ชายาสะท้านแผ่นดิน
ทดลองอ่าน ชายาสะท้านแผ่นดิน บทนำ – บทที่ 8
บทที่ 7
“รอบต่อไป ลั่วอวี่ปะทะกับอู่เฟิง” วงล้อหมุนติ้ว เจ้าหน้าที่ประกาศก้อง
ผู้ชมในห้องโถงต่างรอคอยมาทั้งค่ำคืน ในที่สุดก็มาถึงช่วงโค้งสุดท้าย แต่ละคนต่างลุ้นระทึกจนพูดไม่ออก
งูสองหัวของอู่เฟิงเลื้อยวนอยู่บนเวทีศิลาดำ ลำตัวอันใหญ่โตและท่าทางอันเกรี้ยวกราดดุร้ายคล้ายไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตา
ส่วนลั่วอวี่ ทุกคนต่างรู้ว่าสัตว์อสูรของนางคือจิ้งจอกที่รู้จักแต่กินตัวหนึ่งเท่านั้น
ยกนี้ใครแพ้ใครชนะ แทบไม่ต้องกังขาเลย
เวลานี้ศิษย์ที่ชมอยู่ข้างเวทีซึ่งใกล้จะหมดเนื้อหมดตัวแต่ยังพอมีเงินเหลืออยู่บ้างถึงกับเทเงินหมดหน้าตักมาวางเดิมพัน ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าลั่วอวี่จะคว้าชัยชนะ
“ศิษย์น้องช่างโชคดีที่ประคับประคองตัวมาจนถึงตอนนี้ได้” คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนยืนพิงกายอยู่หน้าราวระเบียงของห้องชั้นบนกล่าวกับลั่วอวี่ด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงศิษย์พี่ก็อยากพนันให้ศิษย์น้องเป็นผู้ชนะ แต่กำลังความสามารถหึๆ ข้าแทงข้างอู่เฟิงสิบหมื่นเหรียญทอง ส่วนอีกหนึ่งสิบหมื่นเหรียญทองข้าขอตั้งเงื่อนไขการเดิมพัน ผู้ใดแพ้ต้องเปลือยกายเดินออกจากที่นี่”
พอคำพูดนี้หลุดออกมา ในห้องโถงบังเกิดเสียงอึงมี่ขึ้นมาทันที ทุกคนในที่นั้นต่างตื่นเต้นคึกคักขึ้นมาแล้ว
เปลือยกายเดินออกไป ฮ่าๆ
ลั่วอวี่เปลือยกายเดินออกไป!
เด็กสาวผู้นี้อัปลักษณ์ก็ส่วนอัปลักษณ์ เรือนร่างของเด็กสาววัยสิบสี่ก็ไม่เท่าไร ทว่านางเกี่ยวข้องกับองค์ชายสาม คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนผู้นี้ก็มีสัมพันธ์กับองค์ชายสาม เงื่อนไขในการเดิมพันที่ดุเด็ดเผ็ดมันเช่นนี้ ฮ่าๆ ไม่ได้เห็นมานานนักแล้ว
ฝูงชนในห้องโถงพลันฮึกเหิมกระชุ่มกระชวยขึ้นทันตา
“เกินไปแล้ว แบบนี้มันรังแกกันเกินไป! รังแกกันเกินไปแล้ว!” หวังโหวกำหมัดแน่น สีหน้าเขียวคล้ำ หากไม่เพราะหวงอวี่คอยรั้งตัวอยู่ข้างๆ เขาคงกระโจนออกไปแผลงฤทธิ์แล้ว
“อย่าวู่วาม เจ้าสู้พวกเขาไม่ได้ อีกทั้งไม่ใช่เรื่องผิดกติกา”
ถึงปากจะกล่าวเช่นนั้น ทว่าเส้นโลหิตบนหน้าผากของหวงอวี่ก็เต้นตุบๆ แม้การตั้งเงื่อนไขเดิมพันจะไม่ผิดกฎกติกาของสำนักศึกษา ทว่าแต่ไรมามีแต่บุรุษเท่านั้นที่เดิมพันกันเช่นนี้ ยังไม่เคยมีอิสตรีเดิมพันกันเช่นนี้มาก่อนเลย
ลั่วอวี่ยื่นมือไปกดไหล่ลั่วหลีที่โมโหจนแทบกระโดดขึ้นมา นางเงยหน้ามองห้องชั้นบนที่ปราศจากความเคลื่อนไหวใดๆ ไอเย็นทาทาบขึ้นมาบนใบหน้าบางๆ
หากองค์ชายสามไม่อนุญาต เชื่อว่าคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนคงไม่กล้าวางเดิมพันอุกอาจเช่นนี้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นคู่หมั้นหมายของเขา แม้นางจะบอกถอนหมั้นแล้วก็ตาม
ในเมื่อเขาอยากเห็นนางต้องอับอายขายหน้าถึงเพียงนี้ อยากเห็นนางล้มลงอย่างไม่มีวันโงหัวขึ้นมาได้อีก เช่นนั้นนางก็ไม่มีความจำเป็นต้องไว้หน้าเขาอีกต่อไป
ลั่วอวี่หารู้ไม่ เรื่องครั้งนี้หาใช่เจตนารมณ์ของโม่เหยียน ไม่ว่าอย่างไรลั่วอวี่ก็เป็นคู่หมั้นของเขา จะให้นางเปลือยกายเดินออกไปนั้นสมควรที่ไหน โม่เหยียนได้ยินเงื่อนไขการเดิมพันเช่นนี้สีหน้าก็พลันขรึมลง โทสะคุกรุ่นขึ้นมารำไร
ลั่วอวี่ยื่นมือออกมาลูบตัวเจ้าเงินที่อยู่ในอ้อมอกของนาง มันตื่นขึ้นมานานแล้ว กำลังเผยดวงตากลมโตสีดำวิบวับ สีหน้าเต็มไปด้วยความคึกคักฮึกเหิม ท่าทางอยากจะออกไปร่วมสนุกกับเขาเต็มแก่ ทว่าถูกลั่วอวี่ปรามเอาไว้มั่น
“พากันแทงข้างอู่เฟิงกันหมดก็หมดสนุกกันพอดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ข้าจะช่วยสร้างความครึกครื้นให้ทุกคนเอง”
ลั่วอวี่คลี่ยิ้มน้อยๆ ใช่แล้ว ไม่มีสีหน้าเขียวคล้ำ ไม่มีความเคียดแค้นขุ่นเคือง กลับมีเพียงรอยยิ้มอันเป็นธรรมชาติยิ่ง นางค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบตั๋วทองปึกใหญ่ตรงหน้าซึ่งได้มาจากการเดิมพันแล้วโยนให้เจ้าหน้าที่
“เจ็ดหมื่นเหรียญทอง เก่งจริงก็มาเอาไป”
ในห้องโถงพลันมีเสียงโห่ร้องด้วยความชอบอกชอบใจดังกระหึ่มขึ้น
ทุกคนเดิมพันข้างอู่เฟิงกันหมด ย่อมไม่อาจพนันขันต่อกันได้ แต่ตอนนี้ลั่วอวี่เดิมพันว่าตนเป็นฝ่ายชนะ เงินเจ็ดหมื่นเหรียญทองเพียงพอให้พวกเขาได้แบ่งสันปันส่วนกันเป็นกอบเป็นกำ
ทุกคนต่างยินดีปรีดากันทั่วหน้า
ดวงตาดำสนิทค่อยๆ กวาดมองฝูงชนที่กำลังลิงโลด มุมปากของลั่วอวี่หยักยกเล็กน้อย รอยยิ้มหยันผุดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ คล้ายหยามหยันทุกสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
“หญิงอัปลักษณ์เสียสติไปแล้ว” ในห้องชั้นบน เด็กสาวผู้ส่งเทียบเชิญแย้มยิ้มอย่างตื่นเต้น
“ไม่แน่หรอก” หลิ่วอวี้เฉินในชุดขาวกลับส่ายหน้า แววลึกล้ำผุดขึ้นมาบนใบหน้าจางๆ
“บางทีเรื่องสนุกในวันนี้ไม่รู้ใครเป็นฝ่ายดูใครกันแน่” ญาติผู้น้องขององค์ชายสามผู้สวมอาภรณ์สีม่วง จวิ้นอ๋อง เจี้ยเซวียนหลีสองมือกอดอก เลิกคิ้วขึ้นสูง
ดวงตาขององค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนหรี่เล็กลง
แกร๊ง
เสียงระฆังทองดังกังวาน บอกให้ทุกคนในที่นี้รู้ว่าการประลองได้เริ่มขึ้นแล้ว
บนเวทีประลองศิลาดำ งูสองหัวกำลังเลื้อยวนเวียน หัวทั้งสองโยกส่ายไปมาไม่หยุด ลิ้นสีแดงสดแลบแผล็บๆ อยู่กลางอากาศ หมอกพิษสีดำถูกปล่อยออกมาตามลมหายใจแผ่กระจายไปทุกทิศทาง บนเวทีเต็มไปด้วยไอพิษส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง
“พี่ใหญ่ เจ้าเงินจะไหวหรือ” ลั่วหลีกระตุกแขนเสื้อของลั่วอวี่ มองเจ้าเงินที่ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะออกไปประลองด้วยความกังวล
เจ้าเงินน่ารักถึงเพียงนี้ จะส่งมันออกไปตายเช่นนี้ไม่ได้!
ได้ยินเช่นนี้ลั่วอวี่ยังไม่ทันเปิดปาก เจ้าเงินก็หันมาส่งเสียงคำรามแยกเขี้ยวกางกรงเล็บใส่ลั่วหลี ท่าทางเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและขุ่นเคือง คล้ายจะบอกว่า ‘กล้าบอกข้าสู้ไม่ไหว น่าโมโหยิ่งนัก น่าโมโหยิ่งนัก’
ลั่วหลี หวังโหว และหวงอวี่เห็นเช่นนี้ก็จนคำพูด
ลั่วอวี่เองกลับดีดหน้าผากของเจ้าเงินทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเฉียบขาด “ถ้าชนะ ข้าจะจับมันมาย่างให้เจ้ากิน ถ้าแพ้ เจ้าก็คิดเอาเองว่าควรทำเช่นไร”
จบคำ มือที่กดร่างเจ้าเงินมาโดยตลอดก็คลายออก เจ้าเงินซึ่งมีเส้นขนสีเงินยวงกระโจนออกไปดุจธนูหลุดจากคันศร พุ่งขึ้นไปบนเวทีด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
งูสองหัวท่าทางดุร้ายลำตัวใหญ่มหึมาดุจภูเขา ประจันหน้ากับเจ้าเงินที่ตัวเล็กเพียงฝ่ามือ
การเปรียบเทียบที่ชัดเจนเช่นนี้ทำให้ศิษย์ทุกคนที่จับจ้องมาบนเวทีพากันหัวเราะครืนออกมา นี่ช่างง่ายยิ่งกว่าบี้มดตัวหนึ่งให้ตายเสียอีกมิใช่หรือ
บนเวทีประลอง หัวของงูสองหัวส่ายไปมา ดวงตาจับจ้องไปที่เจ้าเงิน หน้าตาดุร้ายน่ากลัว แต่กลับไม่ยอมลงมือ
ส่วนเจ้าเงินก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปบนเวทีประลอง ดวงตาเล็กๆ ของมันจับนิ่งอยู่ที่งูสองหัวขนาดมหึมาอย่างตะกละตะกลามประหนึ่งกำลังจับจ้องเนื้อย่างชิ้นโต เนื้อโอชะชิ้นนี้เพียงพอให้มันได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญไปหนึ่งมื้อ
“เอาสิ เอาเลย”
“ฆ่ามันซะ”
“บุกเข้าไป”
อู่เฟิงและพวกพ้องที่อยู่ด้านล่างเห็นงูสองหัวรีรอไม่ลงมือเสียทีจึงตะโกนเร่งขึ้นมา
งูสองหัวแลบลิ้นออกมาทันที ชูหัวทั้งสองข้างขึ้น อ้าปากกว้างพุ่งเข้าใส่เจ้าเงิน
ยามนั้นเจ้าเงินที่เคลื่อนตัววนไปรอบเวทีไม่หยุดคล้ายพบเป้าหมายที่มันกำลังมองหาอยู่พอดี มันหยุดยืนนิ่ง มองงูสองหัวที่อ้าปากพุ่งเข้ามาใส่ ความโหดเหี้ยมวูบผ่านดวงตาเล็กจ้อย ร่างดีดผึงทะยานขึ้นกลายเป็นลำแสงสีเงินคมกริบพุ่งเข้าใส่งูสองหัวตัวนั้นทันที
ฉัวะ! เสียงปะทะดังหนักทึบ
ศิษย์ทั้งหมดในห้องโถงแทบจะจินตนาการได้ถึงสภาพอันน่าอเนจอนาถ เช่นเจ้าเงินถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ ไม่ก็ถูกเขมือบ ไม่ก็ถูกโจมตีจนร่างกระเด็นออกไป ทุกคนลุกขึ้นมายืนอย่างลืมตัว พวกเขาเกือบจะร้องเฮออกมาเพื่อแสดงความยินดีในชัยชนะครั้งนี้
ทว่าเมื่อม่านโลหิตบนเวทีจางลง ภาพที่ปรากฏต่อสายตากลับทำให้ทุกคนในที่นั้นต้องตะลึงลาน
“อะไรกัน” คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่ยืนพิงราวระเบียงอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา ดวงตาพลันเบิกโพลงอย่างตกตะลึง ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสี
“สวรรค์ นี่มันความเร็วและพละกำลังแบบไหนกัน” ในห้องชั้นบน หลิ่วอวี้เฉินขยี้หูขยี้ตา
องค์ชายสามเจี้ยเซวียนโม่เหยียนที่อยู่ข้างกายเขาค่อยๆ ลุกขึ้นมายืนจับจ้องเจ้าเงินตาไม่กะพริบ
ส่วนญาติผู้น้องของเขาเจี้ยเซวียนหลีถึงกับถีบประตูห้องจนเปิดผางแล้วพรวดพราดลงไปข้างล่าง จับตาดูชนิดเกาะขอบเวที
ในห้องโถง จากเสียงเอะอะอึกทึกกลับกลายเป็นเงียบกริบภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว
เงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกหนักๆ สายตาของทุกคนต่างพุ่งไปรวมอยู่บนเวทีประลอง
บนเวทีศิลาดำ สิ่งที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางม่านโลหิตคือตำแหน่งจุดตายบนหัวทั้งสองของงูยักษ์ มีรูกลมขนาดใหญ่เท่าชามคล้ายถูกลูกธนูดอกเดียวกันพุ่งทะลวงผ่าน บาดแผลคมกริบจนมองหาจุดบิดเบี้ยวไม่ได้แม้แต่น้อย
ลำตัวใหญ่โตมโหฬารของงูสองหัวล้มตึงลงกับพื้นท่ามกลางกองเลือด บังเกิดละอองฟุ้งตลบ
ปลิดชีพในกระบวนท่าเดียว รวดเร็วดุจดาวตกไล่ตามจันทรา
ยามนี้อีกมุมหนึ่งของเวที เจ้าเงินซึ่งมีขนาดเท่าฝ่ามือร่างอาบย้อมด้วยโลหิตกำลังถูไถร่างกับพื้นเพื่อเช็ดคราบโลหิตด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เป็นที่สุด
ตัวเล็กแค่นี้ทั้งยังเป็นสัตว์อสูรที่ไม่รู้ลำดับขั้น ถึงกับโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถสังหารสัตว์อสูรขั้นห้าได้ นี่นี่นี่มันสัตว์ประหลาดประเภทไหนกันแน่
“อา เจ้าเงินร้ายกาจจริงๆ ฮ่าๆ พวกเราชนะแล้ว พวกเราชนะแล้ว” ในห้องโถงที่เงียบกริบพลันมีเสียงของลั่วหลีดังก้องกังวานทำลายความเงียบขึ้นมา
“ฮ่าๆ พวกเราชนะแล้ว” หวังโหวและหวงอวี่มองสบตากันครั้งหนึ่งก่อนตะโกนออกมาพร้อมกัน
เจ้าเงินร้ายกาจถึงเพียงนี้ ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว!
เจ้าเงินที่อยู่บนเวทีเช็ดขนจนสะอาดเอี่ยมดีแล้วก็พุ่งตัวกลับมาอยู่บนไหล่ของลั่วอวี่ตามเดิม มันยืดตัวขึ้นยืนด้วยสองขาหลังอย่างโอ้อวด สองเท้าหน้าจัดเส้นขนบนหัวอย่างวางมาดสองทีแล้วเชิดหน้าชูคอ ท่าทางอวดลำพองยิ่ง
ท่าทางอวดโอ่นั่นทำให้ลั่วหลี หวังโหว และหวงอวี่นึกเอ็นดูเป็นที่สุด
ขณะที่ลั่วหลีและคนอื่นๆ กำลังดีอกดีใจ ลั่วอวี่กลับนั่งกอดอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านล่างเวทีด้วยแววตาเยียบเย็น
“อะไร ไม่มีคนทำความสะอาดเวทีหรือ”
บรรดาเจ้าหน้าที่ตะลึงงันไปเพราะเจ้าเงิน ครั้นได้ยินเสียงของลั่วอวี่จึงได้สติคืนมา รีบลงมือทำความสะอาดเวทีและสะสางบัญชี
ลั่วอวี่สองมือกอดอก กวาดสายตาเยียบเย็นไปทั่วห้องโถงที่เงียบกริบไร้สุ้มเสียง นางแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “น่าเสียดายยิ่ง เห็นทีพวกเจ้าคงไม่มีปัญญาเอาเงินของข้าไปได้”
พูดจบลั่วอวี่ก็ไม่สนใจทุกคนในที่นั้นอีก หันไปมองคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่สีหน้าไม่ค่อยจะดีนักแล้วเอ่ยเสียงเย็น “ประเสริฐยิ่งนัก มาถึงรอบสุดท้ายเสียที ชนะแล้วจะได้กลับไปนอน ข้าเกลียดนักเวลามีใครมาทำให้ข้าต้องเสียเวลานอน”
พอคำพูดประโยคสุดท้ายจบลง คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนพลันตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ
จิตสังหารอันเยียบเย็น ความเย็นยะเยียบที่ทำให้คนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง
บรรดาเจ้าหน้าที่เก็บกวาดเวทีด้วยความรวดเร็ว ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบงันไปทั้งห้องโถง พวกเขาจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยอย่างว่องไว
เงื่อนไขการเดิมพันสิบหมื่นเหรียญทองของคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนปิดฉากลงด้วยการที่อู่เฟิงเปลือยกายล่อนจ้อนวิ่งออกไปด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ
ภายใต้แสงไฟที่สั่นไหว ลั่วอวี่มองไปยังเวทีที่เก็บกวาดเรียบร้อยแต่ยังคงเงียบกริบไร้สุ้มเสียง นางเอื้อมมือไปลูบไล้เจ้าเงินที่กำลังอวดโอ่ตนเองอย่างอิ่มอกอิ่มใจ มุมปากหยักยกแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “พนันกันมาตั้งนาน ข้ายังไม่เคยตั้งเงื่อนไขการเดิมพัน ในเมื่อคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนชื่นชอบถึงเพียงนี้ เช่นนั้นการประลองในรอบสุดท้ายนี้ ข้าจะร่วมสนุกกับเจ้าจนถึงที่สุด”
พอถ้อยคำนี้หลุดออกมา ห้องโถงที่เงียบกริบกลับมาอึกทึกครึกครื้นทันที แววตาของทุกคนมีเปลวไฟคุโชนขึ้นมาอีกครั้ง
นี่คือการตอบโต้ การประชันที่น่าจับตามองที่สุดระหว่างนางพญาทั้งสอง
คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนได้ยินแล้วสีหน้าดำคล้ำไปในทันที แต่นับว่ายังสุขุมเยือกเย็น นางยิ้มออกมาอย่างแข็งกระด้างแล้วกล่าวว่า “เกรงว่าคงไม่อาจทำตามความปรารถนาของศิษย์น้องได้ การเดิมพันครั้งนี้เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะตั้งเงื่อนไขเดิมพัน”
ลั่วอวี่ได้ยินแล้วเลิกคิ้วขึ้นสูง
หวงอวี่ที่อยู่ด้านหลังนางรีบอธิบาย “เงินของเจ้ายังมีไม่มากเท่าของนาง มีแต่เจ้ามือหรือคนที่มีกำลังทรัพย์สูงสุดเท่านั้นจึงจะตั้งเงื่อนไขเดิมพันได้”
ลั่วอวี่ได้ยินเช่นนี้ดวงตาทั้งคู่พลันกลอกไปมา มิน่าถึงไม่เห็นผู้อื่นตั้งเงื่อนไขการเดิมพัน
เวลานี้เจ้าหน้าที่คิดคำนวณยอดเงินบนหน้าตักเสร็จเรียบร้อยจึงจัดลำดับออกมา “ตอนนี้เจ้ามือมีเงินอยู่บนหน้าตักสี่สิบเจ็ดหมื่นเหรียญทอง ลูกมือมีสิบเก้าหมื่นเหรียญทอง”
เงินของลั่วอวี่บวกกับเงินที่ชนะมาเมื่อครู่รวมทั้งหมดสิบเก้าหมื่นเหรียญทอง จำนวนไม่น้อยแต่ยังไม่มากพอจะล้มกระดานคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนอยู่ดี
ลั่วอวี่ชำเลืองมองคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่กำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ตรงราวระเบียง หางตากระตุกเล็กน้อย นางหลุบตาลงครู่หนึ่งแล้วค่อยลืมขึ้นช้าๆ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นข้าจะเพิ่มเงินเดิมพัน”
“ข้าจะเพิ่มเงินเดิมพัน”ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมาก็ราวกับเกิดคลื่นโหมซัดสาดขึ้นมาในห้องโถงทันที
เพิ่มเงินเดิมพัน? หญิงอัปลักษณ์ที่ไม่เอาไหนสักอย่าง ถึงกับมีกำลังทรัพย์มากกว่าเงินแทบทั้งบ้านของคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนเชียวหรือนี่
นี่จะเป็นไปได้อย่างไร
หลังจากที่ในห้องโถงเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง ฝูงชนกลับคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้ว!
สนุกแท้ การประชันที่สถานการณ์กลับตาลปัตรไปอย่างสิ้นเชิงกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ลั่วอวี่ไม่ได้สนใจความบ้าคลั่งของฝูงชนที่อยู่ด้านล่าง และไม่ใส่ใจสีหน้าที่ซีดเผือดไปในฉับพลันของคุณหนูใหญ่สกุลเหลียน นางกวาดสายตาไปยังเจ้าหน้าที่ที่ยืนอึ้งอยู่เบื้องหน้าก่อนจะถามเสียงเข้มว่า “ไม่ได้หรือ”
“ไม่ใช่ ย่อมได้แน่นอน” เจ้าหน้าที่ประจำห้องฝึกยุทธ์ให้คำตอบ
“ดี” ลั่วอวี่ผงกศีรษะ ไม่แม้แต่จะปรายตามองคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนและคนอื่นๆ นางหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อช้าๆ ท่ามกลางการจับจ้องของทุกคน ก่อนจะเทยาเม็ดสีแดงออกมาจากขวดเม็ดหนึ่ง
ที่ด้านหลัง หวังโหวและหวงอวี่ที่กำลังประหลาดใจและคิดว่าลั่วอวี่พกตั๋วทองมูลค่าหลายสิบหมื่นติดตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าสิ่งที่นางหยิบออกมาไม่ใช่ตั๋วเงิน หากแต่เป็นยาเม็ดสีแดงที่เคยมอบให้พวกเขาก็พากันงงงัน
เมื่อยาเม็ดสีแดงถูกเทออกจากขวด กลิ่นหอมรวยรินขุมหนึ่งก็โชยมากระทบจมูก ทำให้ผู้สูดดมมีจิตใจอิ่มเอมปลอดโปร่ง
ภายในห้องโถงย่อมมีผู้ที่รู้คุณค่าของสิ่งของ เพียงเห็นนัยน์ตาก็พลันเบิกกว้าง มองยาเม็ดสีแดงที่อยู่ในมือของลั่วอวี่อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“นี่มันอะไร ยาฟ้าบันดาลหรือ” ในห้องชั้นบนใบหน้าของหลิ่วอวี้เฉินในชุดสีขาวเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
โม่เหยียนที่ยืนอยู่หน้าประตูมาได้ครู่ใหญ่แล้ว พอได้ยินเช่นนี้ก็ส่ายหน้า “ไม่เหมือน” หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เปล่งเสียงลอดไรฟันอย่างสุดจะยอมรับได้ “ดีกว่ายาฟ้าบันดาลเสียอีก”
หลิ่วอวี้เฉินได้ยินแล้วเอามือลูบคาง กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เช่นนั้นเป็นยา”
ขณะที่เขากำลังเอ่ยปาก เจี้ยเซวียนหลีในชุดอาภรณ์สีม่วงพลันพุ่งถลากลับขึ้นมาข้างบนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ลูกกลอนสะกดสำนึก เป็นลูกกลอนสะกดสำนึก!”
“อะไรนะ ลูกกลอนสะกดสำนึก! นางถึงกับมีลูกกลอนสะกดสำนึก!”
หลิ่วอวี้เฉินนิ่งงันไปแล้ว ส่วนโม่เหยียนค่อยๆ เบิกตากว้าง
ลูกกลอนสะกดสำนึก นั่นเป็นสิ่งที่แม้นมีทองพันชั่งก็ยากจะครอบครองได้!
ส่วนคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่อยู่นอกห้อง ได้ยินแล้วสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำอย่างสิ้นเชิง
ขณะที่พวกโม่เหยียนกำลังตื่นตะลึง เจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านล่างก็พินิจพิเคราะห์ยาเม็ดที่อยู่ในมือของลั่วอวี่ได้แล้วเช่นกัน เขาตะลึงงันจนเบื้อใบ้อยู่เป็นนาน
ลั่วอวี่ชูยาเม็ดสีแดงขึ้น มองไปยังเจ้าหน้าที่ผู้นั้นแล้วเอ่ยช้าๆ “ช่วยประเมินราคาด้วย”
เวลานี้ท่าทีเย็นชาแข็งกระด้างของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นเลือนหายไปหมดแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความอ่อนน้อมนุ่มนวล เมื่อได้ยินวาจาของลั่วอวี่ก็รีบตอบอย่างมีมารยาท
“ของสิ่งนี้ข้าไม่อาจประเมินราคาได้ แต่เราจะรีบไปเชิญคนจากสำนักแพทย์โอสถมาตีราคายาเม็ดนี้โดยเร็ว ท่านโปรดรอสักครู่” พูดจบก็รีบสาวเท้าเดินออกไปทันที
ผู้คนในห้องโถงเห็นเช่นนี้ก็ทั้งตื่นเต้นระคนฉงนใจ แม้แต่คนของห้องฝึกยุทธ์ยังไม่กล้าตีราคายาเม็ดของหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ ถึงขนาดต้องเชิญคนจากสำนักแพทย์โอสถมาประเมิน เห็นทีสายน้ำสายนี้คงจะลึกล้ำสุดหยั่ง!
ลั่วอวี่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ไม่ได้เหลือบแลผู้คนรอบข้าง นางหลับตาลงลูบไล้ขนเจ้าเงินเล่น ท่าทีอันสุขุมเยือกเย็น อาบแฝงไปด้วยกลิ่นอายของพลังอำนาจในการครอบงำผู้คนทำให้คนไม่อาจมองข้าม
โม่เหยียนที่ยืนอยู่ในห้องจับจ้องลั่วอวี่ไม่วางตา มองความไม่สะทกสะท้านเป็นตัวของตัวเองที่อาบไล้อยู่ทั่วร่างของนางปานประหนึ่งพญาหงส์ที่อยู่ท่ามกลางฝูงไก่ป่า แม้รูปโฉมจะอัปลักษณ์ หากแต่รอยตำหนิเล็กน้อยก็ไม่อาจบดบังรัศมีหยกงามได้
จู่ๆ โม่เหยียนก็ใจเต้นแรงขึ้น หัวคิ้วพลันขมวดมุ่นเข้าหากัน
เจ้าหน้าที่ประจำห้องฝึกยุทธ์ดำเนินการได้ว่องไวยิ่ง ไม่นานก็เดินกลับเข้ามา ด้านหลังมีคนผู้หนึ่งสวมชุดยาวสีขาว ตรงมุมเสื้อปักตราสัญลักษณ์เป็นรูปเม็ดยาเม็ดหนึ่งเดินตามมาเพื่อจะตรวจสอบยาที่อยู่ในมือของลั่วอวี่
“ลูกกลอนสะกดสำนึกหนึ่งเม็ดราคาสี่สิบหมื่นเหรียญทอง”
ทันทีที่ผู้สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวเอ่ยเช่นนั้น ในห้องโถงที่เดิมทีก็เสียงดังอึกทึกอยู่แล้วพลันมีเสียงโห่ร้องขึ้น
ลูกกลอนสะกดสำนึก ที่แท้ก็เป็นลูกกลอนสะกดสำนึก สี่สิบหมื่นเหรียญทองทีเดียว
“ยาลูกกลอนเม็ดนี้สำนักแพทย์โอสถจะขอซื้อไว้ นี่คือตั๋วทอง โปรดตรวจดูด้วย” ผู้ที่สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวกล่าวกับลั่วอวี่ด้วยรอยยิ้ม เห็นชัดว่าได้เตรียมการมาก่อนแล้ว
ลั่วอวี่ลืมตาขึ้น มองผู้ที่สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวปราดหนึ่ง นางคลี่ยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้า ไม่ตรวจดูตั๋วทองสักนิด ก่อนจะยื่นมือออกไปวางเงินทันที ขณะเดียวกันก็หันหน้ากลับมามองคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่สีหน้าซีดขาว
“ห้าสิบเก้าหมื่น รอบนี้ผู้ใดแพ้ต้องปลดเปลื้องเสื้อผ้าก้าวออกไปจากที่นี่”
น้ำเสียงเยียบเย็นดังก้องกังวานไปทั่วห้องโถง แม้นจะอยู่ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของฝูงชนก็ไม่อาจกลบเสียงนี้ไปได้
ฝูงชนที่เดิมยังจมติดอยู่ในกระแสคลื่นอันรุนแรงของลูกกลอนสะกดสำนึกยังไม่ได้สติกลับคืนมา พอได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งตื่นเต้นฮึกเหิมมากขึ้น
การประชันระหว่างสตรีสองนาง ไม่ว่าผู้ใดพ่ายแพ้ก็ต้องเปลือยกายต่อหน้าธารกำนัล
น่าสนุก ช่างน่าสนุกโดยแท้
ภายในห้องชั้นบน หลิ่วอวี้เฉิน เจี้ยเซวียนหลี และโม่เหยียนต่างมองสบตาแล้วเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกัน ยาสะกดสำนึก เป็นยาสะกดสำนึกจริงๆ เหตุใดเด็กสาวผู้นี้ถึงได้เก่งกาจเรื่องสร้างความประหลาดใจให้ผู้อื่นนัก!
ที่ด้านล่าง หวังโหวและหวงอวี่ที่นั่งอยู่ด้านหลังลั่วอวี่ได้แต่กะพริบตาปริบๆ พลันถูกเสียงโห่ร้องกระชากสติกลับมาก็ต่างหันมามองหน้ากัน
ยาเม็ดสีแดงที่ลั่วอวี่มอบให้พวกเขา เดิมเพียงรู้ว่าเป็นของดี แต่ไม่เคยนึกไม่เคยฝันเลยว่าจะเป็นลูกกลอนสะกดสำนึก ของสิ่งนี้ล้ำค่าเกินไปแล้ว
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมากล่าวถึงเรื่องพวกนี้ ทั้งสองเรียกสติคืนมา หวังโหวกระโดดขึ้นมาตะโกนลั่นบ้าง “อย่ามัวแต่ชักช้าร่ำไร เร็วเข้า รีบประลองให้เสร็จๆ ข้าจะได้กลับไปนอนเสียที”
สิ้นเสียง หวงอวี่ที่อยู่ข้างกายก็คลี่ยิ้มออกมาบางๆ แล้วกล่าวต่ออีกประโยค “คงไม่ใช่เกิดกลัวขึ้นมา ไม่กล้ารับคำท้าหรอกนะ”
“ถ้ากลัวก็ถอดเสื้อผ้าแล้วคลานออกไปจากที่นี่”
หวังโหวและหวงอวี่ยกคำพูดของผู้อื่นมาพูดย้อนโต้กลับบ้าง เรียกเสียงหัวเราะครืนจากรอบด้าน ทำให้คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่ยังลังเลไม่กล้าตัดสินใจมีสีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด จำต้องพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเป็นการตอบรับคำท้า
การเดิมพันยกสุดท้ายเริ่มต้นขึ้นแล้ว
บนเวทีศิลาดำ เสือดาวเงินที่ดูปราดเปรียวคล่องแคล่วตัวหนึ่งกระโดดออกมา เนื้อตัวของมันเป็นสีเงินยวง เขี้ยวฟันแหลมคม ปีกสองข้างกำลังพัดกระพืออยู่บนหลัง
เป็นสัตว์อสูรขั้นหกที่นับว่าพบเห็นได้ยากในสำนักศึกษาหลวงแห่งนี้
ที่คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนสามารถขึ้นมาอยู่ในอันดับหนึ่งอันดับสองของสำนักศึกษาหลวงแห่งนี้ได้ก็ด้วยอาศัยสัตว์อสูรตัวนี้เป็นสำคัญ
เดิมทีเสือดาวก็เป็นสัตว์ป่าที่รวดเร็วว่องไวที่สุดแล้ว ยิ่งมีปีกบนหลังเพิ่มมาอีกคู่ เสือดาวที่บินได้ย่อมมีความเร็วน่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน
ทันทีที่เสือดาวเงินขึ้นสู่เวที เสียงไชโยโห่ร้องก็ดังกึกก้อง
แม้นเจ้าเงินจะรวดเร็วและลั่วอวี่จะมีเงินมากมาย แต่เสือดาวเงินก็ช่ำชองเรื่องความว่องไวที่สุด การประลองในรอบนี้ฝีมือจึงค่อนข้างสูสี
ลั่วอวี่เห็นคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนใจคอเริ่มสงบ ใบหน้ามีรอยยิ้มเชื่อมั่นผุดขึ้นมาอีกครั้งก็เคาะศีรษะเล็กๆ ของเจ้าเงินเบาๆ แล้วเอ่ยยิ้มๆ “จะได้กินเนื้อย่างมากน้อยแค่ไหน ต้องดูผลงานของเจ้าแล้ว”
เจ้าเงินได้ยินเช่นนี้ขนบนตัวก็ตั้งชันขึ้นมาทันที กรงเล็บเล็กๆ กวัดแกว่งอยู่เบื้องหน้าราวกับกำลังประกาศกร้าวอย่างไร้สุ้มเสียงว่า ‘เพื่อเนื้อย่าง ข้าสู้ตาย’
แสงสีเงินวูบขึ้น เจ้าเงินไปปรากฏตัวบนเวทีแล้ว
บนเวทีศิลาดำ หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก เสือดาวเงินและเจ้าเงินต่างมีสีเงินยวงทั้งตัวเช่นเดียวกัน ทั้งสองยืนคุมเชิงกันอยู่
รอบด้านพลันเงียบกริบไร้สุ้มเสียง สายตาของทุกคนในที่นั้นจับนิ่งอยู่ที่ร่างของสัตว์อสูรทั้งสองตัว
แกร๊ง
เสียงระฆังดังขึ้น การประลองเริ่มต้นแล้ว!
เสียงสัญญาณเปิดศึกเพิ่งดังขึ้น เจ้าเงินก็พุ่งปราดออกไปทันที ทุกคนยังไม่ทันมองชัดถนัดตามันก็ไปยืนเด่นอยู่บนหัวของเสือดาวเงินเสียแล้ว
เสือดาวเงินอารามตกใจจึงเริ่มส่ายสลัดสะบัดหัวอย่างแรงทันที
“รวดเร็วยิ่งนัก นี่มันสัตว์อสูรประเภทไหนกันแน่” หลิ่วอวี้เฉินก้าวออกจากห้องมาดูในระยะประชิด เขาขยี้ตากล่าวด้วยความฉงนสนเท่ห์
“ไม่รู้ ไม่เคยเห็นมาก่อน” ส่วนเจี้ยเซวียนหลีถึงขนาดปีนขึ้นไปบนราวระเบียง จ้องเจ้าเงินตาไม่กะพริบ
ส่วนโม่เหยียนไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจา เขาตระหนักในความว่องไวของเสือดาวเงินดี แต่ยังไม่ทันได้เผชิญหน้ากลับปล่อยให้เจ้าเงินฉวยโอกาสลงมือก่อนเช่นนี้ เขาไม่เคยเห็นสัตว์อสูรที่มีความว่องไวมากเท่านี้และไม่เคยเห็นสัตว์อสูรชนิดนี้มาก่อน
เจ้าเงินใช้สองเท้าหลังจิกยึดขนและหนังหัวของเสือดาวเงินอย่างเหนียวแน่น ปล่อยให้เสือดาวเงินส่ายสะบัดอย่างคลุ้มคลั่งตามใจชอบ ส่วนกรงเล็บเล็กๆ ทั้งสองก็ดึงทึ้งขนของเสือดาวเงินอย่างเร็วระรัว
สิ่งที่ตามมาจากการดึงทึ้งอย่างบ้าคลั่งคือเส้นขนสีเงินที่ปลิวว่อนแล้วร่วงหล่นลงสู่พื้นเวทีสีดำ สีขาวเงินตัดกับสีดำดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก
“เจ้าเงินกำลังทำอะไร ถอนขนเช่นนั้นหรือ” ดวงตาเล็กๆ ของลั่วหลีกะพริบปริบๆ ถามขึ้นอย่างข้องใจ
หวังโหวและหวงอวี่ไม่มีใครตอบได้ ทั้งสองดูจะจนด้วยคำพูด
ให้มันขึ้นไปเพื่อต่อสู้ ไม่ใช่ให้ไปถอนขน เจ้าเงินกำลังทำอะไรกันแน่
ลั่วอวี่เห็นแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ พึมพำขึ้นว่า “เจ้าสัตว์อสูรหลงตัวเอง”
ขนสีเงินปลิวว่อนท่ามกลางเสียงหัวเราะของลั่วอวี่ บนเวทีประลองแทบมองไม่เห็นตัวเสือดาวเงินกับเจ้าเงินเลย เห็นเพียงแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งตามมาด้วยเส้นขนนับไม่ถ้วนปลิวกระจาย
หลังจากนั้นเสือดาวเงินก็ส่งเสียงคำรามลั่น แสงสีเงินไหววาบ แล้วเงาร่างทั้งสองก็ผละออกจากกัน เสือดาวสีเงินและเจ้าเงินต่างแยกออกมาหยุดยืนอยู่คนละด้านของเวที
รอบด้านเงียบกริบ ทุกสายตาจับนิ่งไปบนเวทีไม่มีใครพูดอะไร
เพียงเห็นเสือดาวเงินที่เดิมดูองอาจห้าวหาญ เวลานี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีเส้นขนสีเงินยวงหลงเหลือแม้แต่น้อย กลายเป็นเสือดาวสีเนื้อที่เนื้อตัวล้านเลี่ยนเตียนโล่งไม่เหลือขนสักเส้น ดูตัวหดเล็กลงไปเป็นกอง
ส่วนฝั่งตรงข้าม เจ้าเงินยืดตัวยืนด้วยสองเท้าหลัง ใช้อุ้งเท้าหน้าตบกันกลางอากาศ มันส่งเสียงเชอะอย่างหยิ่งผยองพลางถ่มน้ำลายรดกองขนสีเงินที่ถูกมันทึ้งถอนออกมาทีหนึ่ง จากนั้นยังชูหมัดเล็กๆ ให้เสือดาวเงินที่ไร้ขนอย่างท้าทาย ท่าทางบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ‘อย่างเจ้าหรือจะคู่ควรกับสีเงินเช่นข้า ใต้หล้านี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่คู่ควรกับสีเงิน หากเจ้าอยากสีเงินนัก ข้าก็จะถอนขนเจ้าให้เกลี้ยง ดูซิเจ้ายังจะมีสีเงินได้อีกหรือไม่’
“พรืด” ท่ามกลางความเงียบ ลั่วหลีสะกดกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่ จากนั้นราวกับเกิดคลื่นโหมซัดสาดตามมา บรรดาศิษย์สำนักศึกษาหลวงที่อยู่ในห้องโถงพากันส่งเสียงหัวเราะออกมาตามกันเป็นพรวน
เสือดาวเงินตัวโกร๋น ฮ่าๆ
คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่ยืนอยู่ด้านข้างโมโหเสียจนหน้าเขียวคล้ำ
เสือดาวเงินที่ถูกถอนขนจนโกร๋นอับอายจนโทสะพวยพุ่ง มันกางปีกคำรามลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่เจ้าเงิน ท่าทางอันโอหังแสดงออกชัดเจนว่า ‘ข้าบินได้ ต่อให้เจ้าไวแค่ไหนก็ได้แต่อยู่บนพื้นเท่านั้น’
ไม่รู้ระหว่างสัตว์อสูรสื่อสารกันอย่างไร หากแต่เห็นชัดว่าเจ้าเงินเข้าใจถึงความโอหังนี้อย่างแจ่มแจ้งพลันส่งเสียงคำรามอย่างดุดันขึ้นมาบ้าง แสงสีเงินไหววาบ พุ่งสวนเข้าใส่เจ้าเสือดาวทันที
เพียงชั่วขณะ ผู้ชมที่นั่งอยู่มองเห็นเพียงเงาสีเงินและร่างสีเนื้อปะทะกันกลางอากาศ เสียงโครมดังสนั่น ม่านโลหิตค่อยๆ แผ่กระจายออกมา จากนั้นร่างสีเนื้อพลันหมุนตัวบินขึ้นสู่เวหา แสงสีเงินไล่กวดไปติดๆ
“เสือดาวเงินบินได้ ย่อมได้เปรียบ” หลิ่วอวี้เฉินยืนลูบคางอยู่ข้างราวระเบียงพลางกล่าวขึ้น
“สู้ไม่ได้ยังหนีได้ เช่นนี้คงจะกลายเป็นสงครามผลัดกันรุกรับ” เจี้ยเซวียนหลีก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่หรอก” ทันทีที่สิ้นเสียงของทั้งคู่ โม่เหยียนก็กล่าวแทรกขึ้น
หลิ่วอวี้เฉินและเจี้ยเซวียนหลีเลิกคิ้วแล้วกล่าวขึ้นพร้อมกัน “เพราะเหตุใด”
คำย้อนถามยังไม่ทันพูดจบ พวกเขาก็ทราบคำตอบแล้ว
แสงสีเงินซึ่งเดิมชะงักค้างอยู่กลางอากาศ จู่ๆ กลับถีบตัวขึ้นกะทันหัน ครู่เดียวก็ไล่ตามเสือดาวเงินที่โบยบินอยู่กลางอากาศได้ทัน
สีโลหิตสาดกระจาย เสือดาวเงินส่งเสียงร้องโหยหวน
“เพิ่มพลังกลางอากาศ นี่นี่” หลิ่วอวี้เฉินและเจี้ยเซวียนหลีได้แต่ตะลึงงัน พวกเขาไม่เคยพบเห็นสัตว์อสูรเช่นนี้มาก่อน เจ้าตัวน้อยนี่คือตัวอะไรกันแน่
เสือดาวเงินร่วงสู่พื้น สองปีกขาดสะบั้น ลมหายใจรวยริน เผชิญหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งก็ถูกจัดการราบคาบเสียแล้ว รวดเร็วจนไม่มีผู้ใดเห็นชัดถนัดตาว่าเจ้าเงินลงมืออย่างไรกันแน่
ลั่วอวี่รู้มานานแล้วว่าเจ้าเงินว่องไวเหนือธรรมดา เขี้ยวฟันก็แหลมคมจนน่ากลัว กลับนึกไม่ถึงว่าเมื่อความเร็วผนวกกับเขี้ยวคมจะให้ผลลัพธ์อันร้ายกาจเช่นนี้ แม้แต่นางยังอดเลิกคิ้วไม่ได้
เจ้าเงินกระโดดครั้งเดียวก็กลับมาสู่อ้อมอกของลั่วอวี่ มันยืนตัวตรงแน่ว บิดก้นเล็กๆ ให้ลั่วอวี่ ในดวงตาเล็กๆ ที่เต้นระริกระรี้สื่อความหมายชัดว่า ‘เนื้อย่าง เนื้อย่าง!’
ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็คลี่ยิ้มพลางลูบหัวเล็กจ้อยของเจ้าเงินอย่างเอ็นดู “กลับไปจะให้เจ้ากินของอร่อย”
พูดจบลั่วอวี่ก็เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มอันอ่อนโยนบนใบหน้าได้อันตรธานไปแล้ว นางมองคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนที่ใบหน้าซีดเผือดราวกับคนตายอย่างเย็นชา
คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนรับรู้ถึงสายตาของลั่วอวี่ก็มีสีหน้าย่ำแย่เป็นที่สุด นางหันกลับไปมองโม่เหยียน ก่อนจะเอ่ยปากอย่างน่าเวทนา “องค์ชายสาม”
โม่เหยียนไม่ได้เหลือบแลสายตาวิงวอนของคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนสักนิด เพียงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “เมื่อกล้าพนันย่อมต้องกล้ารับผล”
กล้าพนันต้องกล้ารับผล ในเมื่อกล้ารับคำท้า พ่ายแพ้แล้วก็ต้องยอมรับ นี่คือหลักการของความเป็นคน เขาไม่มีวันลำเอียงปกป้องคนของตนเองเด็ดขาด
ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนก็ไม่นับเป็นคนของเขาอยู่แล้ว
ครั้งนี้คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนคิดจะตบก้นม้า กลับไปตบเอาขาม้า เสียแล้ว
สายตาของเขาตวัดไปสบนิ่งกับดวงตาที่มองขึ้นมาของลั่วอวี่ นัยน์ตาของโม่เหยียนลึกล้ำดุจเปลวเพลิง เขาสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป
“ถอดให้หมด! ถอดให้หมด! ถอดให้หมด”
เมื่อโม่เหยียนลั่นวาจาออกมาเช่นนี้ ผู้ชมรอบด้านพลันตะโกนกู่ร้องขึ้นมาเป็นระยะ
วิ่งเปลือยกาย สตรีวิ่งเปลือยกาย นี่เป็นภาพที่ไม่เคยประสบพบเห็นมาก่อน
ช่างน่าตื่นเต้น เร้าใจนัก!
ท่ามกลางเสียงตะโกนที่ดังขึ้นมาเป็นระลอก คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนสีหน้านิ่งขึง ไม่ขยับเขยื้อน
ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรมาก เพียงกล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า “เจ้าจะไม่รักษาสัญญาก็ได้ แต่จากนี้ไปข้าเดินผ่านที่ใด เจ้าต้องหลบห่างข้าสามเซ่อ* มิเช่นนั้นข้าเห็นหน้าเจ้าครั้งหนึ่งก็จะตีเจ้าครั้งหนึ่ง”
ฝูงชนพากันโห่ร้อง
“ละเว้นคนได้ก็สมควรละเว้น” ท่ามกลางเสียงดังอื้ออึง บุรุษในชุดคลุมยาวสีขาวที่ยืนอยู่ข้างกายลั่วอวี่มองนางแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
ลั่วอวี่ได้ยินก็หันไปมองบุรุษในชุดคลุมยาวสีขาวที่กำลังยืนอมยิ้มอยู่ นางเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “วันนี้หากอยู่ในสถานการณ์กลับกัน นางใช่จะยอมละเว้นข้า”
แพทย์โอสถในชุดคลุมยาวสีขาวหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนมีเจตนาจะทำให้ลั่วอวี่อับอาย วันนี้หากนางเป็นฝ่ายชนะ ต้องไม่ยอมละเว้นลั่วอวี่แน่ สิ่งที่เขาพูดออกไปจึงหาความหมายอะไรไม่ได้
หลังจากพยักหน้าแล้ว แพทย์โอสถก็คิดจะเจรจาเรื่องหนึ่ง เขากล่าวกับลั่วอวี่ยิ้มๆ “ขอคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่ หรือเจ้าอยากจะดูต่อให้จบก่อน”
ลั่วอวี่เหลือบมองความคึกคะนองบ้าคลั่งภายในห้องคราหนึ่ง ความดูแคลนวูบผ่านใบหน้า ก่อนจะลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ไปกันเถิด” นางหาได้สนใจเรือนร่างเปลือยเปล่าของสตรี
นางกับลั่วหลี หวังโหวและหวงอวี่ก้าวออกจากประตูใหญ่ของห้องฝึกยุทธ์ไปพร้อมกัน
ฝูงชนพากันมองตามหลังลั่วอวี่ที่เดินออกไป แววตาของคนเหล่านี้ได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว เงาร่างของลั่วอวี่คล้ายสูงใหญ่ขึ้นมาในพริบตา