บทที่ 2
เนี่ยหยวนหวายืนนิ่งอยู่ต่อหน้าเนี่ยชิงหลวน ใบหน้าเผยรอยยิ้ม
“น้องสาว” นางมองดูเนี่ยชิงหลวน แม้ดวงตาจะมีรอยยิ้ม ทว่าน่าเสียดายที่รอยยิ้มนั้นราวกับแสงตะวันสาดส่องผ่านก้อนน้ำแข็ง ไร้ซึ่งความอบอุ่น มีแต่จะทำให้ผู้มองรู้สึกหนาวสะท้าน “พี่จะเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะได้เป็นฮองเฮา ลองเดาดูว่าหลังขึ้นเป็นฮองเฮา สิ่งแรกที่พี่จะทำคืออะไร”
เนี่ยชิงหลวนอยากจะถ่มน้ำลายรดหน้านางแทบแย่ “น้องว่าถึงตอนนั้น สิ่งแรกที่พี่สาวจะทำ คงมิใช่เห็นว่าน้องสาวเช่นข้าทั้งเฉลียวฉลาดและน่ารักใคร่จนมีพระเสาวนีย์แต่งตั้งให้ข้าเป็นองค์หญิงกระมัง”
คราวนี้เนี่ยหยวนหวาเผยยิ้มที่แท้จริงออกมา “น้องสาวช่างเฉลียวฉลาดและน่ารักใคร่เสียจริง”
จากนั้นนางก็โน้มกายเข้าไปใกล้ ก้มกระซิบที่ข้างหูเนี่ยชิงหลวนด้วยน้ำเสียงไม่รีบร้อน “รอให้พี่ขึ้นเป็นฮองเฮาเสียก่อน สิ่งแรกที่จะทำคือหาทางจบชีวิตน้องสาวอย่างไรเล่า”
พูดถึงตรงนี้นางก็ยืดตัวขึ้น มองดูเนี่ยชิงหลวนแล้วยิ้มถาม “หึ น้องสาวเชื่อหรือไม่”
เนี่ยชิงหลวนคิด ข้าเชื่อสนิทใจทีเดียวล่ะ
เพราะเมื่อหลายปีก่อนเนี่ยหยวนหวาไม่เพียงบอกกับปากว่าตนเองจะหาทางสังหารนาง ทั้งยังลงมือทำจริงหลายต่อหลายครั้งด้วยซ้ำ
อันที่จริงหากจะเล่าถึงบุญคุณความแค้นระหว่างเนี่ยหยวนหวากับเนี่ยชิงหลวนแล้ว ก็เปรียบประหนึ่งเรื่องของเด็กกำพร้าแม่ คงต้องเล่ากันยาว*
แต่ถ้าสืบสาวให้ถึงต้นตอ ก็ต้องโทษบรรพบุรุษรุ่นก่อนของพวกนาง
เดิมทีซิ่นหยางโหวกับเนี่ยฮูหยินเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้องกัน ทว่าทั้งคู่ต่างมีใจตรงกัน ซ้ำยังเป็นรักแรกในวัยเยาว์ของกันและกัน สุดท้ายมารดาของซิ่นหยางโหวรังเกียจที่เนี่ยฮูหยินเป็นเพียงบุตรีของเสนาบดีกรมพิธีการ ดังนั้นไม่ว่าบุตรชายจะขอร้องอ้อนวอนเพียงใด ก็ยังบีบบังคับให้ซิ่นหยางโหวรับบุตรีของข้าราชสำนักที่มีเกียรติผู้หนึ่งไว้เป็นภรรยา โดยอ้างคำสั่งในฐานะบิดามารดาและคำชักชวนของแม่สื่อ ฝ่ายเนี่ยฮูหยินก็ถูกบิดามารดาของตนเองบังคับให้ไปแต่งงานกับผู้อื่น
หลายปีให้หลังบิดามารดาของเนี่ยฮูหยินพากันลาโลก ฝ่ายสามีก็มาป่วยตายไปด้วยโรคปอด เมื่ออับจนหนทาง เนี่ยฮูหยินจำต้องมาขอพึ่งพาซิ่นหยางโหว
บิดาของซิ่นหยางโหวตายจากไปนานแล้ว มารดาของเขาก็เพิ่งลาโลกไปเมื่อเดือนสิบเอ็ดปีก่อนอย่างประจวบเหมาะ เช่นนี้ก็เท่ากับว่าอุปสรรคขัดขวางระหว่างซิ่นหยางโหวกับเนี่ยฮูหยินได้หมดไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นซิ่นหยางโหวจึงเริ่มเข้าหาเนี่ยฮูหยินอีกครั้งอย่างกระตือรือร้น ไม่คิดใส่ใจภรรยาร่วมผูกผมซึ่งยังนอนซมล้มป่วยอยู่ ไม่สนใจแม้แต่ลูกน้อยหญิงชายวัยเยาว์ทั้งสองคน
ฝ่ายเนี่ยฮูหยินประหนึ่งปูไม่มีขา มิอาจคิดอ่านสิ่งใดด้วยตนเอง ประกอบกับตัวนางก็ยังมีใจให้ซิ่นหยางโหวอยู่ลึกๆ ท้ายที่สุดจึงยอมละทิ้งความกระดากอาย ตกลงปลงใจเป็นภรรยาอีกคนของเขา
อย่างที่เขาว่ากัน โลกนี้ไม่มีกำแพงที่ลมลอดผ่านไม่ได้ฉันใด ความลับก็ไม่มีในโลกฉันนั้น ไม่ช้าเรื่องนี้ก็แพร่เข้าสู่หูเนี่ยฮูหยินตัวจริงจนได้