กชายที่อยู่ตรงหน้าออกไป พยักพเยิดให้ลั่วอวี่มายืนแทนที่ เขาหันหน้าเข้าหาดวงแก้วเจียระไนใสบริสุทธิ์ที่มีขนาดเท่าชามข้าวใบหนึ่งแล้วว่า “วางมือลงไป แล้วปล่อยพลังของเจ้าออกมาให้เต็มที่”
ดวงแก้วเจียระไนเป็นผลึกแก้วที่ใสบริสุทธิ์อย่างที่สุด นึกไม่ถึงว่าอยู่ที่นี่ยังถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบอย่างหนึ่งอีกด้วย
ลั่วอวี่เหลียวมองรอบด้านครู่หนึ่ง เห็นเด็กบางคนวางมือลงไปแล้วกลับไม่เกิดอะไรขึ้น บางคนก็มีแสงพลังยุทธ์สีแดงสว่างขึ้น คนที่ดีที่สุดจะมีแสงพลังยุทธ์สีส้มปรากฏขึ้น
คิดไม่ถึงว่าดวงแก้วเจียระไนจะมีความเฉียบไวต่อพลังยุทธ์เช่นนี้
แต่นางไม่มีพลังยุทธ์เลยสักนิด!
“เจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรถึงแทรกแถว นาง”
“ชู่ว เจ้าคงไม่รู้สินะ แต่ข้าได้ยินมาว่าหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นก็คือสตรีที่ปฏิเสธองค์ชายสาม ชื่อจวินลั่วอวี่อะไรนี่แหละ”
“คนของจวนกั๋วกงม่วงพราวหรือ มิน่าเล่า”
“ได้ยินว่านางเป็นพวกไม่เอาไหน ไม่มีพลังยุทธ์อะไรเลย ให้นางลองก่อนเถิด ดูซิจะปล่อยไก่อย่างไร”
ครู่เดียวเสียงซุบซิบที่ไม่ได้ลดระดับเสียงลงก็ดังขึ้นมารอบด้าน และลอยตามลมไปเข้าหูลั่วอวี่ ต่อให้ไม่อยากได้ยินก็ทำไม่ได้
ลั่วอวี่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ไม่โกรธไม่ยิ้มไม่วิตก คล้ายว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับนางที่ดังอยู่รอบข้างไม่ได้เข้าหูนางเลยแม้แต่คำเดียว
นางค่อยๆ ยื่นมือออกมา ทาบฝ่ามือลงบนดวงแก้วดวงนั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดวงแก้วไม่ปรากฏสีสันใดๆ ยังคงใสบริสุทธิ์ดุจอากาศธาตุ
“เห็นไหม ข้าว่าแล้ว ไม่เอาไหนยังจะกล้ามา”
“ฮ่าๆ หญิงอัปลักษณ์ไม่เจียมตัว ยังคิดจะ”
วาจาเสียดสีและเสียงหัวเราะเยาะหยันดังกระหึ่มขึ้น ประหนึ่งคลื่นในทะเลที่ซัดสาดระลอกแล้วระลอกเล่า
บุรุษวัยกลางคนประจำจุดทดสอบก็ยิ้มหยันเช่นกัน “ข้าว่า”
เปรี๊ยะ! พริบตาเดียวกับที่เขาอ้าปากพูด ดวงแก้วที่แข็งแกร่งพลันมีเสียงปริแตก แล้วเริ่มแตกร้าวด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แหลกละเอียดกลายเป็นผุยผงไปในที่สุด
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นกลืนวาจากลับลงไปแทบไม่ทัน มองดวงแก้วที่อยู่ตรงหน้าด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
ดวงแก้วขนาดเท่าชามข้าวแตกร้าวด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ และกลายเป็นผุยผงในเวลาอันสั้นขณะอยู่ใต้ฝ่ามือของลั่วอวี่ ลูกแก้วดวงนั้นกลายเป็นฝุ่นผงไปหมดแล้ว
แต่การแตกร้าวยังไม่หยุดลงเพียงแค่นั้น
แท่นศิลาสีดำสำหรับวางดวงแก้วก็เริ่มแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตามการแตกร้าวของดวงแก้ว ร่องรอยการปริแตกปรากฏชัดเจนต่อหน้าต่อตาทุกคนในที่นั้น คล้ายใยแมงมุมที่กำลังแผ่ขยาย
ปากอ้าตาค้าง!
ท่ามกลางการปริแตกที่กำลังลุกลาม เสียงหัวเราะเยาะหยันรอบข้างค่อยๆ จางหายไป สายตาของทุกคนมองไปที่ฝ่ามือเรียวงามของลั่วอวี่ซึ่งวางค้างอยู่เช่นนั้นเป็นตาเดียว
บุรุษวัยกลางคนหลายคนที่ประจำอยู่ตามจุดทดสอบรอบด้านต่างพากันลุกขึ้นยืน มองมาทางด้านนี้อย่างตื่นตะลึง
สายลมเย็นพัดพรูมาเบาๆ ดวงแก้วและแท่นศิลาสีดำขนาดใหญ่ที่แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีพลันปลิวหายไปตามสายลมทันที ไม่เหลือเศษซากให้เห็นแม้แต่น้อย
ดวงแก้วและแท่นศิลาสีดำที่เมื่อครู่ยังตั้งอยู่ดีๆ พริบตาเดียวกลับอันตรธานหายไปไม่เหลือร่องรอย
ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคน ลั่วอวี่ดึงมือกลับมาอย่างแช่มช้า กล่าวเสียงเรียบว่า “ขออภัยด้วย ข้ามือหนักไปหน่อย”
มือหนักไปหน่อย? มือหนักไปหน่อย!?
พริบตานั้นผู้คนที่อยู่รอบด้านถูกคำพูดของนางทำเอาแทบกระอักโลหิต
ทำลายศิลาแหลกเป็นผุยผง มีแต่ยอดยุทธ์เขียวขึ้นไปเท่านั้นจึงจะทำได้ แต่เห็นอยู่ว่าหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ไม่มีพลังยุทธ์ กลับทำลายดวงแก้วและศิลาดำซึ่งว่ากันว่ามีความแข็งแรงทนทานเหนือศิลาทั้งปวงได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
สวรรค์
ขบวนแถวยาวเหยียดรอการทดสอบที่เมื่อครู่ก่อนยังส่งเสียงอึกทึกเซ็งแซ่ มาบัดนี้กลับเงียบกริบไร้สุ้มเสียงใดๆ
ลั่วอวี่ปัดๆ ฝุ่นที่อยู่ในมือ เอามือทั้งสองสอดไว้ในแขนเสื้อ มองบุรุษวัยกลางคนซึ่งยังคงจับจ้องไปยังความว่างเปล่าที่เดิมเคยมีผลึกแก้วและแท่นศิลาสีดำตั้งอยู่อย่างตะลึงงันด้วยแววตาเฉยเมยพลางเอ่ยช้าๆ “ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้ามีสิทธิ์เข้าเรียนแล้วหรือไม่”
คำพูดประโยคนี้ทำให้ทุกคนได้สติกลับคืนมา ผู้รับผิดชอบตามจุดทดสอบต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เห็นอยู่ว่ามิใช่อานุภาพของพลังยุทธ์ ทว่าก็เป็นพลังที่ซ่อนแฝงไว้ด้วยความร้ายกาจรุนแรงยิ่ง ควรตัดสินอย่างไรดี
“แน่นอน สำนักศึกษาหลวงยินดีต้อนรับศิษย์ที่มีพลังซ่อนแฝงทุกคน”
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบกริบที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ น้ำเสียงบ่งบอกความประหลาดใจระคนตื่นเต้นยินดีกลับดังขึ้นมา คนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากด้านในของสำนักศึกษาหลวง
เขาสวมชุดคลุมยาวสีฟ้านวล ตรงมุมเสื้อมีตราสัญลักษณ์ประจำสำนักศึกษาหลวงปักอยู่ ปกเสื้อประดับเหรียญตราและดาวดวงเล็กๆ ที่เป็นเครื่องหมายบ่งบอกระดับชั้น ท่าทางภูมิฐานเปี่ยมด้วยภูมิปัญญา
เขาเป็นอาจารย์ระดับสามดาวประจำชั้นเรียนปีที่สามของสำนักแห่งนี้ ด้านหลังมีเด็กชายตัวสูงเพียงช่วงเอวเขาตามมาด้วยคนหนึ่ง
เด็กชายผู้นั้นพอเห็นลั่วอวี่ ดวงหน้าเนียนใสพลันเจิดจ้า พุ่งถลาเข้าหาลั่วอวี่ทันที
“พี่ใหญ่”
“ลั่วหลี”
ใบหน้าเฉยเมยของลั่วอวี่พลันเปล่งประกายความยินดี อ้าแขนทั้งสองรับเด็กชายเข้าสู่อ้อมกอด
น้องชายของนาง ลั่วหลีของนาง
“พี่ใหญ่ ข้าคิดถึงท่านยิ่งนัก”
ลั่วหลีอายุน้อยกว่าลั่วอวี่มาก เวลานี้เขาเพิ่งอายุได้แปดขวบ ตัวสูงแค่หน้าอกของลั่วอวี่ เขาโถมตัวเข้ามากอดนางแน่น ออดอ้อนผู้เป็นพี่สาวยกใหญ่
ลั่วอวี่เผยรอยยิ้มออกมาด้วยความรักใคร่เอ็นดู มือหนึ่งโอบลั่วหลีไว้ อีกมือหนึ่งก็บีบจมูกเล็กๆ แล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่คิดถึงท่านพ่อท่านแม่เลยหรือ เสียแรงที่พวกท่านเป็นห่วงเจ้า”
“คิดถึง คิดถึงมาก คิดถึงมากเชียวล่ะ” ลั่วหลีเอี้ยวตัวหนีมือพี่สาว เชิดหน้าขึ้นสูงแล้วโต้แย้ง
ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็หัวเราะชอบใจ ยื่นมือออกไปลูบไล้เส้นผมของลั่วหลีน้องชายเพียงคนเดียวในชาติภพนี้ของนาง ปลอดภัยดีก็ดีแล้ว ไม่มีอันตรายใดๆ ก็ดีแล้ว
“ไปเถิด เข้าไปคุยกันในสำนัก อย่ามัวขวางประตูอยู่เลย”
อาจารย์ระดับสามดาวผู้นั้นแย้มยิ้มพลางกวักมือเรียกลั่วหลี จากนั้นก็ผงกศีรษะ
ลั่วอวี่ก็ไม่ได้ชอบแสดงความรักระหว่างพี่น้องให้คนนอกดูเสียด้วย จึงจูงมือลั่วหลีพลางบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่จากกันไปขณะเดินเข้าสู่สำนักศึกษาหลวง
สำนักศึกษาหลวงไม่เสียทีที่เป็นสำนักซึ่งทั้งสามแคว้นร่วมกันก่อตั้งขึ้น ตัวอาคารสูงตระหง่านตระการตา แม้ไม่พิถีพิถันเรื่องความสวยงามวิจิตรบรรจง ทว่าก็โอ่อ่าอลังการจนทำให้คนรู้สึกว่าตนเองตัวเล็กกระจ้อยร่อย
ห้องเรียนดูสง่าน่าเกรงขาม ลานฝึกยุทธ์กว้างขวาง เวทีประลองสูงใหญ่ หอสูงและเรือนพักที่วิจิตรงดงามแลกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต เต็มไปด้วยอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่โอฬารเรียงรายทับซ้อนกันเป็นระยะทางไกลประหนึ่งคลื่นในทะเลที่ไล่โหมตามกันมาเป็นระลอก ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเคารพยำเกรง
“คนสารเลวคนไหนที่รังแกเจ้า”
ลั่วอวี่ไม่ได้สนใจความใหญ่โตมโหฬารและความรุ่งเรืองของสำนักศึกษาหลวงแม้แต่น้อย สนใจแต่คำพูดของลั่วหลีที่ได้ยินแล้วสีหน้าของนางพลันขรึมลงทันที
ลั่วหลีผงกศีรษะ คิ้วน้อยๆ ขมวดมุ่น “นั่นสิ ข้ายังไม่รู้เลยว่าเคยไปล่วงเกินองค์ชายสามอะไรนั่นตั้งแต่เมื่อใด พอข้าเข้ามาก็มีใครหลายคนพากันมาหาเรื่องข้า ดีที่ได้อาจารย์ช่วยแก้ปัญหาให้ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่สนใจข้า ไม่มีใครพูดคุยกับข้า ไม่มีใครฝึกยุทธ์กับข้า ฮึ ไม่คุยก็ไม่คุย ข้าหาได้แยแส แต่พวกเขากลับแย่งอาหารของข้า ไม่ให้ข้ากินของอร่อยนี่สิ ข้าต้องทนหิวทุกวัน ลับหลังยังมีคนแอบเล่นงานข้า ข่มขู่ข้า พี่ใหญ่ พวกเขาข่มเหงข้า ข่มเหงกันเกินไปแล้ว พี่ใหญ่ช่วยแก้แค้นแทนข้าด้วย! ตอนอยู่ที่นั่นข้าได้ยินพวกเขาบอกว่าพี่ใหญ่ร้ายกาจมาก”
เนื่องจากพี่สาวที่สนิทกับตนมากที่สุดมาถึงแล้ว ลั่วหลีซึ่งถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรมจึงระบายความอึดอัดคับแค้นใจออกมาให้ฟังจนหมด เมื่อกล่าวมาถึงตอนท้าย เขายังชี้บุ้ยใบ้ไปยังทิศทางของจวนกั๋วกงม่วงพราว
อาจารย์ประจำชั้นเรียนปีที่สามเดินนำทางอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดทนฟังต่อไปไม่ไหว เขาหยุดฝีเท้าลง ส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยเตือนขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“เด็กโง่ ที่ผ่านมายังลำบากไม่พอ ยังไม่หัดฉลาดอีกหรือ ตราบใดที่แขนไม่อาจงัดสู้ขา ยังริอ่านสร้างศัตรูย่อมมีแต่ผลร้ายไม่มีผลดี” จากนั้นจึงหันไปทางลั่วอวี่แล้วว่า “ในเมื่อตัดขาดกับจวนกั๋วกงม่วงพราวแล้ว เช่นนั้นต่อไปลั่วหลีก็ต้องอาศัยเจ้าแล้ว พวกเจ้าจงระวังตัวให้ดี” พูดจบก็หมุนตัวจะจากไป
ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าเขาคือคนที่จวินโย่วเทียนสั่งให้คอยช่วยเหลือลั่วหลีอยู่ลับๆ ยามเผชิญหน้ากับองค์ชายสาม ลั่วหลีจะได้ไม่เสียเปรียบมากนัก นางจึงรีบกล่าวขึ้น “ขอบคุณท่านมาก”
อาจารย์ผู้นั้นโบกไม้โบกมือพลางกล่าวว่า “ไม่ต้อง ต่อไปพวกเจ้า”
“โอ๊ะ ช่างเป็นหญิงที่หน้าตาอัปลักษณ์ ทำให้คนนึกอยากอาเจียนเหลือเกิน”
ขณะที่อาจารย์ผู้นั้นยังพูดไม่ทันจบ น้ำเสียงเย้ยหยันของอิสตรีพลันลอยมากระทบหู
“เกิดมาอัปลักษณ์ ทางที่ดีควรรู้ตัวเอง ยังจะออกมาเดินลอยหน้าลอยตาบนท้องถนนเช่นนี้ ช่างไม่กลัวเป็นเสนียดสายตาผู้อื่นบ้างเลย”
“นั่นสิ น่าสะอิดสะเอียนนัก ข้ายังไม่เคยเห็นหญิงใดอัปลักษณ์เช่นนี้มาก่อน”
ลั่วอวี่หยุดยืนนิ่ง หันหน้าไปทางที่มาของเสียง
เพียงเห็นเด็กสาวห้าหกคนกำลังเดินตรงเข้ามาทางพวกนาง สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยามดูแคลน ดวงหน้าที่เดิมทีดูจิ้มลิ้มพริ้มเพราถูกความคิดชั่วร้ายทำให้บิดเบี้ยวจนไม่ชวนมอง
ผู้คนรอบข้างที่ตลอดทางก็เอาแต่ซุบซิบนินทาลั่วอวี่อยู่แล้ว เมื่อเห็นเช่นนี้ก็หยุดฝีเท้าทันที พากันมองมาราวกำลังรอชมเรื่องสนุก
“พวกเจ้าพูดอะไร คนชั่ว พวกเจ้าสิน่าเกลียด อัปลักษณ์กันทุกคน ตัวอัปลักษณ์”
ลั่วหลีในวัยแปดขวบได้ยินเด็กสาวเหล่านี้ด่าทอลั่วอวี่ก็พลันกลายเป็นปืนใหญ่ลำน้อยที่ถูกจุดชนวนระเบิดปังออกมาทันที กระโดดออกไปด่าว่าเด็กสาวกลุ่มนั้น
“หน็อย เจ้าเด็กถ่อย ถึงกับกล้าโอ๊ย!”
เด็กสาวอาภรณ์สีม่วงเป็นคนเอ่ยปากก่อนใครเพื่อน นางรูปร่างหน้าตาไม่สะสวยอะไร ทว่าแต่งตัวสวยสดงดงาม อายุราวสิบห้าสิบหกปี นางผรุสวาทออกมายังไม่ทันจบ จู่ๆ ลั่วอวี่ที่อยู่ห่างจากนางระยะหนึ่งก็โผล่พรวดขึ้นตรงหน้า จากนั้นในขณะที่คนรอบด้านยังไม่ทันเห็นถนัด เด็กสาวในชุดม่วงผู้นั้นก็ร้องโอยออกมาพลางยกมือขึ้นกุมแก้มข้างหนึ่งแล้วผงะถอยหลังไปหลายก้าว ริมฝีปากแดงสั่นระริก ครู่เดียวก็ถ่มฟันซี่หนึ่งออกมาจากปาก
ส่วนลั่วอวี่กลับดูเหมือนไม่ได้ย่างกรายเข้าใกล้เด็กสาวชุดม่วงผู้นั้น เวลานี้นางยังคงยืนนิ่งเฉยอยู่ข้างกายลั่วหลี คล้ายไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวด้วยซ้ำ
ศิษย์ในสำนักที่มุงดูอยู่รอบด้านเห็นเช่นนี้ไม่มีผู้ใดไม่ตื่นตะลึง
ลงมือได้รวดเร็วว่องไวยิ่ง!
“ขืนกล้าดูหมิ่นน้องชายข้าให้ข้าได้ยินอีกแม้ประโยคเดียว เรื่องจะไม่จบแค่ฟันซี่เดียวแน่” วาจาเฉียบขาด น่าเกรงขามแม้นไร้โทสะ
บรรดาเด็กสาวที่เข้ามาท้าทายหาเรื่อง เห็นเช่นนี้ถึงกับตะลึงค้าง ต่างผงะถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
ท่ามกลางความเงียบชั่วขณะ หลังจากสิ้นเสียงข่มขู่คุกคามของลั่วอวี่ จู่ๆ น้ำเสียงกราดเกรี้ยวเจือจิตสังหารอันเชือดเฉือนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ช่างกำแหงนัก เพิ่งเหยียบย่างเข้าสำนักศึกษาก็กล้าลงมือกับศิษย์พี่ ไม่เห็นความอาวุโสอยู่ในสายตาเยี่ยงนี้ ต่อไปมิยิ่งกำเริบเสิบสานหนักหรือ”
ในเวลานี้เองเด็กสาวหลายคนที่เจตนาเข้ามาหาเรื่องแต่กลับถูกพลังอำนาจของลั่วอวี่ขู่ขวัญเสียอยู่หมัดต่างแย้มยิ้มออกมาพร้อมกัน พวกนางรีบหันไปมองผู้ที่มาใหม่ทันทีพลางร้องขึ้น “ศิษย์พี่ปี้อวิ๋น ท่านรีบมาช่วยสั่งสอนหญิงอัปลักษณ์ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำนางนี้แทนพวกเราที นางโอหังนัก หญิงอัปลักษณ์เช่นนี้ ไม่สั่งสอนให้เข็ดหลาบเสียบ้างคงไม่รู้ว่าฟ้าสูงเพียงใด แผ่นดินกว้างเพียงไหน”
เพียงชั่วเวลาอันสั้น เด็กสาวเหล่านั้นพลันส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ ใส่สีตีไข่กันอุตลุด ร้องทุกข์กับผู้มาใหม่
ลั่วอวี่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้านิ่งเฉยไร้ความรู้สึก
เด็กสาวผู้นี้อายุอานามราวสิบหกสิบเจ็ด สวมอาภรณ์สีเหลืองเข้ารูป ขับเน้นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยส่วนโค้งส่วนเว้าออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน รูปโฉมไม่อาจพูดได้ว่างามเพริศพริ้ง ทว่าทั่วทั้งร่างอาบไปด้วยเสน่ห์ของหญิงสาววัยสะพรั่ง เวลานี้ทั้งปลายตาหางคิ้วของนางล้วนปรากฏแววเหยียดหยามดูแคลนออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“สำนักศึกษาไม่อนุญาตให้ต่อสู้กันเอง หากเจ้าคิดลงมือ ได้ ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
เด็กสาวที่มีนามว่าปี้อวิ๋นนางนั้นกวาดมองลั่วอวี่ผู้มีสีหน้าเฉยเมยอย่างชิงชังหยามหยันคราหนึ่ง แล้วชี้นิ้วไปทางเวทีประลองสูงตระหง่านซึ่งอยู่ไม่ไกล
ผู้ชมที่มุงดูอยู่โดยรอบพลันส่งเสียงจ้อกแจ้กเซ็งแซ่ขึ้นมาทันที
อาจารย์ประจำชั้นปีที่สามซึ่งยืนอยู่ข้างกายลั่วอวี่ยังไม่ขยับไปไหน เห็นเช่นนี้ก็หันมากระซิบบอกลั่วอวี่ “สำนักศึกษาไม่อนุญาตให้ต่อสู้กันเองก็จริง แต่ไม่ได้ห้ามการประลองฝีมือบนเวทีประลอง ขอเพียงทั้งสองฝ่ายสมัครใจ จะต่อสู้กันเช่นไรก็ได้ทั้งนั้น”
กล่าวมาถึงตรงนี้เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ปี้อวิ๋นเป็นศิษย์ชั้นปีที่สาม ระดับพลังยุทธ์สีเหลืองชั้นยอด เป็นหลานสาวของท่านกั๋วกงสัมฤทธิผล กำเนิดจากบุตรชายของภรรยาคนที่เจ็ด มีแต่คนรักใคร่ตามใจ” กล่าวจบก็ยกมือขึ้นกอดอก ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรอีก
พลังยุทธ์สีเหลืองชั้นยอด หมายความว่าอีกไม่นานก็จะก้าวขึ้นสู่ระดับสี่พลังยุทธ์สีเขียวด้วยอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ด นับว่าเป็นอัจฉริยบุคคล
มิน่าถึงได้กล่าววาจายโสโอหังนัก
มุมปากของลั่วอวี่หยักยกคล้ายยิ้มเยาะจางๆ
เหตุใดจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลจึงจ้องจะเล่นงานนาง ลั่วอวี่พอจะคาดเดาได้
ลั่วอวี่ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าลั่วหลีที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว
“พี่ใหญ่ เราอย่าสู้กับนางเลย ไป ท่านเพิ่งเข้าสำนัก ข้าจะพาไปดูที่พักของข้า”
พลังยุทธ์สีเหลืองชั้นยอด สูงชั้นกว่าเขามากนัก แม้เขาจะอายุยังน้อย หากแต่ตาเฒ่าที่ชิงตัวเขาไปยังจวนกั๋วกงม่วงพราวยังออกปากชมว่าเขามีพรสวรรค์สูง พลังยุทธ์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดอยู่ในระดับพลังยุทธ์สีส้มชั้นต้น ส่วนพี่สาวของเขาแม้จะได้ยินมาว่าฝีมือร้ายกาจ ทว่าตั้งแต่เล็กเขาก็รู้ว่าพี่สาวไม่มีพลังยุทธ์ ต่อให้มีวิทยายุทธ์ แต่ก็เพิ่งเข้ามาเรียนเท่านั้น จะเป็นคู่ต่อสู้ของศิษย์พี่ชั้นปีที่สามได้อย่างไร ดังนั้นลั่วหลีจึงพูดไปพลางฉุดดึงมือของลั่วอวี่ หมายลากพี่สาวออกไปจากที่นี่
ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ยิ้มแล้วยื่นมือไปลูบศีรษะของลั่วหลี ขยี้เส้นผมสีดำสนิทของเขา
“ทำไม ไม่กล้าหรือ มิใช่กำแหงอวดดี ปากดีนักมิใช่หรือ หรือวันนี้กลับกลัวขึ้นมา ได้ ในเมื่อเจ้าไม่กล้ารับคำท้าของข้า เช่นนั้นก็ลอดใต้หว่างขาเขาออกไป แล้วข้าจะไม่ถือสาเอาความอีก”
แววเย้ยหยันบนใบหน้าของปี้อวิ๋นยิ่งปรากฏชัดขณะชี้นิ้วส่งๆ ไปยังบุรุษที่อยู่ทางด้านหลังผู้หนึ่ง
บุรุษรูปร่างเตี้ยเล็กท่าทางเฉลียวฉลาดผู้นั้นเห็นเช่นนี้ก็แค่นหัวเราะหึๆ กางขาทั้งสองออก เลิกคิ้วมาทางลั่วอวี่อย่างท้าทาย
“เจ้าอย่ารังแกกันเกินไปนัก” ลั่วหลีทนไม่ไหวอีกต่อไป กระโดดออกมาทันที
ลั่วอวี่โบกมือยับยั้งความเดือดดาลของลั่วหลี มองปี้อวิ๋นผู้กำลังอวดลำพองด้วยสีหน้าเยียบเย็น “ข้าให้โอกาสเจ้าคิดดูใหม่อีกครั้ง”
พอคำพูดนี้หลุดออกมา ปี้อวิ๋นก็มีท่าทีคล้ายได้ยินเรื่องตลกขบขันที่สุด แหงนหน้าขึ้นหัวเราะฮ่าๆ
ผู้คนรอบด้านก็พากันหัวเราะหยันออกมาพร้อมกัน
“คิดดูใหม่อีกครั้ง คนอย่างเจ้าคู่ควรจะกล่าวคำนี้ด้วยหรือ ฮ่าๆ ไม่ได้ดูสารรูปตัวเองเสียเลย ยังกล้าคุยเขื่องคำโตอย่างไม่ละอายใจต่อหน้าคุณหนูอย่างข้า” ปี้อวิ๋นเยาะเย้ยเสียงดังพลางหัวเราะลั่น
สิ้นเสียง วาจาเยาะหยันจากรอบด้านยิ่งดังมากขึ้น
ลั่วหลีโมโหจนใบหน้าเล็กๆ แดงเถือก แทบจะพุ่งกระโจนออกไปดุจเสือดาวตัวน้อย แต่กลับถูกลั่วอวี่กดหัวไหล่ไว้ ไม่อาจขยับตัวได้
ดวงตาเย็นเยียบกวาดผ่านปี้อวิ๋นซึ่งกำลังหัวเราะสะใจ แววอำมหิตฉายวาบขึ้นมาในดวงตาลั่วอวี่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าเสียใจภายหลังแล้วกัน”
ลั่วอวี่พูดทิ้งท้ายไว้อย่างเย็นชา แล้วดึงมือลั่วหลีเดินตรงไปทางเวทีประลองแห่งนั้นทันที
ผู้คนรอบด้านเห็นลั่วอวี่ถึงกับกล้ารับคำท้าขึ้นเวทีประลองฝีมือกับปี้อวิ๋นซึ่งเรียนอยู่ชั้นสูงกว่านางถึงสองระดับก็พากันตื่นเต้นคึกคัก ต่างชักชวนเพื่อนพ้องเฮโลกันไปที่เวทีประลอง
พวกเขาอยากดูว่าวันนี้หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้จะปล่อยห้าแต้มอย่างไร
ขณะที่ลั่วอวี่กับปี้อวิ๋นก้าวขึ้นสู่เวทีประลอง ผู้คนในสำนักศึกษาหลวงที่ทราบข่าวก็มายืนสลอนอยู่นอกเวทีแล้ว แต่ละคนมีสีหน้าจดจ่อราวกำลังเฝ้ารอเรื่องสนุก
“วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”
ลั่วอวี่ส่งยิ้มให้ลั่วหลีที่มีสีหน้าหวั่นวิตกทีหนึ่ง นางยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของเวที ยืดเหยียดนิ้วมือทั้งห้าอย่างใจเย็น
ส่วนปี้อวิ๋นซึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพลันห่อปาก มีเสียงผิวปากเบาๆ ดังขึ้น
ครู่เดียวตัวนิ่มสีดำที่มีขนาดราวโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งก็วิ่งฝ่าฝูงชน แล้วกระโจนขึ้นเวทีประลองมายืนอยู่ข้างเท้าของปี้อวิ๋น
บนเกล็ดดำมะเมื่อมมีเกล็ดย้อนอันแหลมคมดุจพุ่มไม้หนามปกคลุมทั่วลำตัว เพียงมันครูดกรงเล็บลงบนเวที พื้นที่แข็งแกร่งดุจหินศิลาก็ถูกขูดเป็นร่องลึกหลายเส้นทันที
เขี้ยวคมกรงเล็บแหลม มีอาวุธอยู่ทั่วร่าง
จากพลังการต่อสู้มันถูกจัดอยู่ในสัตว์อสูรขั้นสี่ เมื่อเทียบกับพลังยุทธ์สีเหลืองชั้นยอดของปี้อวิ๋นถือว่ามีพลังโจมตีสูสีใกล้เคียง
คู่ต่อสู้เพิ่งเข้าสำนักศึกษามาแท้ๆ แต่ปี้อวิ๋นผู้นี้ถึงกับเรียกสัตว์อสูรขั้นสี่ออกมา นางคิดจะทำอะไรกันแน่ ผู้ชมที่อยู่รอบด้านพากันเป่าปากเปี๊ยวป๊าว
ขณะยืนอยู่บนเวที ปี้อวิ๋นมองลั่วอวี่ผู้มีสีหน้านิ่งเฉยอย่างดูถูกเหยียดหยามพลางเอ่ยขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม “กติกาการประลอง ศึกชี้ชะตา ไม่ตายไม่เลิกรา”
คำพูดนี้พอหลุดออกไป ผู้ชมรอบด้านที่กำลังรอชมเรื่องสนุกพลันเงียบกริบไปชั่วขณะ
จะสู้กันถึงตายเชียวหรือ
สำนักศึกษาหลวงไม่มีกฎห้ามไม่ให้ต่อสู้ถึงตาย ขอเพียงคู่กรณีทั้งสองฝ่ายต่างต้องยินยอมพร้อมใจ ลงนามในหนังสือสัญญาไว้เป็นหลักฐาน เช่นนั้นก็เชิญลงมือได้ตามสบาย
ทว่าไม่ว่าใครก็มิใช่คนโฉดเขลา ทะเลาะมีปากเสียงกันพอมีให้เห็น แต่จะต่อสู้กันถึงตายนั้นมีน้อย ครั้งนี้ได้ยินปี้อวิ๋นกล่าวเช่นนี้ หลังจากเงียบกันไปชั่วขณะผู้คนที่อยู่รอบเวทีบ้างก็ส่ายหัว บ้างก็หัวเราะ บ้างก็ร้องว่าดี บ้างก็
นี่มิใช่การกลั่นแกล้งรังแกกันชัดๆ หรอกหรือ
ยอดฝีมือชั้นปีที่สาม ท้าประลองศึกชี้ชะตากับคู่ต่อสู้ที่จะจัดให้อยู่ชั้นปีที่หนึ่งยังไม่ได้ นี่มัน
ทุกคนในที่นั้นคิดว่าลั่วอวี่จะต้องปฏิเสธเป็นแน่ แต่นึกไม่ถึงว่าเด็กสาวกลับยกมือขึ้น ตวัดพู่กันลงไป ลงนามบนหนังสือสัญญาที่ปี้อวิ๋นยื่นให้ทันที
คราวนี้ผู้คนรอบด้านกลับมีอาการลังเลขึ้นมาแล้ว การลงนามอย่างไม่ต้องฉุกคิดเช่นนี้ หรือนางจะพอมีฝีไม้ลายมืออยู่จริง
ยามนี้บุรุษชุดขาวที่ยืนอยู่บนหอคอยยอดแหลมซึ่งอยู่ห่างออกไป สองมือกอดอกมองลั่วอวี่อย่างตื่นตะลึงเต็มที่ กล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “นางนั่นเอง เป็นนางจริงด้วย!”
บุรุษชุดม่วงซึ่งอยู่ข้างกายได้ยินเสียงอุทานจากบุรุษชุดขาวผู้ปกติเป็นคนสุขุมเยือกเย็นยิ่งก็อดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “ผู้ใดหรือ”
บุรุษชุดขาวมองลั่วอวี่ที่แต่งกายด้วยอาภรณ์ของบุรุษเพศบนเวทีประลอง หน้าตาแบบนี้ มีปานอัปลักษณ์เช่นนี้ คนผู้นี้มิใช่สตรีที่งดงามอย่างไร้ที่ติ ขณะเดียวกันก็น่าเกลียดเป็นที่สุดที่พวกเขาบังเอิญพบในค่ำคืนนั้นหรอกหรือ
เมื่อนึกถึงการพบหน้าและการปะทะกันในค่ำคืนนั้น บุรุษชุดขาวเอียงคอไปมองโม่เหยียนที่ทั่วร่างดูเย็นยะเยียบ ทว่ามีอยู่พริบตาหนึ่งคล้ายไม่อาจข่มกลั้นเพลิงโทสะที่กำลังลุกโชนได้ ด้วยปฏิภาณไหวพริบอันเฉลียวฉลาดบุรุษชุดขาวจึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เพียงค่อยๆ ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา
มิใช่คู่รักคู่แค้นย่อมไม่พบพาน ที่แท้คนทั้งสองก็มีความเกี่ยวพันกันเช่นนี้เอง
ครั้งแรกที่โม่เหยียนจิตใจหวั่นไหวเพราะเห็นซีกหน้าอีกด้านหนึ่งของหญิงอัปลักษณ์ และหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้กลับเป็นคู่หมั้นคู่หมายที่เขาชิงชังเข้ากระดูกดำพอดี
เรื่องราวบนโลกช่างประหลาดนัก คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว
ส่วนโม่เหยียนที่ร่างกำลังร้อนผ่าวด้วยเพลิงโทสะอยู่ข้างกายของบุรุษทั้งสองไม่ได้พูดอะไร เพียงมองลั่วอวี่ที่ยืนอยู่กลางเวทีประลองอย่างเย็นชา มือที่กำเป็นหมัดแน่นแทบจะได้ยินเสียงกระดูกเสียดสีกันดังออกมา
ดวงหน้าซีกหนึ่งคือมารร้าย อีกซีกหน้าคือเทพธิดา
ช่างน่าตายนัก คู่หมั้นอัปลักษณ์ของเขา ที่แท้ก็คือหญิงอัปลักษณ์ที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นและเอ่ยปากขอแต่งงานในค่ำคืนนั้นเอง
ที่แท้ก็เป็นนาง ที่แท้ก็เป็นนาง!
เมื่อเห็นลั่วอวี่รวบผมขึ้นอย่างคล่องแคล่ว เผยให้เห็นปานบนใบหน้าอันแสนอัปลักษณ์คล้ายไม่ใส่ใจในรูปโฉมอัปลักษณ์ของตนแม้แต่น้อย ไม่รู้เพลิงโทสะจากที่ใดพลันก่อตัวขึ้นมาในอกของโม่เหยียนแล้วพุ่งสูงเทียมเทียบฟ้า
ประเสริฐ ประเสริฐ ประเสริฐยิ่งนัก ที่แท้คนที่ทำให้เขาอับอายขายหน้า ปล่อยข่าวให้เขาเสื่อมเสียล้วนเป็นนาง เป็นคนเดียวกัน
เขากำลังกลัดกลุ้มที่หานางไม่พบอยู่เชียว นึกไม่ถึงว่าวันนี้นางจะเดินมาหาเขาถึงที่ แค้นใหม่ทบหนี้เก่า สมควรแก่เวลาที่จะสะสางให้เรียบร้อยเสียที
เพลิงโทสะลุกโชติช่วง ประหนึ่งเปลวเพลิงที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ฝ่ายบุรุษชุดม่วงไม่ได้รับคำตอบจากสหายก็หันไปมองโม่เหยียนที่จู่ๆ ก็มีโทสะคุโชนขณะจับจ้องมองลงไปที่เวทีชนิดไม่วางตาคล้ายคิดอะไรอยู่ในใจ ตัวเขาจึงหันไปเบื้องล่างบ้าง เห็นลั่วอวี่ที่หน้าตาอัปลักษณ์ทว่าท่วงทีกลับดูสุขุมเยือกเย็นยิ่ง บนใบหน้าของเขาค่อยปรากฏรอยยิ้มคล้ายเข้าใจเรื่องราวอย่างกระจ่างชัด ที่แท้เพราะตัวการสำคัญมาถึงแล้วนี่เอง!
ตะวันสาดแสงทอง บนเวทีประลองและยอดหอคอยสูงในสำนักศึกษาหลวงมีรังสีอำมหิตพัดโหมอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
ขณะที่ผู้คนรอบด้านเริ่มรู้สึกลังเลขึ้นมา ปี้อวิ๋นผู้อยู่บนเวทีก็กำลังกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างย่ามใจ ส่วนลั่วอวี่นวดนิ้วเรียวงาม กล่าวเสียงราบเรียบดุจสายน้ำ ทว่าเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
“ดูเหมือนคนของจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลคงไม่ได้บอกเจ้าสินะ ข้ามิใช่คนใจดีมีเมตตา”
ท่ามกลางน้ำเสียงเย็นเยียบ ลั่วอวี่เคลื่อนไหวแล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้นปี้อวิ๋นตะโกนเสียงแหลม พลังยุทธ์สีเหลืองพวยพุ่งขึ้นจากร่าง พลังยุทธ์อันทรงอานุภาพแปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นกระบี่คมกริบสองเล่ม หมายฟาดกลางแสกหน้าของลั่วอวี่ ตัวนิ่มซึ่งหมอบอยู่ข้างเท้าปี้อวิ๋นพลันผงกหัววิ่งเข้ามาทันที มันแยกเขี้ยวแหลมคมพุ่งเข้าใส่ลั่วอวี่ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ การจู่โจมอย่างรวดเร็วด้วยพละกำลังมหาศาลเทียบเทียมได้กับหัวรถจักร
ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ รอยยิ้มหยันพลันผุดขึ้นมาบนใบหน้าจางๆ
นางยกมือขึ้น นิ้วเรียวทั้งห้าคว่ำลงเป็นกรงเล็บ พุ่งเข้าตะปบพลังยุทธ์สีเหลืองทันที
คนที่มาชมการต่อสู้อยู่รอบด้านย่อมมีศิษย์ชั้นปีสูงๆ รวมอยู่ด้วย เมื่อเห็นลั่วอวี่ไม่เพียงไม่หลบหลีก กลับใช้พลังกรงเล็บต่อกรกับพลังยุทธ์สีเหลืองคมกริบโดยตรงก็อดส่ายหน้าพร้อมกันไม่ได้
ทว่าเพิ่งส่ายหน้าได้ไม่กี่ทีก็ได้ยินเสียงปะทะหนักๆ ดังขึ้น กรงเล็บของลั่วอวี่ฉีกทะลวงพลังยุทธ์สีเหลืองของปี้อวิ๋นไม่ต่างกับฉีกกระดาษ
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างพลันตะลึงงันไปหมด
บนเวทีประลอง ลั่วอวี่สลายการโจมตีของพลังยุทธ์สีเหลืองได้ในคราเดียว แววตามีรอยยิ้มหยันผุดขึ้น ลั่วอวี่สืบเท้าเข้าประชิดก้าวหนึ่ง สะบัดข้อมือขึ้น แล้วฟาดใส่ตัวนิ่มที่พุ่งถลันเข้ามาทันที
จังหวะที่ลั่วอวี่กำลังตะปบฝ่ามือเข้าใส่ตัวนิ่มนั่นเอง เจ้าเงินที่กินอิ่มแล้วหลับอยู่ในอกเสื้อของนางมาโดยตลอดพลันขยับตัว โผล่หัวออกมาจากอกเสื้อของนาง ดวงตาเล็กๆ มองตัวนิ่มอย่างตื่นเต้นฮึกเหิม มันส่งเสียงร้องจิ๊ๆ แล้วกระโจนออกมา
ทว่าแม้มันจะว่องไว แต่ลั่วอวี่ว่องไวกว่า นางยกมือขึ้นขัดขวางการเคลื่อนไหวของเจ้าเงินพลางกล่าวเบาๆ “กลับมา มิฉะนั้นจะไม่ให้เจ้ากินเนื้อย่าง”
คำข่มขู่นี้ร้ายกาจเหลือเกิน
เจ้าเงินได้ยินเช่นนี้ก็รีบหมุนตัวกลางอากาศ กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของลั่วอวี่อย่างเอาใจ ไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป
ในเวลาเดียวกันมือของลั่วอวี่ก็สัมผัสเข้ากับปากอันแหลมคมของตัวนิ่มแล้ว นิ้วทั้งห้ารวบเก็บแล้วกางออก พลังฝ่ามือฟาดลงบนศีรษะน้อยๆ ของตัวนิ่มอย่างจัง
พลังวัตรหกสิบปีหาใช่ธรรมดา ตัวนิ่มซึ่งเป็นสัตว์อสูรขั้นสี่ถูกพลังกระแทกใส่จนศีรษะเอียงพับไปข้างหนึ่ง ร่างร่วงลงสู่เบื้องล่างทันที
ลั่วอวี่ไม่รอให้ตัวนิ่มตกถึงพื้น ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเตะเข้าที่ท้องจนร่างของมันลอยขึ้นมา ก่อนที่นางจะกางกรงเล็บที่ว่างอยู่พุ่งเข้าตะปบทันควัน
เห็นเพียงตัวนิ่มที่มีเกราะหุ้มทั่วตัวแผดเสียงคำรามลั่นกลางอากาศ มันถูกลั่วอวี่ฉีกกระชากร่างจนขาดกระจุยท้องทะลุไส้ทะลัก
“เจ้าเกราะดำ!”
ปี้อวิ๋นที่ยังไม่หายจากอาการตื่นตระหนกเพราะถูกลั่วอวี่ทำลายกระบี่พลังยุทธ์ของนางในคราเดียว เมื่อเห็นเช่นนี้สีหน้ายิ่งตื่นตะลึงพรึงเพริดหนัก ส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ลั่วอวี่สลัดซากตัวนิ่มที่เนื้อตัวเหวอะหวะทิ้งไป ตวัดตามองนิ้วมือทั้งห้าของตนที่ยังมีโลหิตหยาดหยด เงาร่างถลันวูบ คุกคามเข้าประชิดตัวอีกฝ่าย ฝ่ามือพุ่งตะปบไปที่กลางกระหม่อมของปี้อวิ๋นทันที
จู่โจมดั่งวายุ รวดเร็วดุจสายฟ้า ปี้อวิ๋นผู้ถูกพลังกล้าแข็งของลั่วอวี่กดดันจนขยับเนื้อตัวไม่ได้สีหน้าซีดเผือดลงทันที ดวงตาทั้งสองเบิกโพลงอย่างหวาดกลัวสุดขีด
ผู้คนรอบข้างเพิ่งเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก่อน ลั่วอวี่อาศัยเพียงมือเปล่าก็สามารถฉีกกระชากตัวนิ่มได้อย่างง่ายดาย พริบตาถัดมาฝ่ามือนั้นก็มาลอยอยู่เหนือศีรษะของปี้อวิ๋นแล้ว ต่อให้กระโหลกของคนแข็งเพียงใดก็ไม่มีทางแข็งแกร่งไปกว่าเกล็ดตัวนิ่มที่เป็นสัตว์อสูรขั้นสี่ไปได้!
ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนในทันที ทว่ากระทั่งจะเปล่งเสียงออกมาก็ยังทำไม่ได้
“โปรดยั้งมือไว้ไมตรี”
“คุณหนูลั่วอวี่ โปรดยั้งมือไว้ไมตรี”
เมื่อเห็นปี้อวิ๋นกำลังจะดับดิ้นด้วยน้ำมือของลั่วอวี่อยู่รอมร่อ เงาร่างหลายสายพลันพุ่งมาจากที่ไกลด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เอ่ยปากวิงวอนด้วยน้ำเสียงร้อนรนยิ่ง
ลั่วอวี่ชำเลืองมองด้วยหางตา มุมปากปรากฏรอยยิ้มหยัน
นางเบี่ยงนิ้วทั้งห้าจากศีรษะของปี้อวิ๋นมาตะกุยลงบนหัวไหล่แทน พลังฝ่ามือทะลุผ่านหัวไหล่ โลหิตพุ่งทะลักอาบชุ่มตัวเสื้อด้านหน้า
“อ๊าาาาาา” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นทันที
ขณะเดียวกันลั่วอวี่ก็ยกเท้าขึ้น เตะปี้อวิ๋นเต็มแรงจนร่างร่วงตกเวทีไป
ที่ด้านล่าง เงาร่างหลายสายที่พุ่งเข้ามาเมื่อครู่พากันกระโดดขึ้นรับร่างของปี้อวิ๋นซึ่งชุ่มโชกไปด้วยโลหิตและเจ็บปวดจนหมดสติไปแล้ว
หลังจากคลำดูชีพจรก็ต่างทอดถอนใจด้วยความโล่งอก โชคยังดี แม้จะมาช้าไปก้าวหนึ่ง แต่อย่างน้อยยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้
หนึ่งในนั้นหันมากล่าวกับลั่วอวี่ “ขอบคุณที่ยั้งมือไว้ไมตรี” พูดจบก็ค้อมตัวให้ลั่วอวี่เล็กน้อยเป็นการแสดงความขอบคุณ จากนั้นก็อุ้มปี้อวิ๋นแล้วหมุนตัวพุ่งทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว
อาทิตย์ทอแสงทอง เจิดจ้าจนสายตาพร่าพราย
แสงตะวันเจิดจรัสสาดส่องลงมาจากฟากฟ้า อาบไล้ลงบนเรือนร่างของลั่วอวี่
ดวงหน้าซีกหนึ่งคือมารร้าย อีกซีกหน้าคือเทพธิดา
เด็ดชีวิตสัตว์อสูร ล้มคู่ต่อสู้ในกระบวนท่าเดียว นี่มันนี่มัน
รอบเวทีการประลองเหล่าศิษย์ในสำนักที่เดิมมีเจตนามารอชมเรื่องสนุก เวลานี้ในดวงตาของทุกคนเต็มไปด้วยแววตะลึงลาน ไม่รู้จะบรรยายอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรได้ถูก
หญิงผู้นี้ หญิงอัปลักษณ์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าเพราะองค์ชายสาม นางเป็นคนไม่เอาไหนมิใช่หรือ เหตุใดเหตุใดจึง
“อา พี่ใหญ่ร้ายกาจยิ่งนัก พี่ใหญ่ร้ายกาจยิ่งนัก”
ท่ามกลางความเงียบสงัดราวป่าช้า ลั่วหลีที่อกสั่นขวัญแขวนมาโดยตลอดก็หวนคืนสติ เขาหัวเราะพลางกระโดดโลดเต้นอยู่ข้างเวทีราวกับเป็นจิงโจ้ตัวหนึ่ง ตื่นเต้นดีอกดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง
ลั่วอวี่ที่ยืนอยู่บนเวทีประลองกลับไม่ได้มองไปทางลั่วหลีที่กำลังยินดีปรีดา สายตาเย็นชาคู่นั้นค่อยๆ กราดมองศิษย์ทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ยังมีใครคิดจะต่อสู้ถึงตายกับข้าอีกหรือไม่ วันนี้ข้าจะคอยรับใช้อย่างถึงที่สุด”
“ข้าจะคอยรับใช้อย่างถึงที่สุด”
ทั้งที่ความจริงหาได้มีเสียงสะท้อนใดๆ แต่เสียงของนางกลับคล้ายดังก้องอยู่ข้างหู ทุกคนในที่นั้นต่างตื่นตระหนก เนื้อตัวสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
ลั่วอวี่ในชุดอาภรณ์สีฟ้าอ่อนยืนตระหง่านอยู่บนเวทีประลอง ปานสีแดงบนใบหน้าขับเน้นให้นางดูอัปลักษณ์ยิ่ง มือที่ห้อยอยู่ข้างกายยังคงมีโลหิตหยาดหยด เบื้องหน้าของนางมีซากตัวนิ่มที่ถูกฉีกกระชากจนเนื้อตัวขาดวิ่นกองอยู่ ภาพดังกล่าวย้ำเตือนทุกคนให้รับรู้
หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้มิใช่คนไม่เอาไหน มิใช่คนอ่อนแอ แต่เป็นเสือดาวตัวหนึ่ง เสือดาวที่แข็งแกร่งและดุดันตัวหนึ่ง
ทั่วบริเวณมีแต่ความเงียบงัน
ไม่มีผู้ใดเปิดปาก ไม่มีผู้ใดรับคำท้า
ทุกคนที่เคยมีความคิดเช่นนั้น ยามนี้ล้วนเก็บซ่อนมันไว้ในซอกหลืบแล้วกลบฝังอย่างมิดชิด
ลั่วอวี่ที่ยืนอยู่บนเวทีประลองกวาดตามองผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง นางแค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง “อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสพวกเจ้า ครั้งหน้าข้าจะไม่ยั้งมือไว้ไมตรีเด็ดขาด”
กล่าวจบนางก็ตวัดชายแขนเสื้อ หมุนตัวกระโดดลงจากเวที
“พี่ใหญ่ ยอดเยี่ยมไปเลย! ยอดเยี่ยมไปเลย!” ลั่วหลีกระโดดเข้ามาหา ในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยดวงดาวน้อยๆ แห่งความเลื่อมใสศรัทธา
ลั่วอวี่เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ ยกมือข้างที่ไม่มีโลหิตเปรอะเปื้อนขึ้นลูบศีรษะลั่วหลี ยามอยู่ต่อหน้าคนในครอบครัวนางไม่เคยปั้นหน้าเย็นชาได้สักที
“ไปเถอะ พาพี่ใหญ่ไป”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ลั่วอวี่พลันหันขวับ มองไปยังยอดหอคอยสีขาวหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
ที่แห่งนั้นมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมองนางอยู่ตลอดเวลา นางสัมผัสได้
ลั่วอวี่ย่นคิ้วน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว ช่างเป็นสายตาที่คุกคามคนนัก
“พี่ใหญ่ ไปเถอะๆ ข้าจะพาพี่ใหญ่ไปดูที่พักของข้า” ลั่วหลีดึงมือพี่สาว ฉุดรั้งไปข้างหน้าด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี
ลั่วอวี่มองไปยังทิศทางนั้นอีกครา ก่อนจะหมุนตัวเดินตามลั่วหลีไป
แสงอาทิตย์จ้าตาอาบไล้ทั่วร่างของลั่วอวี่
หากมองจากด้านหลังเพียงอย่างเดียว รูปร่างและท่วงทีกิริยาของนางดูงดงามกว่าปี้อวิ๋นมากมายนัก
“ความรู้สึกเฉียบไวยิ่งนัก ถูกจับได้เสียแล้ว” บนหอคอยยอดแหลมสีขาว บุรุษชุดม่วงปล่อยมือทั้งสองที่กอดอกลง เลิกคิ้วแล้วกล่าวขึ้น
“มิใช่ความรู้สึก เป็นกำลังความสามารถต่างหาก พลังช่างกล้าแกร่งนัก” บุรุษชุดขาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เลิกคิ้วขึ้นสูง ในดวงตาเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
ที่สระน้ำลึกในค่ำคืนนั้น เขาก็ได้เห็นกลอุบายอันแยบคายและความองอาจห้าวหาญของนางแล้ว สามารถปลดปล่อยราชสีห์เมฆทองจากมือของพวกเขาได้ เพียงเท่านี้ก็อธิบายเรื่องทั้งหมดได้เป็นอย่างดีแล้ว
“ทั้งยังฉลาดเป็นกรดอีกด้วย เชือดไก่ให้ลิงดู ใช้วิธีการโหดเหี้ยมเช่นนี้ขู่ขวัญทุกคนให้ยอมสยบ ต่อให้เป็นผู้ที่มีพลังฝีมือทัดเทียมก็ไม่กล้ากระทำการผลีผลามบุ่มบ่าม สร้างภาพลักษณ์ให้ทุกคนกริ่งเกรงไม่กล้าตอแยตั้งแต่ครั้งแรก ช่างเป็นวิธีที่หลักแหลมยิ่ง เห็นผลทันตา ท่าทียังบ้าระห่ำยิ่งนัก” บุรุษชุดม่วงเลิกคิ้ว
บุรุษชุดขาวได้ยินแล้วผงกศีรษะ “ฉลาดหลักแหลมยิ่ง ในการต่อสู้ถึงตาย ต่อให้มีคนตาย ครอบครัวของอีกฝ่ายก็ไม่สามารถเอาเรื่องได้ แต่นางกลับไว้ชีวิตปี้อวิ๋น ไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับจวนกั๋วกงสัมฤทธิผล หนำซ้ำยังทำให้พวกเขาต้องติดค้างน้ำใจอีกด้วย อายุยังน้อยแต่กลอุบายแยบคายนัก”
ขณะที่บุรุษชุดขาวและบุรุษชุดม่วงกำลังกล่าวชื่นชมลั่วอวี่ไม่ขาดปาก โม่เหยียนผู้เปรียบเสมือนเปลวเพลิงที่สงบปากสงบคำมาโดยตลอดพลันแค่นเสียงฮึออกมาคำหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงลอดไรฟันออกมาประโยคหนึ่ง
“ฮึ ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าพวกเจ้าเป็นใบ้”
คนทั้งสองได้ยินแล้วมองสบตากันวูบหนึ่งก่อนจะหุบปากในทันที ทว่าสีหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มกลับทำให้คนเห็นแล้วยิ่งเดือดดาลหนัก
โม่เหยียนมองเงาร่างเด็กสาวที่เดินห่างออกไปด้วยเพลิงโทสะที่ลุกโหมไปทั่วร่าง ประเสริฐแท้ คนไม่เอาไหนของจวนกั๋วกงม่วงพราว? นี่หรือคือคนที่พวกเขาบอกว่าไม่เอาไหน
น่าตายนัก พวกเขาต่างหากที่ไม่เอาไหนกันทั้งหมด
หญิงอัปลักษณ์ ที่แท้ก็เป็นเจ้า ที่แท้ก็เป็นเจ้า ประเสริฐ ประเสริฐแท้!
ดวงตาทั้งคู่หรี่เล็กลง รังสีอำมหิตพาดผ่านดวงตา โม่เหยียนตวัดชายแขนเสื้อ หมุนตัวแล้วสาวเท้ายาวเดินจากไป
เงาด้านหลังยังคงคุโชนด้วยเพลิงโทสะ
บุรุษชุดขาวและบุรุษชุดม่วงเห็นเช่นนั้น หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็หัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างกลั้นไม่อยู่
ฮ่าๆ ชมใครเก่งได้ แต่อย่าได้ชมลั่วอวี่เป็นอันขาด!
เช่นนี้ไม่เท่ากับทุ่มหินใส่เท้าตัวเองหรอกหรือ
ทัศนียภาพในฤดูใบไม้ผลิแผ่ปกคลุมไปทั่ว ผืนปฐพีงดงามตระการตา