ชายาสะท้านแผ่นดิน
ทดลองอ่าน ชายาสะท้านแผ่นดิน บทนำ – บทที่ 8
บทที่ 6
สำนักศึกษาหลวงกว้างใหญ่มาก
ที่พำนักของลั่วหลีอยู่ในมุมค่อนข้างห่างไกลผู้คน เป็นหอเก๋งมุงหลังคากระเบื้องเคลือบสีเขียวนวลทั้งหลัง ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยและวิจิตรงดงาม
ลั่วอวี่รู้สึกเหมือนตอนอยู่โรงเรียนประจำเมื่อชาติภพก่อน เพียงแต่สภาพแวดล้อมไม่อาจเทียบกับที่นี่ได้เลย
เพราะได้รับการฝากฝังจากจวนกั๋วกงม่วงพราวและมีพรสวรรค์ชั้นเลิศติดตัวมาแต่กำเนิด ลั่วหลีจึงสามารถเข้าเรียนกลางคันได้เป็นกรณีพิเศษทั้งที่ไม่ได้อยู่ในช่วงเปิดรับสมัคร แต่เพราะเหตุนี้หอพักดีๆ จึงไม่มีเหลือแล้ว จำต้องมาอยู่ปะปนในหอพักของศิษย์ชั้นปีอื่นซึ่งอยู่ในมุมไกลสุด ทั้งไม่ใช่ที่พำนักสำหรับศิษย์ชั้นปีที่หนึ่ง
“ลั่วหลี กลับมาแล้วหรือ”
พอผลักประตูเข้าไป เด็กหนุ่มสองคนที่อยู่ในห้องก็หันมามองแล้วลุกขึ้นเดินเข้ามาหาลั่วหลีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เจ้าตัวแสบ มีพี่สาวเก่งกาจขนาดนี้ก็ไม่บอกพวกเรา คอยดูเราจะจัดการเจ้าอย่างไร”
“นั่นสิ ต้องสั่งสอนเสียให้เข็ด กล้าปิดบังกระทั่งพวกเรา”
เด็กหนุ่มทั้งสองยื่นมือมายีผมของลั่วหลีแรงๆ อย่างล้อเล่น
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง จริงๆ นะ”
ลั่วหลีเงยหน้าขึ้น ในรอยยิ้มที่บ่งบอกความตื่นเต้นดีใจเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
เด็กหนุ่มทั้งสองเห็นแล้วก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน พวกเขาขยี้หัวลั่วหลีเล่น ท่าทางเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
ลั่วอวี่หับประตูปิดลง เอนร่างพิงประตูสองมือยกขึ้นกอดอกยืนดูภาพตรงหน้า บนใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่
หลังจากแกล้งลั่วหลีจนพอใจแล้ว เด็กหนุ่มทั้งสองก็หันมามองลั่วอวี่โดยพร้อมเพรียงกัน
เด็กหนุ่มร่างสูงอายุราวสิบหกสิบเจ็ด หน้าตาเฉลียวฉลาด ยิ้มพลางค้อมศีรษะให้ลั่วอวี่ “ข้าหวังโหว ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า”
เด็กหนุ่มด้านข้างที่เตี้ยกว่าเล็กน้อย หน้าตาหล่อเหลา ลักษณะท่าทางสุขุมเยือกเย็นยิ่งก็ค้อมศีรษะให้ลั่วอวี่พลางแนะนำตัว “ข้าหวงอวี่”
ลั่วหลีจับมือหวังโหวและหวงอวี่เอาไว้แล้วแหงนหน้าไปทางลั่วอวี่ เอ่ยด้วยสีหน้าเบิกบานใจยิ่ง
“พี่ใหญ่ พวกเขาเป็นสหายของข้า ตอนข้าไม่มีข้าวกิน ถูกกลั่นแกล้ง พวกเขาก็แอบช่วยเหลือข้ามาตลอด”
ลั่วอวี่ได้ยินแล้วเอามือที่กอดอกลง ใบหน้าเจือรอยยิ้ม “ข้าจวินลั่วอวี่ ยินดีที่ได้รู้จักพวกเจ้าเช่นกัน เรื่องลั่วหลีต้องขอบคุณพวกเจ้าแล้ว”
องค์ชายสามมีฐานะอะไร หากเขารู้สึกขัดหูขัดตาลั่วหลีขึ้นมา ไม่ต้องรอให้เขาเปิดปาก ย่อมมีคนอาสาจัดการแทนอย่างแน่นอน ในเวลาเช่นนี้เด็กหนุ่มทั้งสองที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเกิดในครอบครัวสามัญชนกลับกล้ายื่นมือเข้าช่วยลั่วหลี ไมตรีจิตครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก
“ขอบคุณอะไรกัน เจ้าหนูนี่น่ารักน่าเอ็นดู พอช่วยอะไรได้ก็ช่วยกันไป เรื่องเล็กน้อย”
หวังโหวโบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ คล้ายไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
หวงอวี่ที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของหวังโหว
ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ประกายลึกล้ำก็ผุดวาบขึ้นในดวงตา นางแอบพยักหน้ากับตัวเอง
ทั้งสองเห็นนางมีรูปโฉมอัปลักษณ์เช่นนี้กลับไม่มีสีหน้ารังเกียจดูแคลนแม้แต่น้อย ผู้ที่ไม่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้นับว่ามีความลึกล้ำ
การลงมือกับคู่ต่อสู้อย่างโหดเหี้ยมของนางในวันนี้ พวกเขาคงรู้แล้ว แต่กลับเผชิญหน้ากับนางอย่างไม่มีท่าทีครั่นคร้ามกริ่งเกรงแต่อย่างใด นับว่ามีความกล้าหาญ
ยิ่งไปกว่านั้นในสถานการณ์เช่นนี้ยังยื่นมือให้ความช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ความองอาจไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจและความมีน้ำใจของพวกเขายากจะหาใครเทียบได้
สหายทั้งสองคนของลั่วหลีนับว่าไม่เลวเลย
ลั่วอวี่สรุปข้อคิดเห็นของตนออกมา นางยิ้มให้หวังโหวและหวงอวี่แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ปล่อยให้เด็กคนนี้ต้องหิวตาย สำหรับเขาก็คือเรื่องใหญ่”
ทันทีที่พูดจบ หวังโหวและหวงอวี่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ลั่วอวี่ไม่พูดอะไรมาก นางล้วงขวดใบหนึ่งจากอกเสื้อก่อนจะเทเม็ดยาสีแดงออกมาสองเม็ด ยื่นนิ้วแล้วดีดเม็ดยาไปให้หวงอวี่และหวังโหว
ไม่รอให้หวังโหวและหวงอวี่ปฏิเสธ ลั่วอวี่ก็กล่าวยิ้มๆ “สำหรับข้านี่ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ข้ายังมีอีกมาก”
จบคำนางก็เขย่าขวดยาในมือ
มีเสียงเม็ดยากระทบกันแสดงว่าในขวดยังมีไม่น้อย
หวังโหวและหวงอวี่มองสบตากันแวบหนึ่งแล้วก้มลงมองเม็ดยาที่อยู่ในมือ เม็ดยาสีแดงไม่รู้ว่าคือยาอะไร แต่เพียงสูดดมกลิ่นหอมก็ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ายิ่ง ของสิ่งนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
หวงอวี่ขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้น “พวกเราช่วยลั่วหลีเพราะอยากช่วย หาได้”
“สหายของลั่วหลีก็คือสหายของข้า ระหว่างมิตรสหายไม่จำเป็นต้องเกรงใจ หาไม่ก็เท่ากับเห็นข้าเป็นคนอื่น” ลั่วอวี่เอ่ยแทรกขึ้นมาพลางยิ้มให้อย่างอบอุ่นเปี่ยมไมตรีจิต
“ใช่แล้วๆ พี่ใหญ่ให้ พี่หวังกับพี่หวงก็รับไว้เถิด ของสิ่งนี้พี่ใหญ่ยังมีอีกมาก อย่าได้เกรงอกเกรงใจไปเลย”
ลั่วหลีที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้จึงก้าวเข้ามา คว้าเม็ดยาจากมือของหวังโหวและหวงอวี่ยัดเข้าไปในอกเสื้อของคนทั้งสองทันที ท่าทางดูเหมือนจะไม่รู้สึกว่าของสิ่งนี้มีค่ามากมายอะไร
หวังโหวและหวงอวี่มองหน้ากันคราหนึ่ง หวังโหวหัวเราะแล้วเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม “ตกลง เป็นสหายก็ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากความ ข้าจะรับเอาไว้”
“เช่นนี้ถูกต้องแล้ว” ลั่วหลีได้ยินแล้วพลันยิ้มออกมา
ลั่วหลีเห็นหวังโหวและหวงอวี่ยอมรับไว้ก็ดีใจยิ่ง พี่สาวและสหายของเขาเข้ากันได้ดี ดียิ่งนัก
ลั่วหลียื่นมือออกไปอุ้มเจ้าเงินจากไหล่ของลั่วอวี่ ใจจริงเจ้าเงินไม่อยากให้เขาอุ้มเลยแม้แต่น้อย ทว่าภายใต้สายตาข่มขู่ว่าจะไม่ให้กินเนื้อย่างของลั่วอวี่ทำให้มันต้องยอมจำนน
คนทั้งสี่สนทนากันด้วยเรื่องสัพเพเหระ
ความมืดยามราตรีแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณ มืดสนิทไร้สิ่งเคลือบแฝง
สายลมอุ่นเริ่มโชยพัด กลิ่นหอมของดอกท้อขจรขจายไปทั่วรัศมีสิบลี้
วันเวลาต่อจากนั้น ลั่วอวี่จะว่ายุ่งก็ไม่ยุ่ง จะว่าไม่ยุ่งแต่ก็ยุ่ง
ศิษย์ใหม่เข้ารายงานตัว ต้องแบ่งระดับชั้นและจัดสรรครูอาจารย์ผู้สอน กรอกประวัติภูมิลำเนา อายุและครอบครัว@@@
สำนักศึกษาหลวงไม่ได้แบ่งระดับชั้นเรียนตามอายุ หากแต่จำแนกตามความสามารถ
เรื่องนี้ความจริงแล้วไม่ได้ยากเย็นอะไร ทว่าเมื่อถึงคราวลั่วอวี่กลับกลายเป็นเรื่องยากไปเสียแล้ว
ลั่วอวี่เพิ่งเข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวง ทั้งไม่มีพลังยุทธ์ จัดให้อยู่ในกลุ่มศิษย์ใหม่หรือ
ยอดฝีมือของชั้นปีที่สามยังไม่อาจต่อสู้กับนาง ยังจะเป็นศิษย์ใหม่อะไรได้
เอาล่ะ เรื่องชั้นปียังพอแก้ไขได้ แต่จะให้ใครมาเป็นอาจารย์ของนางเล่า
อาจารย์ทุกคนในสำนักศึกษาหลวงมาร่วมประชุมกัน ยังชี้ชัดออกมาไม่ได้ว่าวรยุทธ์ของลั่วอวี่เป็นวิชายุทธ์แขนงใด แล้วเช่นนี้จะให้พวกเขาสอนนางอย่างไร
นอกจากนี้วรยุทธ์ผาดโผนพิสดารของลั่วอวี่ พวกเขาไม่มีใครเป็นเลยสักคน!
เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหา แต่ประวัติครอบครัวที่ลั่วอวี่กรอกมากลับเป็นปัญหายิ่งกว่า
นางไม่ได้ระบุถึงจวนกั๋วกงม่วงพราว แต่เป็นคฤหาสน์สกุลจวิน คฤหาสน์สกุลจวินที่ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนด้วยซ้ำ
กระทั่งผู้รับผิดชอบงานทะเบียนซักไซ้ไล่เลียงจนถึงที่ ถึงได้ยินลั่วอวี่ชี้แจงอย่างเรียบง่ายทว่ากลายเป็นข่าวครึกโครมใหญ่โต นางบอกว่าครอบครัวของจวินอวิ๋นผู้ถือกำเนิดจากภรรยาลำดับที่ห้าแห่งจวนกั๋วกงม่วงพราวได้ตัดขาดจากจวนกั๋วกงม่วงพราวและตั้งคฤหาสน์สกุลจวินขึ้นเอง
เป็นผู้มีอำนาจบรรดาศักดิ์ดีๆ กลับไม่ชอบ อยากจะเป็นสามัญชน?
ส่วนลั่วหลีพอได้ยินลั่วอวี่ว่าเช่นนั้นก็รีบแจ้นไปเปลี่ยนข้อมูลวงศ์สกุลให้เหมือนพี่สาวด้วยอีกคน
ฝ่ายจวนกั๋วกงม่วงพราวเองก็ยอมรับในเรื่องนี้
เรื่องนี้มันช่าง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคนแบบไหนประเภทใด สำนักศึกษาหลวงก็เคยพบเจอมาแล้วทั้งนั้น ทว่ายังไม่เคยเจอใครรับมือยากเท่านี้มาก่อน
ช่างทำให้คนปวดหัวยิ่งนัก
จัดชั้นเรียนให้ไม่ได้ อาจารย์ก็ยังไม่อาจระบุได้อย่างแน่ชัด หลายวันมานี้ลั่วอวี่จึงแทบจะอยู่ในสภาพเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ
ทว่าเดิมทีลั่วอวี่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ร่ำเรียนวรยุทธ์โบราณอะไรจากที่นี่อยู่แล้ว
สาเหตุที่นางมา ประการแรกเพื่อลั่วหลี ประการที่สองเพื่ออู๋หยาที่บิดาของนางเคยเอ่ยถึงผู้นั้น ประการที่สามเพื่อสะสางเรื่ององค์ชายสามและสัญญาหมั้นหมาย ไม่มีคนคอยสอนนางก็ยิ่งดี นางจะได้ดำเนินการได้สะดวก
ดวงจันทร์คล้อยเคลื่อนไปทางตะวันตก ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาทางตะวันออก
แสงอรุโณทัยเริ่มสาดประกายระยิบระยับจ้าตาขึ้นมาขับไล่ม่านราตรีสีดำ แสงรุ่งโรจน์โชติช่วงหลากสีสันทาทาบขอบฟ้า เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอย่างเชื่องช้าอีกครั้ง
หลังจากลั่วอวี่มาอยู่ที่นี่ก็พำนักอยู่กับลั่วหลี ส่วนหวังโหวและหวงอวี่ก็ย้ายไปเบียดเสียดกับคนอื่นที่ห้องข้างๆ
เดิมทีสำนักศึกษาหลวงจะแยกที่พักชายหญิงออกจากกัน แต่ไม่รู้เป็นเพราะลืมไป หรือเข้าใจว่ารูปโฉมเช่นนี้ของลั่วอวี่น่าจะปลอดภัยไม่มีอะไร จึงอนุญาตให้นางพำนักอยู่ในหอชายได้
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักศึกษาหลวงเลยทีเดียว
“พี่ใหญ่ ข้าไปก่อนนะ”
ลั่วหลีขยับชุดฝึกยุทธ์บนร่างจนเข้าที่เข้าทางแล้วหันไปโบกมือให้ลั่วอวี่ ก่อนเปิดประตูออกไป
ลั่วอวี่ได้ยินแล้วยังไม่ทันรับคำก็ได้ยินเสียงลั่วหลีเปิดประตู ตามมาด้วยเสียงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ามาพบผู้ใด”
“ไม่ทราบว่าจวินลั่วอวี่พักอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่” เสียงอิสตรีที่ฟังดูนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่แท้จริงกลับแฝงไว้ด้วยความดูแคลนดังขึ้น
ลั่วอวี่หมุนตัวเดินไปที่ประตูดูว่าผู้ใดมาพบนาง
ที่หน้าประตูมีเด็กสาวสวมชุดฝึกยุทธ์สีขาวทองของศิษย์ชั้นปีที่สามนางหนึ่งยืนอยู่ ด้านหลังมีเด็กหนุ่มสองคนซึ่งอยู่ชั้นปีเดียวกันตามมาด้วย
ครั้นเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราผู้นี้เห็นลั่วอวี่ซึ่งไม่จำเป็นต้องแนะนำตนเอง เพราะปานที่ประทับบนใบหน้าได้บอกให้รู้แล้วว่านางก็คือจวินลั่วอวี่ แววตาดูแคลนและรังเกียจก็ฉายวาบขึ้นมาบนใบหน้าของเด็กสาวผู้นั้นทันที
นางยื่นสิ่งที่มีหน้าตาคล้ายเทียบเชิญสีแดงใบหนึ่งให้ลั่วอวี่แล้วกล่าวอย่างยโส “พวกเราจะรอเจ้า หวังว่าเจ้าคงจะไม่กลัวหัวหดจนไม่กล้ามา และทำให้พวกเราทุกคนต้องผิดหวังหรอกนะ”
พูดจบนางไม่สนใจว่าลั่วอวี่จะตอบรับหรือไม่ก็หมุนตัวจากไปทันที ท่าทางของนางบ่งบอกถึงความหยิ่งผยองคล้ายคนตรงหน้าไม่คู่ควรแก่การใส่ใจ
ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้พลันขมวดคิ้วมุ่นแล้วพลิกเทียบเชิญที่อยู่ในมือ
“งานชุมนุมสัตว์อสูร” มันอะไรกัน แน่ใจนะว่าไม่ได้เขียนผิดจากงานฉลองวันเกิด เป็นงานชุมนุมสัตว์ ลั่วอวี่ดีดนิ้วใส่เทียบเชิญสีแดงทีหนึ่ง
“งานชุมนุมสัตว์อสูร?”
หวังโหวกับหวงอวี่ที่ออกมายืนอยู่หน้าห้องข้างๆ ตั้งแต่ได้ยินเสียงลั่วหลีแล้ว พอได้ยินเช่นนี้ก็พากันนิ่วหน้า สาวเท้าเข้ามาทันที
ลั่วอวี่จึงยัดเทียบเชิญในมือให้หวงอวี่ดูอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
หวงอวี่ผู้มีนิสัยสุขุมเยือกเย็นรีบกวาดตาอ่านข้อความอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “เข้าไปคุยกันข้างใน” พูดจบก็เดินเข้าไปในห้องพักของลั่วอวี่และลั่วหลี
ในเวลาเดียวกันหวังโหวก็ดันตัวลั่วหลีที่ดูท่าทางยังจับต้นชนปลายไม่ถูก “รีบไปเรียนได้แล้ว เพิ่งเข้ามาก็คิดจะโดดเรียนแล้วหรือ เดี๋ยวก็ตามคนอื่นไม่ทันหรอก” กล่าวจบก็ไม่ปล่อยให้ลั่วหลีได้โต้แย้ง หิ้วตัวลั่วหลีโยนออกนอกประตูใหญ่ของหอเก๋งไปทันที
ภายในห้อง ลั่วอวี่มองหวงอวี่ที่มีสีหน้าเป็นกังวลแล้วเดินเข้าไปเอนกายพิงผนังพลางเอ่ยขึ้น “เรื่องเป็นอย่างไรลองว่ามาซิ”
หวงอวี่เหลือบตามองลั่วอวี่ที่ไม่มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พูดเสียงต่ำ “งานชุมนุมสัตว์อสูร จะว่าไปก็คืองานชุมนุมที่เกี่ยวกับการประลองของสัตว์อสูร เจ้าก็รู้ สัตว์อสูรยิ่งผ่านการต่อสู้มากเท่าไรก็จะยิ่งแข็งแกร่ง ดังนั้นพวกมันจึงต้องการโอกาสในการฝึกปรือ ด้วยเหตุนี้ศิษย์ในสำนักจึงจัดงานชุมนุมสัตว์อสูรขึ้นอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาสัตว์อสูรของตน”
กล่าวถึงตรงนี้หวงอวี่ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ลั่วอวี่เชิดปลายคางขึ้นเป็นเชิงบอกให้เขาพูดต่อ
หวงอวี่เห็นเช่นนี้จึงไม่เกรงใจและไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป เคาะนิ้วลงกับโต๊ะพลางกล่าวว่า “แต่งานชุมนุมสัตว์อสูรแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกเป็นการประลองฝีมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยมิตรไมตรีอย่างแท้จริง จะยั้งมือแต่พอควรแค่พอรู้แพ้รู้ชนะ ส่วนอีกประเภทมีรูปแบบเหมือนการพนัน ตัดสินแพ้ชนะด้วยความเป็นความตาย มีเงินเดิมพันสูงและมีอันตรายมาก โดยทั่วไปมีแต่คู่อริเท่านั้นที่จัดงานประลองประเภทนี้ เทียบเชิญแผ่นนี้ ข้าดูแล้วเป็นเทียบเชิญที่คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนแห่งจวนกั๋วกงเมฆาผงาดส่งมา ข้าจึงอดคาดเดาไม่ได้ว่าจะต้องไม่ใช่การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยไมตรี และยั้งมือแต่พอควรแน่นอน”
หวงอวี่พูดยาวรวดเดียวถึงตรงนี้ พลันชำเลืองตามองไปทางเจ้าเงินที่เพิ่งจะคลานออกจากกองผ้าห่ม ท่าทางยังงัวเงีย หัวยุ่งกระเซิง
สัตว์อสูรระดับขั้นต่ำชั้นที่รู้จักแต่กินแล้วก็นอนตัวนี้ ประลองฝีมือหรือ ไม่แน่ว่าถูกเตะเข้าทีเดียวก็ต้องส่งมันกลับบ้านเก่าแล้วกระมัง
ได้ยินหวงอวี่พูดมาถึงตรงนี้ ลั่วอวี่ก็พอเข้าใจแล้ว
ปี้อวิ๋นแห่งจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลผู้ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือถูกนางกำราบจนสิ้นพิษสง สร้างอำนาจบารมีขึ้นมาได้ ไม่ทันไรก็มีคุณหนูแห่งจวนกั๋วกงเมฆาผงาดโผล่มาอีกคนแล้ว หรือจะเกี่ยวข้องกับองค์ชายสามอีก
ในดวงตาดำขลับของลั่วอวี่ฉายแววกรุ่นโกรธ นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน!
“อย่าได้ดูเบาคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนผู้นี้เป็นอันขาด นางกับปี้อวิ๋นแห่งจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลไม่ใช่คนระดับเดียวกัน” ยามนี้หวังโหวผู้นำตัวลั่วหลีไปโยนไว้ข้างนอกก็เดินเข้ามาพลางเอ่ยแทรกขึ้น
ลั่วอวี่เลิกคิ้วขึ้น พยักพเยิดไปทางเขาให้ว่าต่อไป!
หวังโหวเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะ ทรุดตัวนั่งลงบนเตียงของลั่วหลีแล้วกล่าวว่า “ปี้อวิ๋นจอมสาระแนผู้นั้น ถือดีว่าตนมีความสามารถโดดเด่นกว่าใครในบรรดาคนรุ่นหลังแห่งจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลจึงไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา เห็นชัดว่านางเป็นคนโฉดเขลาอย่างไม่ต้องบรรยายอะไรให้มากความ ทว่าคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนผู้นี้เป็นคนฉลาดหลักแหลมไม่น้อย เรื่องความสูงศักดิ์งดงามคงไม่ต้องกล่าวถึง ยังรู้จักการรุกถอยอย่างเหมาะสม ในความนุ่มนวลแฝงไว้ซึ่งความเฉียบขาด เมื่อเปรียบกับปี้อวิ๋นแล้ว เรียกได้ว่าคนหนึ่งอยู่บนฟ้า คนหนึ่งอยู่ในเหวเลยทีเดียว”
กล่าวถึงตรงนี้หวังโหวมองลั่วอวี่ผู้มีสีหน้านิ่งเฉยพลางหัวเราะหึๆ
“ที่สำคัญก็คือนางกับองค์ชายสามใกล้ชิดสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ได้ยินว่าองค์ชายสามโปรดปรานนางมาก ถ้าไม่ใช่จู่ๆ ก็มีจระเข้ขวางคลองอย่างเจ้าโผล่ขึ้นมาแล้วล่ะก็ พวกเราทุกคนคงไม่สงสัยเลยว่าพระชายาองค์ชายสามต้องเป็นนางไม่ผิดแน่”
หวังโหวพูดจบก็มองลั่วอวี่อย่างยั่วเย้า สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังรอชมเรื่องสนุก
หวงอวี่ที่อยู่ข้างๆ เบนสายตามามองลั่วอวี่บ้าง สีหน้าไม่มีรอยกระเพื่อมไหวมากนัก ทว่าในดวงตาคู่นั้นคล้ายมีรอยยิ้มเคลือบแฝงอยู่
เด็กสาวรูปโฉมอัปลักษณ์กลับปล่อยข่าวว่าองค์ชายสามไร้น้ำยาและไม่ยอมแต่งงานกับเขา เป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาไม่อาจตีสีหน้าเคร่งขรึมได้จริงๆ
ลั่วอวี่เห็นท่าทางล้อเลียนของคนทั้งสองก็ตวัดตามองค้อนไปทีหนึ่ง
นางไปกล่าวหาว่าองค์ชายสามไร้น้ำยาตั้งแต่เมื่อใดกัน ข่าวลือนี้ช่างทำให้คนต้องเดือดร้อน
แต่หยอกล้อก็ส่วนหยอกล้อ หลังจากเสียงหัวเราะแผ่วเบาผ่านพ้นไป หวงอวี่ยังคงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากหลีกเลี่ยงได้ก็อย่าไปจะดีกว่า งานนี้ไม่มีจุดประสงค์ดีแน่”
หวังโหวก็พยักหน้าเช่นกัน “ครั้งก่อนมีงานชุมนุมสัตว์อสูรเช่นนี้ ไม่นับเรื่องสูญเสียสัตว์อสูร และไม่พูดถึงที่สิ้นเนื้อประดาตัว คนที่พ่ายแพ้ยังต้องทำตามเงื่อนไขการเดิมพันที่ต้องปลดเปลื้องเสื้อผ้า วิ่งล่อนจ้อนไปทั่วสำนักศึกษาหนึ่งรอบ ทั้งยังต้องโขกศีรษะให้ผู้ชนะต่อหน้าผู้คนจำนวนมากอีก สุดท้ายถูกบีบคั้นจนสติฟั่นเฟือน ต้องออกจากสำนักไป”
ผู้ที่เข้ามาในสำนักแห่งนี้ได้ ไม่มีผู้ใดมิใช่ผู้เก่งกาจสามารถ สัตว์อสูรเรื่องเล็ก ทรัพย์สินเงินทองไม่มีเหลือก็ยังนับเป็นเรื่องขี้ผง แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงศักดิ์ศรีและหน้าตา เมื่อสูญเสียไปก็หมายความว่าชีวิตนี้ไม่มีวันเงยหน้าขึ้นมองผู้คนได้อีกแล้ว
ลั่วอวี่ได้ยินแล้วปรายตามองเทียบเชิญสีแดงแผ่นนั้นแวบหนึ่ง ที่แท้มีจุดประสงค์เช่นนี้เอง นับว่าเฉียบแหลมกว่าปี้อวิ๋นอยู่หลายขุม
แต่
ลั่วอวี่ก้าวช้าๆ ขึ้นมาข้างหน้า หยิบเทียบเชิญสีแดงแผ่นนั้นขึ้นมาแล้วตวัดปลายนิ้ว
เทียบเชิญพลันถูกกำลังภายในอันกล้าแข็งฉีกกระชากจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่วงหล่นลงจากปลายนิ้วของลั่วอวี่ มองดูคล้ายผีเสื้อสีแดงกำลังโบยบินอยู่ในห้อง
ท่ามกลางแสงอรุโณทัยที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง มุมปากของลั่วอวี่หยักยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มหยันบางเบา นางเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ในเมื่อผู้อื่นอุตส่าห์เชิญมาทั้งที ข้าจะไม่ไปได้อย่างไร”
น้ำเสียงราบเรียบ หากแต่พลังคุกคามบีบคั้นในความไม่ยี่หระนั้นกลับแผ่ซ่านออกมาจากทั่วทุกอณูขุมขน เกิดเป็นแรงกดดันอันไร้ตัวตนอย่างหนึ่ง
หวงอวี่และหวังโหวเห็นดังนี้ก็มองสบตากัน ดวงตาของคนทั้งสองฉายแววประหลาดใจ
นิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง หวงอวี่และหวังโหวก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ครู่เดียวก็เดินกลับมาอีก
“ที่เจ้าพูดก็ถูก ในเมื่อพวกเขาบุกมาท้าทายถึงที่ ครั้นจะไม่ไป กลับจะทำให้ผู้อื่นคิดว่าเรากริ่งเกรงนาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไปเถอะ ลั่วอวี่ นี่ให้เจ้า พวกเราไม่มีเงินทองมากมายอะไร เงินเหล่านี้เจ้าเอาไปเป็นเงินเดิมพันเถอะ” หวังโหวยังคงกล่าวกับลั่วอวี่อย่างไม่ใส่ใจเหมือนไม่มีอะไร
พูดจบเขาก็ส่งหีบไม้ใบเล็กมาให้ลั่วอวี่
พวกเขารู้ว่าลั่วอวี่ตัดขาดกับจวนกั๋วกงม่วงพราวแล้ว เด็กสาวผู้ปฏิเสธการแต่งงานกับองค์ชายสามจนเรืองนามไปทั่วแผ่นดิน เรื่องฐานะและความเป็นอยู่ล้วนถูกขุดคุ้ยจนหมดเปลือก คนยากจนที่โด่งดังคนหนึ่ง ไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ เวลานี้นางจะเอาอะไรไปพนันกับผู้อื่นได้เล่า ย่อมต้องอาศัยการเกื้อหนุนจากมิตรสหาย
ลั่วอวี่ยื่นมือรับไป เมื่อเปิดออกดูก็พบว่าในหีบมีเหรียญทองซ้อนทับกันอยู่กองหนึ่ง เท่าที่ประเมินดูน่าจะมีอยู่ราวหนึ่งร้อยเหรียญ
หนึ่งร้อยเหรียญทอง ในสายตาจวนกั๋วกงแทบจะไม่คู่ควรแก่การชายตามองด้วยซ้ำ ไม่ว่าไปกวาดตามซอกมุมไหนในจวนก็ยังได้เหรียญทองมากกว่านี้
ทว่าหากเปลี่ยนมาเป็นครอบครัวสามัญชนทั่วไปที่มีแต่เหรียญทองแดงและเหรียญเงินเป็นหลัก หนึ่งร้อยเหรียญทองก็เรียกได้ว่ามากมายมหาศาลแล้ว เงินเหล่านี้คงจะเป็นเงินทั้งหมดที่พวกเขามีอยู่เป็นแน่
ลั่วอวี่ปิดหีบไม้ลง มองหน้าหวงอวี่และหวังโหวแวบหนึ่ง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย นางก็ไม่เกรงใจเช่นกัน “ตกลง ถ้าแพ้ก็ใช้เงินของพวกเจ้า ถ้าชนะเราแบ่งกันสามคน”
หวงอวี่กับหวังโหวได้ยินแล้วงุนงงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะลั่น
ลั่วอวี่ช่างคิดหาวิธีแบ่งผลประโยชน์ที่เขี้ยวลากดินเช่นนี้ออกมาได้
ทว่าระหว่างสหายก็สมควรเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ
พริบตาเดียวเวลาก็ล่วงมาถึงยามพลบค่ำ
แสงโคมเริ่มส่องสว่าง ห้องฝึกยุทธ์ภายในสำนักศึกษาหลวงที่ควรจะเงียบสงบลงแล้ว เวลานี้กลับมีเสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ ที่นั่งหลายร้อยที่มีคนจับจองเต็มจนไม่เหลือที่ว่าง
คบเพลิงสีแดงส่องสะท้อนไข่มุกราตรีที่ประดับอยู่บนผนังรอบด้าน ทำให้ห้องฝึกยุทธ์แห่งนี้สว่างไสวดุจกลางวัน มองเห็นทุกอย่างชัดเจน
เวทีศิลาดำที่อยู่ตรงกลางมีกลิ่นคาวโลหิตแผ่ออกมาจางๆ ดูโดดเด่นท่ามกลางแสงไฟ
ห้องฝึกยุทธ์แบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นล่างคือที่นั่งธรรมดา ชั้นบนเป็นที่นั่งชั้นพิเศษซึ่งกั้นเป็นห้อง ที่นั่งภายในล้วนถูกจับจองหมดแล้ว ทุกคนในที่นั้นกำลังเฝ้ารอการมาถึงของคนผู้หนึ่ง
“จวนจะได้เวลาแล้ว คงไม่ใช่ไม่กล้ามากระมัง” เสียงถากถางดังขึ้น
“ไม่หรอก ข้าว่าคงจวนจะมาถึงแล้วล่ะ” เด็กสาวที่สวมกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อน รูปโฉมงามสะคราญ บุคลิกท่วงทีอ่อนหวานละมุนละไมดั่งสายน้ำผู้นี้คือคุณหนูใหญ่สกุลเหลียน นางยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้าขณะหันไปกล่าวกับเด็กสาวที่อยู่ข้างกาย
“นางจะกล้ามาจริงหรือ” เด็กสาวผู้นำเทียบเชิญไปมอบให้ลั่วอวี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูหมิ่นดูแคลน
“หากเป็นข้า ข้าย่อมมาแน่” บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นแล้วหัวเราะเบาๆ
คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนได้ยินพลันคลี่ยิ้มแล้วหันหน้าไปมองบุรุษชุดขาวที่อยู่อีกฟากของโต๊ะหินหยก กล่าวยิ้มๆ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
บุรุษชุดขาวยกสุราขึ้นจิบอึกหนึ่งพลางปรายตามองไปยังบุรุษในอาภรณ์สีแดงที่อยู่ด้านข้าง พอเห็นบุรุษในชุดแดงซึ่งมีสีหน้าเย็นชา หากแต่เห็นชัดว่าไม่อาจข่มกลั้นโทสะไว้ได้ก็เลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“มาแล้วๆ”
ในเวลานั้นเองจู่ๆ ในห้องโถงก็เกิดความวุ่นวายขึ้น จากนั้นไม่นานเสียงจ้อกแจ้กจอแจพลันเงียบลงทันที ทุกคนในที่นั้นต่างจับจ้องไปทางประตูห้องโถง
ลั่วอวี่ยังคงอยู่ในชุดสีฟ้าอ่อน เส้นผมรวบไว้ด้านหลังอย่างหลวมๆ มีเจ้าเงินยืนอยู่บนไหล่ นางก้าวเท้าเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน
สีหน้าเป็นปกติ ราบเรียบดุจสายน้ำ โดยไม่ได้เหลือบมองแววตาทั้งหลายที่จับจ้องอยู่รอบกาย นางไม่มีท่าทีสะทกสะท้านเดินไปยังเก้าอี้ว่างภายในห้องโถงอย่างใจเย็น ด้านหลังนางมีลั่วหลี หวังโหว และหวงอวี่ตามมาด้วย
“นางกล้ามาจริงๆ”
“นับว่ามีความกล้าหาญอยู่บ้าง”
“กล้าหาญ ไม่รู้หลังจากวันนี้แล้วยังจะกล้าหาญอยู่หรือไม่”
ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ หลังจากลั่วอวี่เข้านั่งประจำที่แล้วเสียงกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์ของคนในห้องโถงก็ดังขึ้นอีกคำรบ ถ้อยคำที่พูดออกมาเต็มไปด้วยการสบประมาทเหยียดหยามนาง
ลั่วอวี่เอนกายพิงพนักเก้าอี้ มือลูบไล้เจ้าเงินราวกับไม่ได้ยินวาจาหยามหยันใดๆ ทั้งสิ้น ความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวของนางกลับยิ่งสร้างแรงกดดันอันไร้ตัวตนให้กับทุกคนในที่นั้น
ภายใต้สีหน้าที่ดูเป็นปกติของลั่วอวี่ เสียงกระซิบกระซาบค่อยๆ เบาลง
ภายในห้องที่นั่งชั้นพิเศษ คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าไหววูบเล็กน้อย จากนั้นนางจึงลุกขึ้นยืน คลี่ยิ้มแล้วก้าวออกจากห้องมาหยุดตรงหน้าราวระเบียง โบกมือน้อยๆ ไปทางด้านล่าง
เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ด้านล่างพลันเงียบลงทันที
“ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้ทุกท่านให้เกียรติมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ลำดับขั้นตอนของงานชุมนุมสัตว์อสูรทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้ว ข้าจะไม่กล่าวให้มากความ แต่วันนี้ยากยิ่งที่จะมีผู้มาร่วมงานมากมายเช่นนี้ หากจะประลองยุทธ์เพียงอย่างเดียวคงไม่น่าสนใจเท่าไร เรามาเดิมพันกันดีกว่า เงื่อนไขการเดิมพัน ขอเพียงทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันก็พอ คนอื่นไม่อาจก้าวก่าย”
พอจบคำ เสียงเป่าปากก็ดังขึ้นจากด้านล่าง ระหว่างนั้นมีเสียงปรบมือดังสอดแทรกเป็นระยะ
คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเห็นเช่นนี้จึงกล่าวต่อด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “แต่ว่ามีผู้มาร่วมประลองจำนวนมาก หากต่อสู้ทีละคู่ไม่รู้เมื่อไรจึงจะเสร็จสิ้น เช่นนี้แล้วกัน วันนี้เราจะใช้วิธีหมุนวงล้อโดยให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้หมุน หากไปตกที่หมายเลขที่นั่งของผู้ใดก็ให้ขึ้นมาประลอง ส่วนคนอื่นก็ลงเดิมพัน ร่วมสนุกไปพร้อมกัน”
“ตกลง”
“ไม่มีปัญหา สุดแท้แต่ศิษย์พี่เหลียนเถิด”
“ดีๆ มาเริ่มกัน เริ่มกันได้แล้ว”
บรรดาศิษย์สำนักศึกษาที่อยู่ด้านล่างส่งเสียงกู่ร้องสนับสนุนขึ้นทันที
คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพยักหน้าให้ทุกคน จากนั้นก็เบนสายตาไปที่ร่างของลั่วอวี่ซึ่งนั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องล่าง ไม่มีทีท่าจะสะทกสะท้านแม้แต่น้อย คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนยังคงยิ้มแย้มอ่อนโยน นางหันไปทางลั่วอวี่แล้วกล่าวว่า “วันนี้มีศิษย์น้องคนใหม่มาร่วมสนุกกับเราด้วย ศิษย์น้องลั่วอวี่ เข้าใจกติกาแล้วหรือไม่” พูดถึงตรงนี้นางก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่งขึ้นแล้วเอ่ยต่อไป “ต้องการให้ข้าอธิบายให้ฟังหรือไม่”
ดวงหน้าอ่อนโยน วาจาบริสุทธิ์ใสซื่อ ที่ว่า ‘ในแพรพรรณซ่อนคมเข็ม’ คงหมายถึงเช่นนี้เอง
ลั่วอวี่ได้ยินแล้วชำเลืองตามองคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่อยู่บนชั้นสองปราดหนึ่ง ยังไม่ทันกล่าววาจา ผืนม่านที่อยู่ด้านหลังคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนผู้นั้นพลันปลิวตลบไปตามแรงลม เผยให้เห็นโฉมหน้าของผู้ที่อยู่ภายใน
ภายในห้องมีคนอยู่ทั้งหมดสี่คน เด็กสาวผู้ส่งเทียบเชิญ และเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดอีกสามคน
เด็กหนุ่มที่สวมชุดขาวทางเบื้องซ้ายหน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก มีกลิ่นอายของบัณฑิตแผ่ออกมาทั่วร่าง ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดูเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรีน่าคบหา เขาคือบุรุษที่พบในค่ำคืนนั้นเอง
ส่วนบุรุษทางเบื้องขวาสวมเสื้อผ้าอาภรณ์สีม่วง เครื่องหน้าคมสัน แม้หน้าตาจะไม่หล่อเหลาเท่าใด ทว่าก็เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษที่แข็งแกร่งห้าวหาญ องอาจผึ่งผายยิ่ง
ส่วนคนที่อยู่ตรงกลาง ในความหล่อเหลาแฝงด้วยแววเดือดดาลและดูแคลนอย่างรุนแรง ทำให้เขาแลดูเหมือนราชสีห์ที่กำลังพองขนพร้อมจะระเบิดโทสะ หากไม่ใช่องค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนที่เคยมีเหตุกระทบกระทั่งกับนางยังจะเป็นใครไปได้
สายตาของลั่วอวี่และองค์ชายสามมองสบประสานกัน พริบตานั้นคล้ายมีอสุนีบาตฟาดลงสู่ผืนพสุธา ประกายไฟกระเด็นไปทั่วทุกทิศทาง สายตาดุจคมมีดเชือดเฉือนกันไปมา
หัวคิ้วของลั่วอวี่กระตุกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
โม่เหยียนเห็นสีหน้านิ่งเฉยของลั่วอวี่ ดวงตาทั้งคู่พลันหรี่เล็กลง บรรยากาศอึมครึมขึ้นมาทันใด เขาชี้นิ้วออกไปส่งสัญญาณให้ลั่วอวี่อย่างเย็นชา
ลั่วอวี่เห็นแล้วสีหน้าเคร่งขรึมลง พูดผ่านดวงตาอย่างไร้สุ้มเสียง
“ท่านจะเอาอย่างไร”
ดวงตาหงส์ของโม่เหยียนหรี่ลงอีกเล็กน้อย ยิ้มเยียบเย็นขยับปากให้ลั่วอวี่อ่าน
“ข้าจะเอาอย่างไรหรือ ง่ายมาก ข้าจะให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้ ชาตินี้เจ้าต้องแก่ตายอยู่ในวังหลวง เป็นทาสรับใช้ของข้า ไม่มีวันเป็นไทแก่ตัว”
ลั่วอวี่อ่านริมฝีปากของอีกฝ่ายแล้วหัวคิ้วก็ขยับเข้าหากันเล็กน้อย เหตุใดคนผู้นี้จึงได้จงเกลียดจงชังนางนัก ทีนางยังไม่แค้นเขาที่คิดจะทำลายรูปโฉมของนางเลย เขากลับ
ทว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่จำเป็นต้องยอมก้มหัวให้อีกแล้ว ‘ผู้อื่นเคารพข้าหนึ่งเชียะ ข้าเคารพคืนหนึ่งจั้ง’ ใครกลัวใครกันเล่า
ขณะนั้นสีหน้าของลั่วอวี่พลันขรึมลง ส่งภาษาปากให้โม่เหยียนอย่างเย็นชาขึ้นมาบ้าง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก อยากให้ข้าเป็นทาสรับใช้ก็ต้องดูว่าท่านมีความสามารถหรือไม่”
ดวงตาของโม่เหยียนเปล่งประกายเยียบเย็น
“ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าฝีมือของเจ้าร้ายกาจสักเพียงใด ถึงได้โอหังเช่นนี้”
สายลมบางเบาพัดผ่าน ผ้าม่านร่วงปิดลง โม่เหยียนและลั่วอวี่ต่างละสายตาจากกันพอดี
การโต้ตอบอันไร้สุ้มเสียงของคนทั้งสองในครั้งนี้ ผู้คนที่อยู่ด้านล่างล้วนเห็นอยู่ในสายตา ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ใหญ่โต
ไหนบอกว่าองค์ชายสามกับคู่หมั้นอัปลักษณ์ของเขาไม่เคยพบหน้ากันมิใช่หรือ
แล้วการประสานสายตาโต้ตอบกันอย่างไร้สุ้มเสียงเกิดขึ้นได้อย่างไร
มีลับลมคมนัย มีลับลมคมนัยแน่นอน!
ทันใดนั้นเสียงคาดเดาและแสดงความเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ นานาก็ดังเซ็งแซ่ไปทั่วห้องโถง
ส่วนคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเห็นการพูดคุยกันอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนครั้งนี้แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งแผ่ขยายกว้างขึ้น นางกระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เริ่มต้นได้”
ทันทีที่ประกาศว่า ‘เริ่มต้นได้’ ด้านล่างก็ส่งเสียงอึกทึกขึ้นมาทันที
เจ้าหน้าที่ดูแลงานขึ้นไปบนเวที เลือกหมายเลข หมุนวงล้อ กำหนดเจ้ามือ และเรียงลำดับรายชื่อ
คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเป็นเจ้ามือ มีผู้เข้าร่วมเดิมพันทั้งหมดยี่สิบเอ็ดคน
การหมุนวงล้อครั้งแรกยังไม่ถึงตาลั่วอวี่ออกโรง สองคนที่ได้รับเลือกเป็นคนที่นางไม่รู้จัก
ลั่วอวี่มองเจ้าหน้าที่ที่ถือพู่กันยืนอยู่ตรงหน้าแต่ยังคงนิ่งเฉยไม่ขยับ หวังโหวจึงกระตุกแขนเสื้อนางแล้วกระซิบเสียงต่ำ “วางเงิน จะเดิมพันข้างไหน”
ในเวลาเดียวกันหวงอวี่ก็เอ่ยเสียงแผ่ว “วางเงิน ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเจ้ายอมแพ้ไปโดยปริยาย”
ลั่วอวี่ได้ยินแล้วหัวคิ้วกระตุกเล็กน้อย ที่แท้กฎกติกานี้ก็คล้ายคลึงกับการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ในยุคปัจจุบัน เมื่อนั่งอยู่บนโต๊ะพนัน จะไม่เล่นไม่ได้
นางกวาดตามองจำนวนเงินเดิมพันต่ำสุดในสมุดบันทึกเล่มนั้นห้าสิบเหรียญทอง ลั่วอวี่ขมวดคิ้วก่อนจะควักเงินห้าสิบเหรียญทองแทงข้างสัตว์อสูรตัวหนึ่งซึ่งนางเห็นเพียงผู้เป็นเจ้านาย ยังไม่ได้เห็นสัตว์อสูรตัวนั้นเลยด้วยซ้ำให้เป็นฝ่ายชนะ
บนเวทีศิลาดำ สัตว์อสูรทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดและดุดัน
ทว่าการประลองระดับนี้ ในสายตาของลั่วอวี่ไม่มีอะไรน่าสนใจ นางรู้เพียงว่าเมื่อการประลองสิ้นสุดลง เงินห้าสิบเหรียญทองของนางก็โบยบินไป ข้างที่นางแทงพ่ายแพ้เสียแล้ว
“เหลือแค่ห้าสิบเหรียญแล้ว พิจารณาให้รอบคอบสักหน่อย ข้าว่าหลี่ขุยเป็นฝ่ายชนะแน่ พยัคฆ์เหี้ยมของเขาเป็นสัตว์อสูรขั้นห้า มีพิษสงร้ายกาจนัก” หวังโหวชี้แนะอยู่ข้างหูลั่วอวี่
“ข้ากลับรู้สึกว่าเฝ่ยหุยต้องเป็นฝ่ายชนะ เสือดาวเหินของเขาผ่านการต่อสู้มามากทีเดียว” หวงอวี่เสนอความเห็นที่แตกต่างออกไป
ผู้ใดมีวิทยายุทธ์สูงต่ำ ลั่วอวี่มองปราดเดียวก็เห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่กับสัตว์อสูรขั้นเดียวกันนางกลับไม่รู้จะดูอย่างไร รู้เพียงว่าพวกมันไม่มีทางเอาชนะนางได้แน่นอน ด้วยเหตุนี้ท่ามกลางการโต้เถียงระหว่างหวังโหวและหวงอวี่ เงินห้าสิบเหรียญทองที่วางเดิมพันเป็นครั้งที่สองก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว
จบกัน หวังโหวและหวงอวี่กัดฟันกรอด เงินทุนหมดแล้ว คราวนี้จะเอาอะไรวางเดิมพันกันเล่า
ลั่วอวี่ยังไม่ทันได้ขึ้นประลองก็ไม่มีเงินเดิมพันเสียแล้ว คล้ายว่ามีความสามารถของเซียนพนันอยู่กับตัวแต่กลับไม่มีทุนทรัพย์ช่วยเบิกทางสู่รอบตัดสิน ในโลกนี้ยังจะมีเรื่องอะไรน่าเศร้าใจยิ่งไปกว่านี้อีก
คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเห็นเจ้าหน้าที่ยืนอยู่เบื้องหน้าลั่วอวี่เป็นครั้งที่สาม แต่ลั่วอวี่กลับไม่ได้ควักเงินออกมาทันที อีกทั้งคนทั้งสามที่อยู่ข้างกายนางก็ล้วนมีสีหน้าร้อนรน จึงเอ่ยปากด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ทำไม ศิษย์น้องไม่มีเงินวางเดิมพันแล้วหรือ”
ฉับพลันนั้นเองสายตาทุกคู่ในห้องโถงก็จับนิ่งมาที่ลั่วอวี่เป็นตาเดียว บางคนถึงขนาดส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมาก็มี
“คลานสี่เท้า! คลานสี่เท้า! คลานออกไปจากที่นี่!”
เงื่อนไขการเดิมพันครั้งนี้ของคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนคือให้คลานท่าสุนัข ผู้ที่พ่ายแพ้ไม่มีเงินเดิมพันในตานี้ทั้งหมดจะต้องคลานออกจากที่นี่ด้วยท่าทางเหมือนสุนัข ถ้าลั่วอวี่ไม่มีเงินมาเดิมพันต่อ ย่อมเท่ากับแพ้โดยปริยาย
เวลานี้แววตาของคนทั้งห้องที่จับจ้องมายังลั่วอวี่ มีแต่การทับถมสมน้ำหน้า
“ทีนี้จะทำอย่างไรกันดี ข้าจะไปหยิบยืมมาก่อนแล้วกัน” หวังโหวร้อนใจจนถูไม้ถูมือไม่หยุด
“ไม่มีเวลาแล้ว” หวงอวี่ท่าทางยังดูสุขุมเยือกเย็น ทว่าในดวงตากลับเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
ส่วนใบหน้าเล็กๆ ของลั่วหลีก็เหยเก ร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
“ลุกลี้ลุกลนอะไรกัน” ขณะที่คนทั้งสามกำลังร้อนรนอยู่ไม่สุข จู่ๆ ลั่วอวี่ก็เอ่ยขึ้น นางยื่นมือไปลูบศีรษะของลั่วหลีพลางล้วงตั๋วทองใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้ออย่างไม่รีบร้อน แล้วโยนลงในถาดพลางเอ่ยเสียงเนิบนาบ
“ขอโทษด้วย ไม่มีเศษ”
“หนึ่งหมื่นเหรียญทอง!” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นกวาดตามองตัวเลขบนตั๋วทองแวบหนึ่งแล้วร้องโพล่งออกมา
พอคำพูดนี้หลุดออกมา เหล่าศิษย์ที่ส่งเสียงเอ็ดตะโรไปทั่วห้องโถงก็มีท่าทางราวกับถูกไม้หวดเข้าอย่างจัง พลันเบื้อใบ้ไปทันที สีหน้าตะลึงงันกันไปเป็นแถว
หนึ่งหมื่นเหรียญทอง? ต่อให้เป็นคนของจวนกั๋วกง แต่ทายาทที่เกิดกับอนุภรรยาเหล่านั้นใช่บอกจะเอาเงินจำนวนนี้มาลงพนันก็จะเอามาได้ง่ายๆ เด็กสาวที่ทั้งอัปลักษณ์ทั้งยากจนผู้นี้ ไหนว่าตัดขาดกับจวนกั๋วกงแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึง
พวกเขาไหนเลยจะรู้ พี่ใหญ่แห่งหอลับซึ่งเป็นแหล่งทองในการจับเสือมือเปล่าจะไม่มีเงินได้อย่างไร!
แม้จะไม่อาจเปรียบเทียบได้กับความมั่งมีของจวนกั๋วกงหรือวังหลวง แต่ทองคำหมื่นครึ่งหมื่นก็ไม่ขาดแคลน อยากเห็นนางอับอายขายหน้า ไม่ง่ายเพียงนั้นหรอก
“เล่นต่อ” เสียงใสเย็นดังก้องกังวานไปทั่วห้องโถงที่เงียบกริบ
“เจ้า” หวังโหวและหวงอวี่ที่ได้สติคืนมาพลันเบิกตาโต
ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้จึงส่งยิ้มให้คนทั้งสอง บุ้ยใบ้เป็นเชิงว่ากลับไปค่อยคุยกัน จากนั้นก็หันกลับมาเลิกคิ้วถามเจ้าหน้าที่ซึ่งยังยืนทื่ออยู่ตรงหน้าดังเดิม “น้อยไปหรือ”
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นถูกสายตาเย็นชาของลั่วอวี่ตวัดผ่านพลันสะดุ้งเฮือก รีบจดบันทึกแล้วเดินจากไป
“หึๆ ดูเบานางเกินไปจริงๆ”
ภายในห้องชั้นบน บุรุษชุดขาวนามว่าหลิ่วอวี้เฉินผู้เป็นหลานชายคนโตอันเกิดจากสะใภ้เอกของท่านกั๋วกงสัมฤทธิผลถือถ้วยชาพลางหัวเราะออกมาเบาๆ
เสียงหัวเราะนี้ทำให้องค์ชายสามหันมาถลึงตาใส่อย่างดุดัน หลิ่วอวี้เฉินเห็นแล้วยิ่งหัวเราะชอบใจหนัก
เงินไม่ใช่ปัญหา ต่อให้ถูกคุกคามด้วยสายตา นั่นก็ไม่อาจกลายเป็นปัญหาไปได้
การเดิมพันต่อจากนั้น โดยพื้นฐานแทบจะกลายเป็นพนันขันต่อระหว่างลั่วอวี่และคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนไปเสียแล้ว
ไพ่โป๊กเกอร์สู้กันที่ชั้นเชิง เดิมพันกันที่จิตใจ ปะทะกันที่โชค ยิ่งไปกว่านั้นคือดวง ไม่ว่าจะทิ้งไพ่ไปกี่ครั้ง ขอเพียงหยิบได้ไพ่ดีมาครั้งเดียวก็นับว่าเพียงพอแล้ว
การประชันขันต่อของคนยี่สิบเอ็ดคน ขณะนี้เหลือผู้แข่งขันเพียงหกคนที่ยังขับเคี่ยวกันอยู่ ส่วนคนอื่นหากไม่ใช่หมดตัวก็พ่ายแพ้การประลองไปจนหมด
บนเวทีในเวลานี้เป็นการประลองระหว่างหมาป่าสีเขียวครามขนาดใหญ่ที่มีปีกคู่หนึ่งงอกอยู่กลางหลัง กับงูยักษ์สองหัวที่มีลำตัวอวบใหญ่เท่าต้นขาคน
ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นสัตว์อสูรขั้นห้า
หมาป่าปีกเขียวอาศัยปีกบินไปมาอยู่กลางเวหาเป็นฝ่ายมีอำนาจควบคุมสถานการณ์การต่อสู้ มันบินไปมาพลางร่อนถลาลงไปตะปบงูยักษ์ซึ่งกำลังชูคอขู่ฟ่ออยู่เบื้องล่าง กรงเล็บอันแหลมคมจิกเฉี่ยวลำตัวของงูยักษ์ ทิ้งรอยแผลและคราบโลหิตไว้เป็นทาง
ส่วนงูยักษ์ตัวนั้นปากก็พ่นควันพิษ แลบลิ้นแฉกออกมาไม่หยุด ใช้หางกวาดไปมาอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่ฟาดหางลงบนพื้นเวทีก็จะบังเกิดเสียงตึงดังสนั่นหวั่นไหว กึกก้องจนหูแทบดับ
“เจ้าว่าผู้ใดจะคว้าชัย” หวังโหวทั้งตึงเครียดทั้งตื่นเต้น
“หมาป่าปีกเขียวรวดเร็วว่องไว ทั้งยังโจมตีทางอากาศ ต้องชนะแน่” หวงอวี่ลูบปลายคางของตน
“หุบปาก พี่ลั่วอวี่แทงข้างงูสองหัว เจ้าเข้าข้างคนนอก” ลั่วหลียกนิ้วชี้หน้าหวงอวี่ คิ้วขมวดมุ่นขณะตวาดเสียงต่ำ
หวงอวี่เงียบไปทันที
ลั่วอวี่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสามก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วเอ่ยเสียงเนิบนาบ “งูสองหัวชนะแน่ หมาป่าปีกเขียวทนต่อไปได้อีกไม่กี่น้ำหรอก”
“หา? เพราะเหตุใด” หวงอวี่ยังถามไม่ทันจบประโยคก็เห็นหมาป่าปีกเขียวที่โบยบินเหนือเวทีประลองพลันร่วงลงมาจากเวหาเสียงดังโครม หางของงูสองหัวฟาดเข้าใส่ทันควัน ร่างของหมาป่าปีกเขียวกระเด็นออกนอกเวทีไป
“พิษ” หวังโหวเห็นเช่นนี้ก็อุทานเสียงเบา
เพราะเมื่อครู่ใบหน้าของหมาป่าปีกเขียวแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ นี่เป็นอาการของการถูกพิษ
หวังโหวและหวงอวี่สบตากันครั้งหนึ่ง ลั่วอวี่ช่างมีสายตาแหลมคมนัก
เมื่อการต่อสู้ครั้งนี้ปิดฉากลง ในสนามประลองเหลือผู้ชิงชัยเพียงสามคนเท่านั้น ลั่วอวี่ คุณหนูใหญ่สกุลเหลียน และเจ้าของงูสองหัวที่เพิ่งคว้าชัยมาได้หมาดๆ ส่วนคนอื่นล้วนพ่ายแพ้ไปจนหมดสิ้น
ทว่าเรื่องนี้หาได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของบรรดาศิษย์ที่มาชมศึกครั้งนี้ไม่ ฉากสำคัญเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น