ชายาสะท้านแผ่นดิน
ทดลองอ่าน ชายาสะท้านแผ่นดิน บทนำ – บทที่ 8
บทที่ 8
สายลมเย็นยามราตรีพัดโชยมา พากลิ่นหอมของหญ้าเขียวรวยรินมาบางเบา บรรยากาศรอบด้านดูอบอุ่นชุ่มชื้นสงบงดงาม
หลังออกจากห้องฝึกยุทธ์ แพทย์โอสถชุดขาวก็หันมาพูดกับลั่วอวี่ด้วยสีหน้าเจือยิ้ม
“ลั่วอวี่ ลูกกลอนสะกดสำนึกเจ้าเป็นผู้ปรุงขึ้นเองกระมัง สนใจจะเข้าสำนักแพทย์โอสถของเราหรือไม่”
“สำนักแพทย์โอสถ?” ลั่วอวี่ยังไม่ทันเปิดปาก หวังโหวก็โพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ถูกต้อง สำนักแพทย์โอสถหลวง เจ้าน่าจะอยู่ในระดับแพทย์โอสถชั้นกลางใกล้จะขึ้นชั้นสูงแล้วกระมัง ลูกกลอนสะกดสำนึกที่เจ้าปรุงสะอาดบริสุทธิ์ยิ่ง เจ้าสนใจหรือไม่” แพทย์โอสถชุดขาวกล่าวยิ้มๆ
เมื่อได้ยินแพทย์โอสถเอ่ยถึงลูกกลอนสะกดสำนึกขึ้นมาอีกครั้ง หวังโหวและหวงอวี่ต่างหันมามองหน้ากัน
สัตว์อสูรบนแผ่นดินลืมธารามีมากมาย ตลอดหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมา ลูกกลอนปราณอสูรอันเกิดจากการจับตัวของพลังปราณแห่งฟ้าดินที่สัตว์อสูรดูดซับไว้ภายในกายล้วนเป็นสุดยอดโอสถที่ช่วยเสริมสร้างพลังยุทธ์ เพียงแต่สัตว์อสูรนิสัยป่าเถื่อน พยศมาก ฝึกให้เชื่องยาก เมื่อกินลูกกลอนปราณอสูรเข้าไป แม้นจะช่วยเพิ่มพูนพลังยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่โอกาสเกิดผลข้างเคียงอย่างอาการธาตุไฟเข้าแทรกจนเสียสติก็มีมากตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ลูกกลอนสะกดสำนึกซึ่งมีสรรพคุณแก้อาการธาตุไฟเข้าแทรกจึงนับเป็นสิ่งล้ำค่าในบรรดาสิ่งล้ำค่า หนึ่งเม็ดมีค่าสี่สิบหมื่นเหรียญทอง นับว่าสมน้ำสมเนื้อ
แต่ลั่วอวี่กลับมอบให้พวกเขาคนละหนึ่งเม็ดอย่างไม่นึกเสียดาย ขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่เคยคิดว่ายานี้จะสูงค่าถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่เคยคิดว่าลั่วอวี่จะเป็นถึงแพทย์โอสถชั้นกลาง
พึงรู้ว่าแพทย์โอสถเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติที่สุดในแผ่นดินนี้ แบ่งออกเป็นชั้นต้น ชั้นกลาง ชั้นสูง จอมแพทย์โอสถ และเทพโอสถ ลั่วอวี่เพิ่งมีอายุสิบสี่ปีเท่านั้น ถึงกับมีความสามารถเข้าขั้นแพทย์โอสถชั้นกลางจวนเทียบชั้นสูงแล้ว เรื่องนี้นับว่าน่าอัศจรรย์เสียยิ่งกว่าการเป็นยอดยุทธ์น้ำเงินในวัยสิบสี่ปีเสียอีก
“สำนักแพทย์โอสถ พี่ใหญ่”
“ข้าขอไตร่ตรองดูก่อน” ไม่รอให้ลั่วหลีที่กำลังตื่นเต้นดีใจกล่าวจบ ลั่วอวี่ก็แทรกขึ้นทันทีพลางมองแพทย์โอสถผู้นั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แพทย์โอสถชุดขาวได้ยินก็อึ้งไปชั่วขณะ หลายปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีผู้ใดปฏิเสธการเข้าสำนักแพทย์โอสถแม้แต่คนเดียว
ทว่าเขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว กล่าวอย่างแย้มยิ้ม “ย่อมต้องไตร่ตรองเป็นธรรมดา อีกอย่างด้วยคุณสมบัติของข้าก็ยังไม่สามารถเชิญเจ้าเข้าสำนักแพทย์โอสถได้ ข้าจะรายงานต่อท่านหัวหน้าสำนักแพทย์โอสถหลวง ลั่วอวี่ เชื่อข้าเถิด เข้าสำนักแพทย์โอสถหลวง สำหรับเจ้าแล้วมีแต่คุณอนันต์ไม่มีโทษแม้เพียงนิด อิทธิพลของเราแผ่ขยายครอบคลุมหลายแว่นแคว้น เชื่อว่าจะเป็นผู้หนุนหลังให้เจ้าได้ประโยชน์สูงสุด ทำให้เจ้าไม่ต้องห่วงกังวลสิ่งใดอีก”
หลังจากทิ้งวาจาประโยคสุดท้ายที่แฝงความนัยลึกซึ้งให้ลั่วอวี่แล้ว แพทย์โอสถชุดขาวก็ยิ้มพลางกล่าวอำลาลั่วอวี่ด้วยท่าทีงามสง่าก่อนจะเดินจากไป
ลั่วอวี่ยกมือลูบหางคิ้ว ความหมายของคำพูดประโยคนี้มิใช่กำลังบอกนางเป็นนัยหรือว่าเมื่อมีสำนักแพทย์โอสถคอยเกื้อหนุน จวนกั๋วกงทั้งสามก็ไม่มีอะไรน่าครั่นคร้ามอีกต่อไป
ลั่วอวี่เลิกคิ้วหัวเราะออกมาเบาๆ ดวงตาเป็นประกายวิบวับ แต่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร
ไม่มีใครพูดอะไรอีก กระทั่งทั้งหมดกลับมาถึงหอพัก
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระกับข้า ข้าไม่อยากฟัง หากเป็นสหายก็ช่วยข้าแบ่งเงิน หากไม่ใช่สหายก็ล้มเลิกกันไป” พอก้าวเข้าประตู ลั่วอวี่ก็เอ่ยคำพูดนี้ออกมาโดยไม่หันกลับมามองหน้าใคร
หวังโหวและหวงอวี่ที่เดินตามหลังมาติดๆ กำลังครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากบอกคืนยาลูกกลอนสะกดสำนึกที่มีราคาสูงลิบลิ่วอย่างไรดี แต่กลับได้ยินลั่วอวี่โพล่งขึ้นมาเช่นนี้จึงพากันชะงักนิ่งแล้วหันมามองสบตากัน
ภายในห้องเงียบงันไปชั่วขณะ
ครั้นแล้วหวังโหวก็หัวเราะขึ้นมา ก้าวเท้ามาข้างหน้าก่อนจะตบไหล่ของลั่วอวี่แรงๆ พลางพูดกลั้วหัวเราะ “ได้ ข้ารอรับส่วนแบ่งอยู่ หักเงินต้นของเจ้าออกไป ยังเหลืออีกตั้งสิบกว่าหมื่น พวกเรารวยแล้ว”
หวงอวี่ที่อยู่ข้างหลังก็หัวเราะ พยักหน้าเห็นพ้อง
“ต้องอย่างนี้สิ” ลั่วอวี่หมุนตัวกลับมาพลางหัวเราะ
นางไม่เคยร่ำเรียนวิธีการปรุงยาของแผ่นดินลืมธารา สิ่งที่นางรู้คือการปรุงยาในแบบฉบับชาวยุทธ์ ในสมัยโบราณแต่ละพรรคแต่ละสำนักในยุทธภพมีผู้ใดปรุงยาถอนพิษไม่เป็นบ้าง ส่วนยาสะกดสำนึกอะไรนี่ก็เป็นเพราะครั้งนั้นเจ้าเงินหาสมุนไพรชั้นเลิศมาให้มากมายเกินไป หลังจากนางปรุงยาถอนพิษให้บิดาสำเร็จจึงถือโอกาสปรุงยาเม็ดชนิดนี้ขึ้นมาเท่านั้น
ทั้งสามมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา
มวลหมู่ดาวส่องแสงระยิบระยับ รัตติกาลงดงามพร่างพราย
ท่ามกลางความงามเช่นนี้ คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนนับว่ามีจิตใจเด็ดเดี่ยวนัก นางเดินเปลือยกายออกจากห้องฝึกยุทธ์
โชคดีที่จวนกั๋วกงเมฆาผงาดมีอิทธิพลไม่น้อย จึงอาศัยผ้าสีดำบดบังเรือนร่างไว้รอบด้าน ทุกคนรู้เพียงว่าคุณหนูใหญ่สกุลเหลียนปลดเปลื้องอาภรณ์ออกแล้วเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วไม่มีใครได้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของนาง
ทว่าครั้งนี้คุณหนูใหญ่สกุลเหลียนนับว่าอับอายขายหน้าอย่างที่สุด แต่นี้ไปไม่อาจเงยหน้าขึ้นมองสบตาผู้คนในสำนักศึกษาหลวงได้อีก
ราตรี ยิ่งทวีความมืดมิดขึ้นเรื่อยๆ
วังหลวง แคว้นไร้ปีก
“อะไรนะ! แพทย์โอสถชั้นกลางจวนเทียบชั้นสูง?” ในตำหนักบรรทมของพระราชา เสียงเข้มแข็งทรงพลังเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์เสียงหนึ่งดังขึ้น
“พ่ะย่ะค่ะ”
“หึๆ มีความสามารถถึงเพียงนี้ จวินโย่วเทียน พวกเจ้ามองนางผิดไปเสียแล้ว” ผู้เป็นเจ้าเหนือชีวิตส่งเสียงหัวเราะ
“มีเพียงฝ่าบาทที่มีสายพระเนตรในการมองคนได้เฉียบคมยิ่ง”
“ตั้งแต่อายุสามขวบกระทั่งเติบใหญ่ เราก็เห็นแววก้าวหน้าของลูกสะใภ้อัปลักษณ์ผู้นี้มาโดยตลอด ฮ่าๆ ในเมื่อเก่งกาจสามารถถึงเพียงนี้ เรายิ่งไม่อาจให้นางยกเลิกการหมั้นหมาย ถ่ายทอดราชโองการ”
ท้องฟ้ายามราตรีเงียบสงัด หมู่ดาราส่งแสงระยิบระยับอยู่บนม่านฟ้า
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
“ฝ่าบาทมีราชโองการ องค์ชายสามและพระคู่หมั้นไม่ได้พบหน้ากันนานหลายปี เพื่อมิให้เกิดความเหินห่างในภายหลัง จึงมีพระราชานุญาตให้ทั้งสองพำนักอยู่ร่วมกัน เพื่อจะได้สร้างความใกล้ชิดสนิทสนม”
“ล้อเล่นอะไรกัน! ใครอยากจะอยู่กับหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้น!” ทันทีที่ได้ยินราชโองการ โม่เหยียนซึ่งพำนักอยู่ตามลำพังในเรือนพักส่วนตัวภายในสำนักศึกษาหลวงพลันเกิดเพลิงโทสะพวยพุ่ง
“ราชโองการมิอาจต่อต้าน” นี่คือคำตอบที่ผู้อัญเชิญราชโองการตอบกลับมา
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ สถานที่อันห่างไกลซึ่งลั่วอวี่พำนักอยู่ ลั่วอวี่เอนร่างพิงประตู สองมือกอดอก มองผู้อัญเชิญราชโองการอีกคนด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไม่ยินดีและไม่ฉุนเฉียว
ผู้มาเยือนเห็นเช่นนี้ก็ส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง หากท่านย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันเป็นเวลาครึ่งปีแล้วนิสัยเข้ากันไม่ได้จริง ฝ่าบาทจะทรงอนุญาตให้ล้มเลิกการหมั้นหมายในครั้งนี้ คุณหนูลั่วอวี่ เงื่อนไขเช่นนี้ท่านพึงพอใจหรือไม่”
“ตกลง” ลั่วอวี่ยิ้มสดใส ตอบอย่างรวบรัดตรงไปตรงมา
อยู่ด้วยกันครึ่งปีแลกกับการยกเลิกการแต่งงาน ต่อสู้โดยไม่เสียเลือดเนื้อนับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก
ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทเพียงแต่ตรัสว่าให้อยู่ด้วยกัน คำว่า ‘อยู่ด้วยกัน’ สามารถอธิบายได้หลายรูปแบบทีเดียว
ครั้นแล้วเมื่อแสงอรุโณทัยสาดส่อง ลำแสงสีทองอาบไล้เรือนพักหลังน้อยของราชนิกุลผู้สูงศักดิ์ภายในสำนักศึกษาหลวงจนเกิดประกายหลากสีสันสดสวยลานตา โม่เหยียนก็ออกมารับหน้าคู่หมั้นแสนอัปลักษณ์ของเขาที่จะมาอาศัยอยู่ร่วมชายคาด้วยใบหน้าขุ่นขึ้ง
ด้านหลังลั่วอวี่มีผู้ติดสอยห้อยตามมาเป็นขบวนลั่วหลี หวังโหว หวงอวี่ และเจ้าเงิน
บนบันไดศิลาดำ โม่เหยียนสองมือกอดอก ข่มกลั้นเพลิงโทสะ มองลั่วอวี่ที่ก้าวเข้าประตูมาอย่างเย็นชาก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกล่าวขึ้น “อย่าคิดว่าเข้ามาอยู่ที่นี่แล้วข้าจะเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเจ้า”
ลั่วอวี่ตวัดตามองโม่เหยียนแวบหนึ่งอย่างไม่แยแสแม้แต่น้อย นางพาพวกลั่วหลีเดินเข้าไปทันที แต่ขณะที่เดินเฉียดโม่เหยียน นางก็ทิ้งถ้อยคำพร้อมกับรอยยิ้มพริ้มพราย “ข้าปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”
“เจ้า”
“ไปๆ ไปกินข้าวกันได้แล้ว” หลิ่วอวี้เฉินกับเจี้ยเซวียนหลีที่พำนักอยู่เรือนด้านข้างเห็นเช่นนี้จึงรีบเข้ามาลากตัวโม่เหยียนออกไป เพียงแต่รอยยิ้มที่มุมปากทำอย่างไรก็ปิดไม่มิด
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่อง เรือนพักส่วนตัวกับหอพักในมุมห่างไกลย่อมไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้ ถึงลั่วอวี่จะไม่พึงพอใจคนที่อยู่ร่วมชายคา แต่นางพอใจเรือนพักหลังนี้มาก
“ลั่วอวี่ เจ้าคิดอย่างไรกันแน่ เหตุใดจึงไม่อยากแต่งงานกับเขา” ระหว่างปัดกวาดที่หลับที่นอน หวังโหวเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
ลั่วอวี่ได้ยินเช่นนี้ก็คลี่ยิ้มออกมาบางๆ บอกอย่างไม่ปิดบัง “ตัดสินคนจากรูปกายภายนอก คนเช่นนี้ข้าจะฝากชีวิตด้วยได้อย่างไร”
หวงอวี่กับหวังโหวได้ยินแล้วก็หันมามองหน้ากันและพอจะเข้าใจนางแล้ว
“แล้วเขาจะต้องนึกเสียใจ” หวงอวี่เอ่ยออกมาเบาๆ
ลั่วอวี่ไหวไหล่ “ข้าหาได้แยแส ข้าไม่นึกเสียใจเป็นพอ ส่วนเขาข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยว”
หวงอวี่และหวังโหวฟังวาจาปัดความรับผิดชอบของลั่วอวี่แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
“พี่ใหญ่ กินข้าวได้แล้ว” เสียงของลั่วหลีดังขึ้นที่หน้าประตู
ไม่ได้นอนด้วยกัน อย่างน้อยต้องกินข้าวด้วยกัน เป็นพระบัญชาของฝ่าบาท
ภายในห้องอาหารใหญ่โตโอ่โถง อาหารเช้าจัดวางรายเรียงจนเต็มโต๊ะไม้ลายดอกท้อ โม่เหยียนพร้อมด้วยหลิ่วอวี้เฉินและเจี้ยเซวียนหลีนั่งที่ฟากหนึ่งของโต๊ะ ส่วนลั่วอวี่ ลั่วหลี หวงอวี่ และหวังโหวก็นั่งอยู่อีกฟากหนึ่ง
“ลุกขึ้น ใครอนุญาตให้เจ้านั่ง” นัยน์ตาคมกริบของโม่เหยียนตวัดขวาง ความเยียบเย็นฉายชัดบนใบหน้า
วันนี้ลั่วอวี่อารมณ์ดี ได้ยินเช่นนี้ก็หาได้ขุ่นเคือง เพียงเลิกคิ้วปรายตามองอีกฝ่ายเท่านั้น
“คิดจะเข้ามาเป็นสะใภ้หลวงก็จงหัดเรียนรู้ขนบธรรมเนียมในรั้วในวัง ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้านั่ง ยังไม่ให้เจ้ากิน เจ้ากล้าดีอย่างไรลงมือกินโดยพลการ!” ความเยียบเย็นดุดันแผ่ซ่านออกมาทั่วร่างของโม่เหยียน
ลั่วอวี่ได้ยินแล้วยกมือขึ้นเท้าคาง มองอีกฝ่ายที่คิดจะแสดงอำนาจใส่นางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ “องค์ชายพระชันษายังไม่มาก เหตุใดจึงขี้หลงขี้ลืมเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ลางดีเลย ภายหน้าคงไม่พ้นเป็นโรคสมองเสื่อมในวัยชราแน่”
“พรืด” ทุกคนในโต๊ะแม้ไม่รู้มาก่อนว่าโรคสมองเสื่อมในวัยชราหมายถึงสิ่งใด แต่เมื่อพิเคราะห์ตามคำ ความหมายนั้นไม่ว่าใครก็ย่อมเข้าใจ
แต่ไรมาลั่วอวี่ก็ไม่ได้อยากเป็นสะใภ้หลวงอยู่แล้ว ไม่ได้อยากแต่งงานกับเขาเลยด้วยซ้ำ
โม่เหยียนเดือดดาลสุดขีด เงื้อมือเตรียมจะฟาดลงบนโต๊ะ
“องค์ชาย ช้าก่อนอย่าเพิ่งฟาด” ลั่วอวี่ปล่อยเจ้าเงินลงบนโต๊ะ แล้วก็รีบคว้าจานอาหารรสเลิศขึ้นมาหลายจาน จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วส่งยิ้มน้อยๆ “เชิญท่านตามสบาย”
จากนั้นนางก็หันไปพูดกับลั่วหลีและคนอื่นๆ “เร็วเข้า ถ้ารอเขาฟาดฝ่ามือลงไปได้อดกินกันพอดี”
หวังโหว หวงอวี่ และลั่วหลีต่างรีบคว้าจานอาหารกันอุตลุด ส่วนเจ้าเงินเล็งเนื้อย่างที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโม่เหยียนมาครู่ใหญ่แล้ว พลันอ้าปากคำเดียวเขมือบทั้งเนื้อทั้งจานไปพร้อมกัน เคี้ยวกร้วมๆ แล้วกลืนลงท้องไปทันที
โม่เหยียนชะงักค้างอยู่ในท่านั้น มือที่เงื้อขึ้นจะฟาดก็ไม่ได้ จะไม่ฟาดก็ไม่ได้ ใบหน้าเขียวคล้ำไปทั้งหน้า
เงียบงัน ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันไปชั่วขณะ
ครั้นแล้วหลิ่วอวี้เฉินและเจี้ยเซวียนหลีก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหว ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่
“ฮ่าๆ น่าสนุกน่าสนุกจริง” ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยเห็นโม่เหยียนมีท่าทางจนแต้มเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้กลับได้เห็นทุกวัน ช่างเจริญหูเจริญตาดีแท้ เจริญหูเจริญตายิ่งนัก!
โม่เหยียนมองลั่วอวี่ที่กำลังเดินเคี้ยวอาหารไปทางหน้าประตู นางปล่อยให้เขามองตามหลัง เพลิงโทสะของเขายิ่งคุโชนกว่าเดิม
ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมีผู้ใดกล้าเชิดหน้าทำเป็นไม่เห็นหัวเขามาก่อน
แต่ไรมาเขาก็เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ผู้ได้รับการเทิดทูนอยู่เบื้องสูง พรสวรรค์พรั่งพร้อม ชาติสกุลดีเลิศ หน้าตาหล่อเหลา สตรีทั่วทั้งใต้หล้าแทบจะแย่งกันมาเสนอตัวให้เขา เวลานี้มีคู่หมั้นรูปโฉมอัปลักษณ์ยังไม่พูดถึง กลับกล้าหักหน้าเขาถึงเพียงนี้ นางผิดอย่างไม่สมควรให้อภัย!
โม่เหยียนลุกพรวดขึ้นก่อนจะตวาดกร้าว “เจ้า”
วาจากรุ่นโทสะเพิ่งจะเริ่มขึ้น จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะอันทรงพลังดังมาจากนอกประตู
“ฮ่าๆ มีเรื่องอะไรถึงได้ดูสนุกสนานกันเช่นนี้ ลองเล่ามาให้คนแก่อารมณ์ดีบ้างสิ”
ครั้นแล้วประตูห้องพลันอ้าออกเอง บุรุษวัยกลางคนคู่หนึ่งเดินเข้ามา
ทันทีที่เห็นว่าผู้มาเยือนคือใคร เจี้ยเซวียนโม่เหยียนรีบข่มกลั้นไฟโกรธที่ลุกโชนอยู่เต็มอกไว้ทันที หมุนตัวที่ยังแข็งทื่อไปทางผู้มาเยือนแล้วเอ่ยทักทาย “อาจารย์ จอมแพทย์โอสถ”
เจี้ยเซวียนหลีและหลิ่วอวี้เฉินซึ่งกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่ด้านข้างรีบเก็บเสียงหัวเราะในฉับพลัน ยืนขึ้นทักทายอย่างอ่อนน้อมว่า “อาจารย์ใหญ่ จอมแพทย์โอสถ”
“ครึกครื้นกันดีนี่” ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมยาวสีเทาอ่อน อายุราวสี่ห้าสิบปี รูปร่างซูบผอมเอ่ยอย่างแย้มยิ้ม จากนั้นจึงหันไปมองลั่วอวี่ที่หยุดฝีเท้าลง แล้วกล่าวขึ้น “เจ้าก็คือคู่หมั้นหมายของเจ้าหนูนี่”
“เราทั้งสองต่างหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่ใช่” ลั่วอวี่ยิ้มตอบ แต่ในใจกลับบังเกิดความฉงนสนเท่ห์ ผู้มาเยือนเข้ามาจนใกล้ตัวถึงเพียงนี้ นางกลับไม่อาจสัมผัสรู้ วิชาของพวกเขาสูงส่งยิ่ง เหนือกว่านางมากมายนัก
“ฮ่าๆ ทารกหญิงผู้นี้น่าสนใจ”
“อาจารย์” โม่เหยียนหน้าตึง
คนผู้นี้คือเหยียนเลี่ยอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาหลวงและเป็นอาจารย์ของโม่เหยียน
เมื่อเห็นท่าทีของลูกศิษย์ เหยียนเลี่ยยิ่งส่งเสียงหัวเราะ
“ลั่วอวี่” บุรุษอีกคนหน้าตาสดใสท่าทางมีสง่าราศี เส้นผมเริ่มมีสีเงินยวงแทรกแซมประปราย ดูจากหน้าตาอายุไม่น่าเกินสี่ห้าสิบ เขาหันไปหาลั่วอวี่แล้วชี้มาที่ตัวเอง “ข้าฝู่เฮ่ออวี๋ เป็นอาจารย์พิเศษของสำนักศึกษาหลวง และเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์โอสถหลวง”
ได้ยินเช่นนี้ หวงอวี่ หวังโหว และลั่วหลีต่างสูดหายใจเข้าอย่างแรง คนทั้งสองถือเป็นบุคคลสำคัญของแคว้นไร้ปีก ถึงกับแนะนำตัวกับลั่วอวี่อย่างเป็นทางการเช่นนี้
ตรงกันข้าม ลั่วอวี่กลับไม่มีท่าทีประหลาดใจเหมือนคนทั้งสามคน ในใจพอจะเข้าใจนัยแอบแฝงที่จอมแพทย์โอสถแนะนำตัวกับนางอย่างเป็นทางการเช่นนี้ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมาให้รู้ เพียงทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วกล่าวว่า “จวินลั่วอวี่ ศิษย์สำนักศึกษาหลวง คารวะจอมแพทย์โอสถและอาจารย์ใหญ่”
เหยียนเลี่ยและฝู่เฮ่ออวี๋เห็นลั่วอวี่ทั้งไม่วางตนต่ำต้อยและไม่วางตนแข็งกระด้าง อากัปกิริยาดูเป็นธรรมชาติก็แอบผงกศีรษะกับตนเองด้วยความพึงพอใจ
หลังจากลั่วอวี่แนะนำตนเองแล้ว อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาหลวงก็กวักมือเรียกโม่เหยียนที่หน้าตาเคียดขึ้งพร้อมกล่าวขึ้น
“ไป เจ้าหนู อาจารย์จะพาเจ้าไปดูอะไรสนุกๆ”
โม่เหยียนได้ยินเช่นนี้ก็รีบปรับสีหน้าให้ดีขึ้น ผงกศีรษะแล้วก้าวเท้าออกไป “ขอรับ”
หากทำให้อาจารย์ของเขาออกปากว่าเป็นเรื่องสนุกได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องธรรมดาทั่วไปเป็นแน่ เช่นนั้นก็วางเรื่องของลั่วอวี่เอาไว้ก่อน
“อาจารย์ใหญ่” เจี้ยเซวียนหลีและหลิ่วอวี้เฉินมองเหยียนเลี่ยตาปริบๆ
มือใหญ่ของเหยียนเลี่ยโบกวูบ “ไม่มีทาง ที่นั่งไม่พอ ข้าพาไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”
เจี้ยเซวียนหลีและหลิ่วอวี้เฉินสีหน้าห่อเหี่ยวลงทันที
ในขณะที่เจี้ยเซวียนหลีและหลิ่วอวี้เฉินกำลังทอดถอนใจ ฝู่เฮ่ออวี๋ก็ยิ้มแล้วกล่าวกับลั่วอวี่
“ลั่วอวี่ ไป วันนี้มีของดี เจ้าก็ตามข้าไปดูเถอะ”
พอสิ้นเสียง โม่เหยียนก็หน้าขรึมลงทันควัน ถลึงตาใส่ลั่วอวี่คล้ายมีควันดำพวยพุ่งจากศีรษะ นางก็ไปด้วยหรือ!
ลั่วอวี่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้ม “ได้ไปกับท่านจอมแพทย์โอสถ นับเป็นเกียรติของลั่วอวี่”
ฝู่เฮ่ออวี๋ได้ยินก็หัวเราะชอบใจ ก้าวออกไปพร้อมกับเหยียนเลี่ย
ที่ด้านหลัง โม่เหยียนถลึงตาใส่ลั่วอวี่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ก็ไม่สะดวกจะบันดาลโทสะ จำต้องเดินปั้นปึ่งตามออกไป
ลั่วอวี่ไม่แยแสสนใจสายตาเป็นอริและความโกรธขึ้งของเขา ทำไม้ทำมือบอกพวกลั่วหลีว่านางจะทิ้งเจ้าเงินไว้ที่นี่ หากนางไม่อยู่ เจ้าเงินจะช่วยปกป้องพวกเขาทั้งสามคนได้
หวังโหวและหวงอวี่มีไหวพริบปฏิภาณ ย่อมเข้าใจความหมายของนางดีจึงพยักหน้ายิ้มรับ
เมื่อคนทั้งสี่ออกจากสำนักศึกษาหลวงก็เดินทางโดยอาศัยรถม้า
เมืองหลวงมีรถราขวักไขว่ ผู้คนเบียดเสียดแน่นขนัด บรรยากาศคึกคักจอแจยิ่ง
หอประมูลฟ้าเรืองเป็นหอประมูลชั้นสูงแห่งสามแว่นแคว้น อิทธิพลแผ่ขยายครอบคลุมแคว้นใหญ่ทั้งสาม ทั้งแคว้นไร้ปีก แคว้นขุมอนันต์ และแคว้นป่าเฟิง
ยามนี้ภายในหอประมูลฟ้าเรืองกำลังครึกครื้นผิดธรรมดา
ห้องมัจฉาโบยบินโอ่อ่าหรูหรา ตามปกติจะไม่เปิดใช้หากของประมูลมิใช่สมบัติชั้นเลิศ เวลานี้โคมแก้วเจียระไนสว่างไสว บนเวทีหยกขาวยังไม่ปรากฏสินค้าและผู้นำประมูล ทว่าที่นั่งด้านล่างหลายร้อยที่ไม่เหลือว่างแล้ว
ลั่วอวี่นั่งอยู่ในที่นั่งของแขกสูงศักดิ์บนชั้นสอง นางชำเลืองตามองจวินโย่วเทียนที่นั่งเยื้องอยู่ฝั่งตรงข้ามวูบหนึ่ง
จวนกั๋วกงม่วงพราวก็มาเช่นกัน
“เสด็จอาก็มาด้วย อาจารย์ วันนี้จะประมูลสิ่งใดหรือ” โม่เหยียนซึ่งนั่งอยู่ข้างเหยียนเลี่ยเบนสายตาไปทางซ้ายมือของเขา เสด็จอาของเขามาเป็นตัวแทนขององค์ราชา วันนี้มีของดีอะไรกันแน่ แม้แต่พระบิดาของเขายังให้ความสนใจ
“เห็นแล้วเจ้าก็รู้เอง” เหยียนเลี่ยไม่ตอบ
“ที่อยู่ตรงข้ามเจ้าคือท่านกั๋วกงคนปัจจุบันแห่งจวนกั๋วกงสัมฤทธิผล” ฝู่เฮ่ออวี๋ที่ถูกจัดให้นั่งถัดจากเหยียนเลี่ยพยักพเยิดเชิดคางไปที่ด้านหน้าของลั่วอวี่ จากนั้นจึงหันไปทางตะวันตกแล้วกล่าวขึ้นว่า “ผู้นั้นคือท่านกั๋วกงคนปัจจุบันแห่งจวนกั๋วกงเมฆาผงาด”
ลั่วอวี่ที่นั่งอยู่ทางขวามือของฝู่เฮ่ออวี๋รับฟังและส่งสายตาแลตาม เห็นท่านกั๋วกงสัมฤทธิผลมีอายุอานามมิใช่น้อย เส้นผมเป็นสีเงินยวงไปทั้งศีรษะ รูปร่างซูบผอม ท่าทางเป็นคนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ
ส่วนท่านกั๋วกงคนปัจจุบันแห่งจวนกั๋วกงเมฆาผงาด อายุอานามดูจะน้อยกว่าเล็กน้อย น่าจะราวห้าหกสิบปี ท่วงทีกิริยาภูมิฐานงามสง่า สูงส่งประดุจเทพเซียน
เห็นทีของประมูลในวันนี้คงมีมูลค่าพอตัว ไม่ต้องพูดถึงการมาของผู้ทรงอำนาจระดับต้นๆ แห่งแคว้นไร้ปีก เพียงแค่ผู้อาวุโสของสกุลใหญ่ทั้งหลายมากันพร้อมหน้า ลั่วอวี่ก็ต้องเริ่มประเมินการประมูลครั้งนี้ใหม่อีกครั้ง
“เป็นของอะไรกันแน่” ลั่วอวี่เผลอหลุดปากออกไปโดยไม่รู้ตัว แต่ยังกล่าวไม่ทันจบก็ชะงักนิ่งไปเสียก่อน นางถามอะไรที่ไม่สมควรออกไปเสียแล้ว
แต่นึกไม่ถึงว่าฝู่เฮ่ออวี๋กลับยิ้ม กล่าวตอบว่า “เห็นว่าเป็นลูกกลอนปราณอสูรของสัตว์อสูรขั้นสิบเอ็ด”
ลั่วอวี่รับฟังด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย นางหันมามองฝู่เฮ่ออวี๋ ฝู่เฮ่ออวี๋กลับยิ้มให้ด้วยความปรานี
“เจ้าเฒ่าตัวแสบ เผยความลับออกไปเสียแล้ว” เหยียนเลี่ยไม่สบอารมณ์
โม่เหยียนซึ่งอยู่ข้างๆ ยิ่งไม่สบอารมณ์เช่นกัน ตอนเขาถาม อาจารย์ยังไม่ยอมบอก แต่จอมแพทย์โอสถกลับแย้มพรายให้ลั่วอวี่รู้อย่างง่ายดาย ช่างน่าหงุดหงิดนัก อดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่ลั่วอวี่อย่างดุดัน
“ในเมื่อจะช้าเร็ว” ฝู่เฮ่ออวี๋เพิ่งเปิดปาก กลางลานประมูลเบื้องล่างยังไม่เห็นตัวผู้นำงาน แต่กลับมีเสียงคนชิงเปิดฉากขึ้นมาเสียก่อน
“ทำให้ทุกท่านรอนานแล้ว”
ลานประมูลพลันเงียบลงทันตา
คนผู้หนึ่งค่อยๆ ก้าวออกมาจากหลังเวทีหยกขาว รูปร่างกะทัดรัด ใบหน้าอิ่มเอิบเปี่ยมราศี สีหน้ายิ้มแย้ม ดูเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรียิ่ง
“ปล่อยให้ทุกท่านรอนานแล้ว วันนี้ผู้น้อยจะเป็นผู้ดำเนินงานประมูลสินค้าชิ้นนี้เอง” กล่าวจบเขาก็ก้าวมายืนอยู่กลางเวทีประมูลที่ว่างเปล่า
“อูสิง เจ้าของหอประมูล” ฝู่เฮ่ออวี๋กดเสียงต่ำ อธิบายให้ลั่วอวี่ฟัง
เจ้าของกิจการถึงกับลงมาดำเนินงานประมูลด้วยตนเอง ลูกกลอนปราณอสูรชั้นเลิศที่ว่าไม่รู้เลิศล้ำถึงขั้นไหน ลั่วอวี่ไร้คำพูดจะกล่าว
เมื่ออูสิงมาหยุดยืนอยู่กลางเวทีประมูล เขาก็โค้งคำนับผู้คนไปทั้งสี่ด้าน
“เชื่อว่าทุกท่านคงจะทราบแล้วว่าวันนี้ของล้ำค่าที่เราจะนำออกประมูลคือสิ่งใด ข้าคงไม่ต้องกล่าวให้มากความ วันนี้ภายในห้องมัจฉาโบยบินของเราจะไม่มีการประมูลสินค้าอื่นๆ เช่นที่เคยปฏิบัติกันมา ผู้น้อยไม่อยากให้ทุกท่านชังน้ำหน้า ดังนั้นเรามาเข้าสู่การประมูลของชิ้นสำคัญกันเลยจะดีกว่า”
กล่าวจบ รอบด้านพลันบังเกิดเสียงหัวเราะเบาๆ เห็นชัดว่าการกระทำอันรู้การควรไม่ควรของอูสิงทำให้ทุกคนพึงพอใจ
อูสิงเห็นเช่นนี้ก็พลันตบมือ สีหน้าจริงจังขึ้น เขากล่าวเสียงสูงว่า “เช่นนั้นการประมูลจะเริ่มต้น ณ บัดนี้ ทุกท่านโปรดจับตาดูให้ดี นี่คือสมบัติล้ำค่าซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์นับร้อยปีของหอประมูลฟ้าเรือง”
พอสิ้นเสียงตื่นเต้นเร้าใจของอูสิง เวทีหยกขาวที่โล่งว่างเบื้องหน้าก็ค่อยๆ แยกออกจากกัน แท่นหินทรงสี่เหลี่ยมทำจากหยกสีดำโผล่ขึ้นมาจากเบื้องล่าง
บนแท่นหินนั้นมีฝาครอบทำจากผลึกแก้วสีดำวางเด่นเป็นสง่าอยู่อันหนึ่ง บดบังวัตถุที่อยู่ภายใน ปิดกั้นกลิ่นอายทุกอย่างเอาไว้
คนรอบด้านเริ่มชะเง้อชะแง้อย่างไม่สนใจสิ่งใดแล้ว ฝาผลึกแก้วดำไม่ใช่ของหายาก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใช้กันอยู่ทั่วไป
เช่นเดียวกับดวงแก้วเจียระไนใสบริสุทธิ์ที่สามารถทดสอบพลังยุทธ์ ผลึกแก้วดำมีคุณสมบัติในการปิดกั้นกลิ่นอาย หากวัตถุที่อยู่ภายในเป็นของธรรมดาทั่วไป การปิดกั้นจะไม่บังเกิดผลอะไร แต่ถ้าสิ่งของที่อยู่ภายในยิ่งเป็นสิ่งล้ำค่าหายาก ยิ่งทรงพลังกล้าแกร่ง ผลึกแก้วดำก็จะยิ่งปิดกั้นเอาไว้อย่างมิดชิดไม่ให้เล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย
เวลานี้ทุกคนในที่นี้ล้วนไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายใดๆ ของสิ่งที่อยู่ในฝาครอบผลึกแก้วสีดำ
เงียบงัน รอบด้านพลันเงียบงันไร้สรรพเสียง
ท่ามกลางความเงียบสงบ อูสิงยื่นมือออกมา โคมไฟแก้วเจียระไนภายในห้องมัจฉาโบยบินถูกหรี่ลงจนมืดสลัว เหลือเพียงโคมไฟไม่กี่ดวงส่องแสงรางเลือนเท่านั้น
“ทุกท่าน เชิญดูให้ดีเถิด”
น้ำเสียงที่ตื่นเต้นจนแหบพร่าดังขึ้น อูสิงยื่นมือออกไปเปิดฝาผลึกแก้วดำขึ้นช้าๆ
ฉับพลันนั้นลั่วอวี่ก็เห็นว่าภายใต้แสงมืดสลัว แสงสีแดงเพลิงอันโชติช่วงเจิดจรัสประหนึ่งแสงอาทิตย์พลันเปล่งประกายเจิดจ้าออกมา กลิ่นอายที่พวยพุ่งมาปะทะใบหน้าแทบจะทำให้คนหายใจไม่ออก
นี่มันนี่มันพลังอะไรกัน ลั่วอวี่ตื่นตะลึง
ทันทีที่ฝาผลึกแก้วดำถูกเปิดออก แสงสีแดงเพลิงเจิดจ้าก็ส่องสว่างพร่างพรายไปทั่วทุกทิศทาง แทบจะทำให้คนไม่อาจเพ่งมองได้
ท่ามกลางประกายแสงสีแดงโชติ วัตถุวาวใสสีแดงเพลิงขนาดกำปั้นทารกแรกเกิดชิ้นหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนแท่นนั้นอย่างสงบ
“สามนักประมูลชั้นยอดแห่งวงการได้ยืนยันรับรองแล้วว่านี่คือลูกกลอนปราณอสูรของสัตว์อสูรขั้นสิบเอ็ด”
ทันทีที่อูสิงพูดจบ บรรดาแขกเหรื่อคนสำคัญภายในลานประมูลเบื้องล่างไม่อาจเก็บงำท่าทีได้อีกต่อไป พลันส่งเสียงอุทานอื้ออึงไปทั่ว บางคนตื่นตาจนถึงขนาดทะลึ่งตัวขึ้นมา
“สวรรค์! ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ด! ขั้นสิบเอ็ด!” เหยียนเลี่ยลูบหูตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ขั้นสิบเอ็ด? บนแผ่นดินนี้มีสัตว์อสูรขั้นสิบเอ็ดด้วยหรือ” โม่เหยียนลุกพรวดขึ้นมายืนด้วยความตื่นเต้นไม่อยากจะเชื่อ
ขั้นสิบเอ็ดเป็นสัตว์อสูรในตำนานมิใช่หรือ
ในประวัติศาสตร์พันปีแห่งแคว้นไร้ปีก สัตว์อสูรขั้นสูงสุดที่เคยปรากฏตัวให้เห็นมีเพียงขั้นสิบเท่านั้น วันนี้ถึงกับ
“สวรรค์! ขั้นสิบเอ็ด ข้านึกภาพไม่ออกเลย!” ฝู่เฮ่ออวี๋สองมือกำหมัดแน่น ตื่นเต้นจนควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว
เทียบกับทุกคนที่ลิงโลดจนเสียอาการ ลั่วอวี่กลับดูค่อนข้างสุขุมเยือกเย็น
เหตุผลง่ายนิดเดียว ของสิ่งนี้นางไม่จำเป็นต้องใช้
ลูกกลอนปราณอสูรของสัตว์อสูรไม่มีประโยชน์ต่อนางสักนิด ด้วยเหตุนี้จิตใจของนางจึงสงบนิ่งกว่าทุกคน
ทว่าลั่วอวี่ยังคงขยี้ตา “ขั้นสิบเอ็ด วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
อูสิงที่อยู่ด้านล่างคล้ายคาดการณ์อยู่แล้วว่าทุกคนจะต้องตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่จึงไม่พิรี้พิไรอีก ครั้นแล้วเขาก็โบกมือขึ้น โคมไฟแก้วถูกจุดสว่างขึ้นอีกครั้ง
ท่ามกลางแสงสว่างพร่างพราย ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดเปล่งประกายวับวาว แม้จะไม่เฉิดฉายล่อตาเหมือนยามอยู่ท่ามกลางความมืดมิด แต่ก็ดูงดงามไปอีกแบบ
แสงโคมสว่างขึ้น ผู้ที่นั่งอยู่ไม่มีผู้ใดมิใช่บุคคลสำคัญแห่งแว่นแคว้น หลังจากเสียกิริยาไปชั่วขณะ แต่ละคนก็รีบควบคุมอารมณ์ของตนทันที
“ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ด ไม่มีราคาประมูลขั้นต่ำ เพียงแต่หอประมูลฟ้าเรืองสาขาใหญ่ขุมอนันต์ได้ประกาศไว้แล้ว หากได้ราคาไม่สูงเท่าที่เราคาดหวัง เราก็มีสิทธิ์ไม่ปล่อยสินค้า และจะส่งต่อไปยังแคว้นอื่นๆ”
อูสิงพยักหน้าน้อยๆ ให้แขกที่มาประมูล จากนั้นจึงโบกมือขึ้น
การประมูลเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ภายในห้องเงียบงันไปชั่วขณะ
“หึๆ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นของที่เลอค่าถึงเพียงนี้ จวนป๋อเจวี๋ยของข้าไม่กล้าอาจเอื้อม เช่นนั้นข้าจะขอเปิดประมูลราคา ถือเป็นการเริ่มต้นให้ทุกท่าน สามร้อยหมื่นเหรียญทอง”
ท่ามกลางความเงียบ ขุนนางป๋อเจวี๋ยผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่เบื้องล่างเปิดฉากอย่างยิ้มแย้ม
ทันใดนั้นความคึกคักฮึกเหิมของทุกคนก็ถูกจุดประกายขึ้นมาแล้ว
“ห้าร้อยหมื่น”
“หกร้อยหมื่น”
“เจ็ดร้อยหมื่น”
ไม่มีผู้ใดเสนอตัวเลขน้อยเลยสักคน ทุกคนที่เปิดปากล้วนบอกราคาเพิ่มขึ้นทีละเป็นหลักร้อยหมื่น
ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดจะอย่างไรก็คุ้มค่า
พึงรู้ว่าสัตว์อสูรขั้นสิบเอ็ดโดยพื้นฐานจะมีอายุหนึ่งพันห้าร้อยปีถึงสองพันปี เมื่อสามารถอยู่ยงคงกระพันได้นานเช่นนี้ ประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับจากลูกกลอนปราณอสูรจึงอาจเรียกได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุด
บางทีกินลงไปแล้วอาจจะกระโดดจากพลังยุทธ์สีส้มกลายเป็นยอดยุทธ์ม่วงชั้นสูงก็เป็นได้
บางทีอาจสามารถฟื้นคืนจากความตาย
บางทีอาจอยู่เป็นอมตะไม่แก่เฒ่า
ไม่มีใครกล้ายืนยันได้ว่าคุณประโยชน์ของมันเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ทุกคนต่างรู้ดี ประโยชน์ของมันไม่น้อยอย่างแน่นอน
“หนึ่งพันห้าร้อยหมื่น”
“หนึ่งพันแปดร้อยหมื่น” จวนกั๋วกงเมฆาผงาดเปิดปาก
“สองพันหนึ่งร้อยหมื่น” จวินโย่วเทียนแห่งจวนกั๋วกงม่วงพราวเพิ่มราคา
“สองพัน”
ตัวเลขเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จวนกั๋วกงใหญ่ทั้งสามเริ่มนำทรัพย์สมบัติในสกุลออกมาเดิมพันช่วงชิงลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดเพียงเม็ดเดียว
ตรงที่นั่งแขกคนสำคัญบนชั้นสอง ลั่วอวี่เกาะขอบราวระเบียงเฝ้าดูเหตุการณ์ ลูกกลอนปราณอสูรเม็ดหนึ่งมีค่าถึงเพียงนี้เชียวหรือ หากนางมีสักหลัว มิร่ำรวยล้นฟ้าเลยหรือ ลั่วอวี่หัวเราะออกมาเบาๆ
“สี่พันหมื่น” ท่ามกลางเสียงหัวเราะแผ่วเบา น้ำเสียงเยียบเย็นเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น เสด็จอาของโม่เหยียนที่นั่งเงียบมาโดยตลอดเปิดปากขึ้นแล้ว
กั๋วกงใหญ่ทั้งสามชะงักไปเล็กน้อย กำลังทรัพย์ของพระราชาพวกเขาย่อมรู้ดี หากแต่ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดช่างเย้ายวนชวนหลงใหลยิ่งนัก
“สี่พันห้าร้อยหมื่น” จวินโย่วเทียนขมวดคิ้วแล้วเปิดปากขึ้นอีกครา ทองสี่พันกว่าหมื่น หากให้ควักออกมาในคราเดียว ต่อให้เป็นจวนกั๋วกงม่วงพราวก็หาใช่เรื่องเล็กน้อย
“ห้าพันหมื่น” เสด็จอาของโม่เหยียนเหลือบมองจวินโย่วเทียนแวบหนึ่ง
ประมุขแห่งจวนกั๋วกงทั้งสามสบตากันครั้งหนึ่ง กำลังทรัพย์ของพวกเขา
“หกพันหมื่น” จังหวะที่จวนกั๋วกงทั้งสามนิ่งงัน ฝู่เฮ่ออวี๋ซึ่งไร้ความเคลื่อนไหวมาโดยตลอดหันมาเปิดปากขึ้นบ้างแล้ว สำนักแพทย์โอสถหลวงมีอิทธิพลแผ่ขยายครอบคลุมสามแว่นแคว้น เปรียบเสมือนขุมเงินขุมทองดีๆ นี่เอง ลูกกลอนสะกดสำนึกเม็ดหนึ่งยังมีราคาสี่สิบหมื่นแล้ว เห็นชัดว่าเงินเท่านี้เป็นเรื่องขี้ผง
ลั่วอวี่หันกลับไปมองฝู่เฮ่ออวี๋ที่กำลังตื่นเต้นจนตาแดงก่ำ จากนั้นก็กวาดตามองเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่นั่งนิ่วหน้าอยู่เบื้องล่างแวบหนึ่ง หางตาพลันกระตุกเล็กน้อย
“เจ็ดพันหมื่น” หลังจากฝู่เฮ่ออวี๋เปิดปาก เหยียนเลี่ยซึ่งนั่งชมความสนุกมาตลอดก็ไม่ยอมน้อยหน้า เสนอราคาพลางหัวเราะหึๆ
สำนักศึกษาหลวงก็ร่ำรวยล้นฟ้าเช่นกัน
ฝู่เฮ่ออวี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย อ้าปากหมายบอกราคาเพิ่ม ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้จึงอาศัยวิชาลมปราณถ่ายทอดเสียง “ท่านหัวหน้าสำนักโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบ อาหารแม้นเลิศรส ที่สำคัญคือต้องกลืนให้ลงด้วย”
ฝู่เฮ่ออวี๋ชะงักกึก หันขวับกลับไปมองลั่วอวี่ กลับยังเห็นเด็กสาวยังคงชะเง้อชมความสนุกสนานอยู่ตรงราวระเบียง มิได้หันมาแต่อย่างใด
ฝู่เฮ่ออวี๋ย่อมเป็นผู้มีความคิดคนหนึ่ง เพียงแต่ถูกลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดยั่วยวนจนเผลอไผลลืมตัว ครั้นได้ลั่วอวี่มาเตือนสติจึงสงบใจลงได้ทันที
‘คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก’ คำพังเพยนี้มีหรือเขาจะไม่เข้าใจ ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือดินแดนแห่งแคว้นไร้ปีก
ฝู่เฮ่ออวี๋สุขุมเยือกเย็นลงแล้ว
“แปดพันหมื่น”
ขณะที่ฝู่เฮ่ออวี๋เรียกสติกลับมาได้ ฝ่ายเชื้อพระวงศ์ก็เปิดปากขึ้นอีกครั้ง แปดพันหมื่นเหรียญทอง นี่ย่อมเทียบเท่ากับทรัพย์สมบัติกึ่งหนึ่งในท้องพระคลัง ขณะเดียวกันแววตาอันเย็นเยียบแฝงด้วยจิตสังหารแรงกล้าของเสด็จอาของโม่เหยียนก็พลันตวัดวาบไปทางเหยียนเลี่ย
แต่เหยียนเลี่ยเป็นผู้ใด สิ่งที่สำนักศึกษาหลวงไม่ขาดแคลนมากที่สุดคือยอดฝีมือ ขณะนั้นบรรยากาศยิ่งคุกรุ่น เขาทำท่าจะเปิดปากอีกครา
“ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ กลับเปิดประมูลสมบัติของนายข้าโดยพลการ ช่างบังอาจสิ้นดี!” ทันใดนั้น น้ำเสียงโหดเหี้ยมเยียบเย็นผิดธรรมดาเสียงหนึ่งดังทะลุประตูห้องโถงที่ปิดอยู่เข้ามา
โครม! บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ประตูศิลาดำหนักกว่าพันชั่งบานนั้นพลันถูกผู้มาเยือนถีบจนแหลกกระจุย เศษหินปลิวว่อน ประตูใหญ่ที่เดิมปิดอยู่อย่างแน่นหนาพังทลายจนไม่เหลือสภาพ
ผู้คนภายในห้องโถงถูกเหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นอย่างกะทันหันดึงดูดความสนใจ พากันหันขวับไปทางประตูใหญ่
เพียงเห็นตรงช่องประตูใหญ่ที่เปิดโร่มีเงาร่างเยือกเย็นแปดร่างเดินตรงเข้ามา บุรุษที่เดินนำหน้าอยู่ในชุดสีเขียวคราม ก้าวเข้ามาอย่างองอาจผึ่งผาย ใบหน้าอำมหิตแข็งกร้าวประหนึ่งสลักเสลาจากก้อนน้ำแข็งหมื่นปี กลิ่นอายเย็นยะเยียบแผ่ออกมาทั่วร่างดุจกระบี่ที่ชักออกจากฝัก เผยความคมกริบออกมาให้เห็น รังสีเข่นฆ่าคุกคามบีบคั้น
เจ็ดคนที่เดินอยู่ด้านหลังรูปร่างหน้าตาพื้นๆ ธรรมดา ทว่าเปรียบประดุจกระบี่ซ่อนคม เก็บงำความสามารถไม่เผยออกมา พวกเขาแต่งกายคล้ายผู้ติดตามทั่วไป แต่กลับมีพลังคุกคามแผ่ออกมาอย่างรุนแรง ทำให้แขกเหรื่อที่นั่งอยู่ตรงประตูต้านรับไม่ไหว พากันผงะถอยไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว
บุคคลเพียงแปดคนกลับทำให้คนรู้สึกถึงพลังอำนาจที่กล้าแกร่งราวกับสามารถต่อกรกับพันทหารหมื่นอาชาได้
เงียบกริบ รอบด้านมีแต่ความเงียบ
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องโถง บุรุษชุดเขียวครามผู้เครียดขึงเย็นชากวาดสายตามองผู้คนรอบด้านอย่างเยียบเย็น จากนั้นสายตาก็จับนิ่งอยู่ที่ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดบนแท่นประมูล ประกายเย็นยะเยียบวาบขึ้นในดวงตา
“หอประมูลฟ้าเรือง ประเสริฐยิ่งนัก” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมเจือด้วยจิตสังหารและความกรุ่นโกรธราวเกลียวคลื่นซัดโถม
ทันทีที่สิ้นเสียง เหล่าผู้ทรงอิทธิพลแห่งแคว้นไร้ปีกที่ตกอยู่ในอาการตะลึงงันทั้งห้องโถงพลันได้สติกลับคืนมา ต่างมุ่นหัวคิ้ว ดวงตาสาดประกายวิบวับ กวาดตามองอูสิงและบุรุษที่น่าครั่นคร้ามผิดธรรมดาผู้นั้นสลับกันไปมา นี่มันเรื่องอะไรกัน
ทว่ากลับไม่มีผู้ใดเปิดปากช่วยกล่าววาจาให้อูสิง พลังอำนาจของบุรุษทั้งแปดช่างลึกล้ำยิ่ง
“วาจานี้กล่าวได้น่าขันนัก สมบัติของนายเจ้า ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดมีตราประทับของเจ้าอยู่หรือไร” หลังจากอูสิงได้สติคืนมา สีหน้าพลันแข็งกร้าวขึ้น “คิดจะใช้กำลังช่วงชิงลูกกลอนปราณอสูรชั้นเลิศ เจ้าช่างไม่ดูเสียบ้างว่าที่นี่คือที่ใด ในแคว้นไร้ปีกยังบังอาจ”
“แคว้นไร้ปีกเล็กๆ แคว้นหนึ่ง พวกเราหาได้เห็นอยู่ในสายตาไม่ หอประมูลฟ้าเรือง นายข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้าจงใช้สองมือประคองลูกกลอนปราณอสูรคืนมา หาไม่ ในเมื่อพวกเราสามารถกำราบสัตว์อสูรขั้นสิบเอ็ดได้ จะทำลายหอประมูลฟ้าเรืองที่มีอิทธิพลแผ่ไปทั่วสามแว่นแคว้นของเจ้า ย่อมง่ายดายไม่ต่างกับบี้มดตัวหนึ่ง”
อูสิงยังกล่าวไม่ทันจบ คนผู้หนึ่งซึ่งอยู่นอกประตูพลันเอ่ยขัดขึ้นมาอย่างเย็นชา
ครั้นสิ้นเสียงเฉียบขาดหนักแน่น นอกห้องโถงปรากฏรัศมีสีทองสว่างไสว บุคคลสองคนก้าวเข้ามา คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง
คนทั้งแปดในห้องโถงที่เข้ามาก่อนรีบเบี่ยงตัวเปิดทางให้ ทั้งก้มศีรษะโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
ลั่วอวี่เห็นเช่นนี้ก็ชะเง้อคอยาวมองผู้ที่ก้าวผ่านประตูมา
ตะวันสาดแสงเรืองรองแยงนัยน์ตาของลั่วอวี่จนพร่าเลือน เพียงเห็นคนผู้นั้นค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาท่ามกลางลำแสงสีทอง แม้จะเคยพบเห็นเรื่องราวมามาก แต่ลั่วอวี่ยังคงตะลึงงันไปเล็กน้อย
คนผู้นั้นมีเรือนผมยาวสีเงินปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง ด้านหน้ามีผมทิ้งตัวลงมาปรกหน้าผาก และปิดพรางดวงตาทั้งสองข้างให้เห็นเพียงรำไร ดวงตาที่ถูกเส้นผมสีเงินบดบังคล้ายซ่อนแฝงความดำมืดอันใสบริสุทธิ์ที่สุดในปฐพี เวิ้งว้างดุจท้องนภาดาราพราย ลึกล้ำราวห้วงจักรวาลที่ไร้ขอบเขต ทำให้คนเผลอจ้องมองอย่างไม่อาจละสายตา คล้ายถูกดูดดึงให้จมถลำเข้าไปทั้งตัว เพียงดวงตาคู่นี้ก็เหมือนช่วงชิงแสงสว่างทั้งหมดในโลกไปจนหมดสิ้น
คนผู้นี้ซุกมือทั้งสองไว้ในแขนเสื้อ เขาสวมชุดคลุมยาวสีขาวนวลขอบดำ ปักลวดลายด้วยดิ้นนาก แลดูสุภาพสง่าภูมิฐาน เขาก้าวเข้ามาช้าๆ แววตาไหววูบ แม้ไม่ได้แสดงท่าทางใดๆ ออกมา แต่กลับทำให้คนยอมสยบอยู่ใต้อำนาจโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่ได้งามเฉิดฉายราวเปลวเพลิงร้อนแรงเช่นเจี้ยเซวียนโม่เหยียน และไม่ได้สุภาพอ่อนโยนเช่นหลิ่วอวี้เฉิน หรือแข็งแกร่งเด็ดขาดดั่งเจี้ยเซวียนหลี ในความละมุนละไมแฝงไว้ด้วยความเฉียบขาด ในความสง่างามปรากฏแววสุภาพอ่อนโยน เป็นความสูงส่งงดงามประหนึ่งบัวหิมะบนภูผาสวรรค์ ผนวกกับความแข็งแกร่งของปทุมอัคคีแห่งนรกโลกันตร์
ทันทีที่คนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น เหล่าผู้กล้าทั้งหลายพลันถูกบดบังรัศมี
เสื้อคลุมยาวกรอมพื้น บุรุษเรือนผมสีเงินหยุดยืนอยู่ในห้องมัจฉาโบยบิน นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นกวาดมองทุกคนที่นั่งอยู่อย่างเมินเฉย แววตาหาได้แฝงไว้ซึ่งความเหี้ยมโหดหรือพลังคุกคาม แต่กลับทำให้เหล่าผู้เรืองอำนาจสูงศักดิ์แห่งแคว้นไร้ปีกพากันหลบสายตาโดยสัญชาตญาณ
เป็นการยอมสยบโดยไม่รู้ตัวอย่างหนึ่ง
เป็นความหวาดกลัวที่มาจากส่วนลึกของจิตใจโดยตรง
ลั่วอวี่เกาะอยู่ตรงราวระเบียงเฝ้ามองทุกสิ่งที่เกิดขึ้น หางตาเลิกขึ้นน้อยๆ บังเอิญไปสบประสานสายตาเข้ากับบุรุษผมเงินที่มองมาพอดี
ดำสนิทไร้ที่สิ้นสุด
ลั่วอวี่ตะลึงงันไปชั่วขณะ พลันรู้สึกว่านางเข้าใจผิดไปแล้ว ที่ว่าในความละมุนละไมแฝงไว้ด้วยความเฉียบขาด ในความสง่างามปรากฏแววสุภาพอ่อนโยนอะไรนั่น ผิดแล้ว ผิดแล้ว ในส่วนลึกของดวงตาคนผู้นี้บ่งบอกชัดเจนถึงความถืออำนาจบาตรใหญ่อย่างที่สุด เหี้ยมโหดอย่างที่สุด ความสุภาพอ่อนโยนเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก เขามาจากความมืดมิด ใช่แล้ว นรกอันมืดมิด
ภายใต้ดวงตาดำสนิทลึกล้ำคู่นั้นซ่อนแฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณที่โหดเหี้ยมอำมหิตอย่างที่สุด
สายตาที่กวาดผ่านพวกเขา หากจะบอกว่าเขากำลังมองผู้คน ไม่สู้บอกว่าเขากำลังมองมดแมลงฝูงหนึ่งอยู่ยังจะถูกต้องกว่า
ลั่วอวี่เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ช่างเป็นดวงตาที่ทำให้คนรู้สึกหวาดผวายิ่งนัก
สายตาของบุรุษผมเงินกวาดผ่านร่างของนางไป แต่ลั่วอวี่ยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ สายตาที่กวาดผ่านไปแล้วพลันตวัดย้อนกลับมาจ้องมองนางอีกครั้ง
ลั่วอวี่ไม่รู้เหตุใดบุรุษผมเงินจึงหันกลับมามองนาง แต่นางก็มิได้หลบเลี่ยง มองสบสายตาของเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน
บุรุษผมเงินจ้องมองลั่วอวี่ ประกายเจิดจ้าผุดขึ้นมาในดวงตาวาบหนึ่ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเบนสายตาไปจับนิ่งอยู่ที่ลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดเม็ดนั้น
บุรุษเรือนผมสีแดงคนหนึ่งเดินตามหลังบุรุษผมเงินเข้ามา ดูมีทีท่าค่อนข้างอ่อนโยน เมื่อเห็นสายตาของบุรุษผมเงินจับจ้องไปที่แท่นประมูลก็ตวาดเสียงหนักออกมาทันที
“จะส่งคืนแต่โดยดี หรือตาย”
“ถือสิทธิ์อะไรพวกเจ้าถือสิทธิ์อะไรมาอ้างว่าลูกกลอนปราณอสูรเป็นของพวกเจ้า แบบนี้มันปล้นกัน” เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษชุดเขียวครามผู้เปี่ยมพลังอำนาจคุกคามผู้คน อูสิงแทบจะกล่าววาจาได้ไม่ครบความ หากแต่ยังมีปฏิภาณรู้จักรีบสงบคำ
ทันใดนั้นยอดฝีมือของหอประมูลก็เฮโลกันออกมาจากหลังเวที
กล้าเปิดหอประมูล ย่อมต้องมียอดฝีมือคอยดูแลคุ้มกัน
บุรุษผมเงินมองลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดแล้วเหลือบมองอูสิงกับพวกปราดหนึ่ง ประกายโทสะและความเหี้ยมเกรียมฉายวาบขึ้นในดวงตา เขายกปลายคางขึ้นเล็กน้อย “ไม่ละเว้นแม้แต่คนเดียว”
“ขอรับ”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังสะท้อนทั่วห้องมัจฉาโบยบิน บรรดาผู้เรืองอำนาจแห่งแคว้นไร้ปีกที่เพิ่งถอนสติจากพลังอำนาจที่แผ่กระจายออกมาจากร่างของบุรุษผมเงินต่างมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปในทันที
ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว? อะไรกัน คิดจะสังหารคนของหอประมูลฟ้าเรืองต่อหน้าต่อตาพวกเขา หรือคิดจะสังหารกระทั่งพวกเขาที่นั่งอยู่ในที่นี้ด้วย
ถึงกับกล้ากล่าววาจาสามหาวเช่นนี้ในขณะที่บุคคลผู้มากอิทธิพลทั่วทั้งแคว้นไร้ปีกมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!
ทันใดนั้นท่านกั๋วกงสัมฤทธิผลก็รู้สึกเสียหน้าจนบังเกิดโทสะ ฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะข้างกายทีหนึ่ง ตะโกนเสียงเกรี้ยวกราด “บังอาจยิ่งนัก ที่นี่คือเมืองหลวงแห่งแคว้นไร้ปีก ในสถานที่สำคัญเช่นนี้ยังกล้าช่วงชิงสมบัติล้ำค่า เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ต่อหน้าพวกเรา เหิมเกริมเกิน”
วาจากราดเกรี้ยวยังกล่าวไม่ทันจบ บุรุษชุดเขียวครามที่กำลังเดินเข้าไปหาลูกกลอนปราณอสูรพลันหันขวับกลับมามองกั๋วกงสัมฤทธิผลคราหนึ่ง ประกายสีครามผุดวาบขึ้นในดวงตา
แม้กั๋วกงสัมฤทธิผลจะสูงวัย แต่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์และสัมผัสรับรู้ยังเฉียบไว พอเห็นแสงสีครามผุดขึ้นในดวงตาของบุรุษชุดเขียวคราม ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนสี พุ่งกระโจนไปข้างหน้าโดยไม่ต้องคิด
ตูม! ท่านกั๋วกงสัมฤทธิผลเพิ่งจะพุ่งถลาไปข้างหน้า พริบตาถัดมาเก้าอี้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังพลันถูกพลังยุทธ์สีครามคมกริบฟาดทำลายแตกเป็นเสี่ยงๆ
เศษชิ้นส่วนที่แตกกระจายออกกระเด็นไปทิ่มแทงคนของจวนกั๋วกงสัมฤทธิผลซึ่งหนีไม่ทันจนโลหิตอาบร่าง
“ยอดยุทธ์คราม เป็นยอดยุทธ์คราม”
การลงมือครั้งนี้ทำให้จวินโย่วเทียน เหยียนเลี่ย และคนอื่นๆ ประเมินกำลังความสามารถของบุรุษชุดเขียวครามออกทันที
ทันใดนั้นฝูงชนที่เมื่อครู่ยังมีอารมณ์กรุ่นโกรธพลันหน้าถอดสี
“วันนี้พวกเราเพียงมาทวงของคืน ยังไม่อยากลงมือกับแคว้นไร้ปีก ผู้ที่คิดจะสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว ทางที่ดีจงประเมินกำลังของตนให้ดีเสียก่อน ไม่เช่นนั้นอย่าโทษว่าเราเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก เอาเลือดล้างแผ่นดินแคว้นไร้ปีก”
บุรุษชุดเขียวครามนัยน์ตาถมึงทึง แสงสีครามอมม่วงวูบผ่านดวงตา
“ยอดยุทธ์ครามชั้นยอด ยอดยุทธ์ครามชั้นยอด” บนที่นั่งอาคันตุกะสำคัญ เหยียนเลี่ยพลันกำหมัดแน่น สีหน้าตะลึงพรึงเพริด
ในดวงตามีแสงพลังยุทธ์สีม่วงผุดขึ้น หมายความว่าใกล้จะก้าวพ้นพลังยุทธ์สีครามเข้าสู่ระดับราชันยอดยุทธ์ม่วงแล้ว เป็นยอดฝีมือแห่งแผ่นดิน นีนี่นี่ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะต่อกรได้เลย
ผู้คนของแคว้นไร้ปีกที่เมื่อครู่ยังมีความคิดจะแสดงฝีมืออยู่บ้าง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปอีกครา ต่างพากันเงียบกริบไปหมด
ยอดยุทธ์ครามชั้นยอด ในแคว้นไร้ปีกไม่มีผู้ใดสามารถต่อกร
ความประหลาดใจผุดขึ้นในดวงตาของลั่วอวี่ นางยังคงชะโงกอยู่บนราวระเบียงดังเดิม สีหน้าไม่เปลี่ยน หากแต่สมองกลับหมุนอย่างเร็วรี่
“ช่วยด้วย ท่านอาจารย์ใหญ่ องค์ชาย ท่านกงเจวี๋ย ทั้งหลาย ช่วยด้วยขอรับ” สีหน้าของอูสิงก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ยามนี้ไม่อาจคำนึงถึงเรื่องอื่นใดได้อีกแล้ว เขาลนลานละล่ำละลักพลางค้อมตัวลงโค้งคำนับบุรุษผมเงิน “พวกท่านนำลูกกลอนปราณอสูรไปได้เลย เราไม่ประมูลแล้ว ข้ายินดีมอบให้ พวกท่านโปรดละเว้น”
“สายไปแล้ว” บุรุษชุดเขียวครามตวาดเสียงเย็น สีหน้าเฉียบขาด พลังยุทธ์พวยพุ่งอยู่รอบกาย พลังอำนาจคุกคามผู้คน เขาสืบเท้าเข้าไปหาคนของหอประมูลฟ้าเรืองเพียงลำพัง
ส่วนกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังพากันห้อมล้อมอยู่รอบกายบุรุษผมเงินโดยไม่ยื่นมือเข้าแทรก คล้ายว่าคนจำนวนเท่านี้ บุรุษชุดเขียวครามเพียงคนเดียวก็รับมือได้สบาย
“ในแคว้นไร้ปีก แคว้นขุมอนันต์ และแคว้นป่าเฟิงยังไม่เคยมีผู้ใดสามารถปลิดชีพสัตว์อสูรขั้นสิบเอ็ด อีกทั้งบนแผ่นดินนี้ก็ไม่เคยปรากฏสัตว์อสูรขั้นนี้มาก่อน” ท่ามกลางรังสีเข่นฆ่าอันบีบคั้นกดข่ม บุรุษผมแดงซึ่งติดตามอยู่ข้างกายบุรุษผมเงินก็เปิดปากเอ่ยขึ้น “หอประมูลฟ้าเรืองอาศัยจังหวะที่พวกเราเบนความสนใจไปที่อื่น ขโมยของเราไป นับว่าใจกล้านัก ครั้งนี้เจ้าทำให้กิจสำคัญของนายเราต้องล่าช้าเสียการ เราไม่ทำลายหอประมูลฟ้าเรืองในสามแคว้นของเจ้าให้สิ้นซาก นับว่านายเราเมตตานักแล้ว” น้ำเสียงหาได้เย็นชา แต่ความหมายในถ้อยคำกลับเยียบเย็นจนพวกอูสิงหนาวสะท้านเข้าไปถึงกระดูก
พอพูดจบ เหล่าผู้เรืองอำนาจแห่งแคว้นไร้ปีกพลันเบื้อใบ้ไปทันที
ในประวัติศาสตร์ของแคว้นใหญ่ทั้งสามแคว้น ยังไม่เคยปรากฏสัตว์อสูรเหนือกว่าขั้นสิบมาก่อน หรือหอประมูลฟ้าเรืองจะขโมยมาจริ
ลั่วอวี่ฟังแล้วแววตากระเพื่อมไหว ถ้อยคำของบุรุษผมแดงได้อธิบายทุกสิ่งแล้ว มองจากรูปการณ์ พวกเขาใช่ว่ามาบุกช่วงชิงโดยมิชอบ
ในเวลาอันสั้น ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก
แคว้นไร้ปีกมียอดยุทธ์ครามเพียงสี่คนก็นับว่าสุดยอดแล้ว แต่ในที่นี้ยอดยุทธ์ครามวัยยี่สิบกว่าปีกลับเป็นเพียงผู้ติดตามของบุรุษผมเงินเท่านั้น แสดงว่าบุรุษผมเงินผู้นี้
ทุกคนในที่นั้นต่างไม่อาจสัมผัสได้ว่าบุรุษผมเงินร้ายกาจเพียงใด ทว่าผู้ติดตามยังเก่งกาจเพียงนี้ มีพลังอำนาจปานนี้ก็บ่งบอกอะไรได้มากมายแล้ว
บุรุษผมเงินย่อมต้องเป็นยอดฝีมือผู้เลิศล้ำที่มีพลังยุทธ์สูงกว่ายอดยุทธ์คราม และผู้ที่เหนือกว่ายอดยุทธ์คราม ในแคว้นไร้ปีกยังไม่เคยปรากฏมาก่อน
“ช่วยด้วย”
โครม! ท่ามกลางเสียงร้องอันตื่นตระหนกของอูสิง จู่ๆ เพดานห้องมัจฉาโบยบินก็เกิดเสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่น พริบตานั้นฝ้าเพดานก็แตกทะลุออกเป็นช่องขนาดใหญ่ คนผู้หนึ่งพุ่งตัวเข้ามาประดุจสายฟ้าแลบ หมายช่วงชิงลูกกลอนปราณมังกรเกรี้ยว
ด้านหลังคนผู้นั้นมีคนกลุ่มใหญ่ตามมาติดๆ
“แย่แล้ว!” ลั่วอวี่เบิกตาโพลง แอบอุทานออกมาคำหนึ่ง
บุรุษชุดเขียวครามที่อยู่ห่างจากลูกกลอนปราณอสูรเพียงหนึ่งก้าวเห็นเช่นนี้ ประกายเย็นเยียบก็พลันพาดผ่านดวงตา นิ้วทั้งห้าพุ่งแหวกอากาศ ตะปบเข้าใส่ผู้บุกรุก ขณะเดียวกันก็ฟาดฝ่ามือลงกับพื้น เวทีหยกขาวแตกกระจุย ลูกกลอนปราณมังกรเกรี้ยวสีแดงเพลิงลอยลิ่วไปทางกลุ่มบุรุษผมเงิน
ตูม! ตูม!
พลังยุทธ์แหวกอากาศ ผู้บุกรุกถูกจู่โจมจากรอบด้าน
พริบตาเดียวพลังยุทธ์ก็พุ่งกระจายไปทั่วห้องโถง สองฝ่ายประมือกันราวสายฟ้าแลบ
“สวรรค์ ยอดยุทธ์ครามอีกแล้ว ตกลงมียอดยุทธ์ครามมากน้อยเพียงใดกันแน่” เหยียนเลี่ยเบิกตาโพลง ลูกตาแทบจะถลนออกมาอยู่รอมร่อ
ยอดยุทธ์ครามฝ่ายที่ลอบเข้ามาโจมตีกะทันหันทั้งยังสวมหน้ากากอำพรางไว้ครึ่งหน้า ที่แท้ล้วนเป็นยอดยุทธ์ครามทั้งสิ้น
ตั้งแต่เมื่อใดกัน ยอดยุทธ์ครามกลายเป็นกลุ่มคนดาษดื่นที่พบเห็นได้ง่ายดายยามเดินอยู่บนท้องถนนหรือยามไปซื้อกับข้าวกับปลาตั้งแต่เมื่อไร แล้วแล้วจะให้ผู้ที่ใช้เวลาฝึกปรือมาทั้งชีวิตแต่เพิ่งจะก้าวมาถึงขั้นยอดยุทธ์ครามอย่างพวกเขารู้สึกอย่างไร ทนรับได้อย่างไรไหว!
ส่วนคนอื่นๆ ต่างตะลึงงันกันไปหมด
ปัง
ตูม
โครม
ขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความตะลึงงัน ห้องมัจฉาโบยบินก็ถูกทำลายจนวอดวายไปทั้งห้อง ของประดับตกแต่งและเวทีศิลาล้วนพังทลายลงไปกองกับพื้น ห้องทั้งห้องโยกคลอนคล้ายจะพังครืน
ยอดยุทธ์ครามคนหนึ่งจะลงมือทำลายอาคารหลังหนึ่งหาใช่เรื่องยากเย็น ทว่าเวลานี้ยอดยุทธ์ครามกลุ่มหนึ่งกำลังทะเลาะวิวาทกัน@@@
ชั่วประเดี๋ยวเดียวเหล่าผู้เรืองอำนาจแห่งแคว้นไร้ปีกพลันได้สติ รีบตะลีตะลานวิ่งหนีออกมาข้างนอก
ส่วนพวกอูสิงที่เห็นชัดว่ารอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด เพราะอีกฝ่ายไม่มีเวลาจะมาสนใจพวกเขาต่างพากันหนีเอาตัวรอด เกรงว่าหากล่าช้าจะไม่มีชีวิตได้เห็นแสงอาทิตย์ในวันพรุ่งอีก
เหยียนเลี่ยคว้าตัวโม่เหยียนที่สองตายังเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง พาลากไปทางประตูทันที
“เร็ว รีบหนี” ฝู่เฮ่ออวี๋ตะโกนบอกลั่วอวี่เสียงเครียด
ลั่วอวี่นั้นฉลาดเป็นกรด ในเวลานี้นางยังไม่อาจต่อกรกับยอดยุทธ์คราม อยากชมเรื่องสนุกก็ต้องรอให้มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้เสียก่อน ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองฝ่ายดูแล้วไม่น่าตอแยด้วยสักเท่าไร
ขณะนั้นนางกวาดตามองลูกกลอนปราณอสูรขั้นสิบเอ็ดที่ถูกโยนไปมาไม่หยุด แต่กลับไม่มีผู้ใดช่วงชิงไปได้สักที จากนั้นก็ตวัดตามองบุรุษผมเงินซึ่งยังคงสอดมือไว้ในแขนเสื้อมองความวุ่นวายโกลาหลที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ได้สอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ช่างข่มกลั้นอารมณ์เก่งยิ่งนัก
สายตาของลั่วอวี่เพิ่งกวาดผ่าน บุรุษผมเงินพลันหันมาประสานสายตากับนางเข้าพอดี
ลั่วอวี่ชะงักอึ้ง มียอดฝีมือมากมายกำลังประมือกันเพื่อช่วงชิงของของเขา แต่เขากลับไม่เหลียวมองสักนิด เหตุใดจึงสังเกตเห็นว่านางกำลังมองเขาได้
นางครุ่นคิดพลางเบือนหน้าหมายจะหนีออกสู่ภายนอก เวลานี้ห้องมัจฉาโบยบินสั่นไหว ใกล้จะพังถล่มลงมาอยู่แล้ว
ลั่วอวี่เพิ่งจะก้าวออกไปได้ก้าวเดียว ยังไม่ทันหันหน้ากลับมาดี หางตาของนางพลันเหลือบไปเห็นลูกกลอนปราณมังกรเกรี้ยวสีแดงลอยตัวเป็นเส้นโค้งอยู่กลางเวหา กำลังจะร่วงลงมาที่นางแล้ว
ลั่วอวี่เบิกตากว้างขึ้นมาทันที
ลูกกลอนปราณอสูรร่วงลงมาแล้ว ทั้งสองฝ่ายที่กำลังยื้อแย่งกันอยู่เบื้องหลังพลันพุ่งกระโจนเข้าใส่ลั่วอวี่ในฉับพลัน
หากถูกพลังยุทธ์ของยอดยุทธ์ครามเข้า ต่อให้มีลั่วอวี่ร้อยคนก็ไม่พ้นต้องตายเรียบ ลั่วอวี่ตระหนักว่าสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤตจึงรีบพลิ้วกายล่าถอยไปด้านหลังโดยเร็ว
ทว่าต่อให้นางไวแค่ไหนย่อมเร็วไม่เท่ายอดยุทธ์ครามแน่ พลังยุทธ์สีครามในมือของคนสวมหน้ากากที่พุ่งเข้ามาก่อนใครเพื่อนพลันแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ปราณสีคราม ทางหนึ่งทะยานร่างขึ้นไปคว้าลูกกลอนปราณอสูร อีกทางก็ฟาดกระบี่ลงมาที่กลางแสกหน้าของลั่วอวี่
ลั่วอวี่เห็นว่าหลบไม่พ้นแน่ ได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆ สองมือยกขึ้นขวาง เตรียมรับมือตรงๆ
ทว่ามือทั้งสองของนางเพิ่งขยับ เงาร่างของบุรุษผมเงินซึ่งเอาแต่ยืนนิ่งไม่ไหวติงมาโดยตลอดพลันพุ่งปราดมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้านาง เขายื่นมือมาคว้าแขนนางแล้วกระชากไปข้างหลัง ขณะเดียวกันแขนเสื้อข้างขวาก็กวาดสะบัดเบาๆ ใส่คนสวมหน้ากากซึ่งกำลังจู่โจมเข้ามาทีหนึ่ง
เพียงได้ยินเสียงฉาดหนักๆ ดังขึ้นครั้งหนึ่ง บุรุษสวมหน้ากากพลันกระอักโลหิตออกมา ร่างล้มกลิ้งไปทางด้านหลัง
ยอดยุทธ์ครามยังไม่อาจต้านรับพลังสะบัดเพียงครั้งเดียวของเขาได้
ลั่วอวี่ตกตะลึง เงยหน้ามองแผ่นหลังของบุรุษผมเงินที่อยู่เบื้องหน้า เขาช่วยนาง!
“เศษสวะ”
ขณะที่นางจมอยู่ในความประหลาดใจ น้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายของบุรุษผมเงินก็ดังขึ้น จากนั้นเขาก็คว้าแขนลั่วอวี่เหวี่ยงไปด้านหลัง นางถูกโยนจนตัวลอยไปทางประตูใหญ่ที่เปิดสู่ภายนอกทันที
อานุภาพรุนแรงราวสายฟ้าแลบ ลั่วอวี่หลุดออกจากห้องโถงในพริบตา
หลังจากร่างของลั่วอวี่พุ่งออกมาจากห้องโถง พริบตาถัดมาห้องมัจฉาโบยบินก็พังครืน บังเกิดแรงสั่นสะเทือนกึกก้อง ฝุ่นธุลีปลิวว่อน เศษกระเบื้องกระเด็นกระดอนไปทั่วโดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด
ลั่วอวี่ร่วงลงสู่พื้น เท้าเพิ่งแตะสัมผัสกับผืนดิน ยังไม่ทันยื่นมือขึ้นมาโบกฝุ่นละอองที่ฟุ้งตลบอยู่เบื้องหน้า เหยียนเลี่ยก็พุ่งมาที่ข้างกาย สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงพลางแผดเสียงลั่น “เร็ว หนีเร็ว มีกลิ่นอายของพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตรงมาทางนี้แล้ว เร็ว!”
ขณะเดียวกันลั่วอวี่ก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่แข็งแกร่งยิ่งสองกระแสกำลังพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกบอกว่ายังแข็งแกร่งยิ่งกว่าพลังของยอดยุทธ์ครามเหล่านี้เสียอีก
ลั่วอวี่หัวคิ้วขมวดมุ่น คนเหล่านี้ต่างมาช่วงชิงลูกกลอนปราณอสูรของบุรุษผมเงินผู้นั้นหรือ
“หนีเร็ว” บรรดาผู้เรืองอำนาจแห่งแคว้นไร้ปีกกลับกลายเป็นนกแตกรังไปในพริบตา
(โปรดติดตามต่อในเล่ม)