เนี่ยชิงหลวนเดินตามซิ่นหยางโหว ได้ลิ้มลองประสบการณ์จันทราท่ามกลางหมู่ดาวด้วยตนเอง ก่อนถูกเหล่าสมาชิกหญิงของราชตระกูลดึงไปทางโน้นทีลากมาทางนี้ทีพลางต่างสรรหาคำพูดมายกยอปอปั้น
พูดประจบเอาใจกันเสียจนนางเริ่มจะรำคาญ จึงหาข้ออ้างลากตัวผีผาไปหลบอยู่หลังดงดอกเสาเย่า
สองนายบ่าวไม่สนใจจะรักษากิริยา ตัดสินใจนั่งยองหลบอยู่หลังดงของเสาเย่าสีม่วงอันดกดื่น
ผีผาซับเหงื่อที่หน้าผากแล้วว่า “คุณหนู ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนท่านเคยบอกข้าว่าหญิงคนหนึ่งเทียบได้กับเป็ดห้าร้อยตัวตอนนั้นข้าไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อแล้วเจ้าค่ะ”
เนี่ยชิงหลวนรวบชุดกระโปรงสีม่วงดอกติงเซียงเข้ามาอีกหน่อย กันมิให้ใครที่อยู่ด้านนอกเห็นชายชุดแล้วรู้ว่าหลังดงดอกเสาเย่ามีคนหลบอยู่ ก่อนตอบกลับไป “ก็ใช่น่ะสิ เจ้านับดูที ข้างนอกมีเป็ดสักกี่ตัว”
ผีผาชะโงกออกไปมองเกือบครึ่งศีรษะอย่างระวังตัว ก่อนจะกางนิ้วขึ้นนับ สุดท้ายทำสีหน้างุนงง “คุณหนู มีมากเหลือเกิน ข้านับไม่ถูกหรอกเจ้าค่ะ”
เนี่ยชิงหลวนหัวเราะ “ข้าพูดเฉยๆ เจ้ากลับจริงจัง ไม่ต้องนับหรอก ถ้ามีเป็ดไม่ถึงหมื่น ก็คงมีสักแปดเก้าพันเห็นจะได้”
จู่ๆ ก็มีเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นเหนือกระหม่อม “เป็ดอะไรกันหรือ”
แสงแดดสาดส่องลงมาพอดี อาบชุดปักลวดลายหรูหราสีน้ำตาลอมเหลืองของคนผู้นั้นจนเจิดจ้ากระจ่างตา
ผีผาหันไปพูดกับเนี่ยชิงหลวน “เป็นฉินซื่อจื่อ* เจ้าค่ะ”
ฉินซื่อจื่อมีนามว่า ‘ฉินชิง’ เป็นบุตรชายคนโตของฉินกั๋วกง* ประจำรัชสมัยนี้ บัดนี้มีอายุได้ยี่สิบสามปี ทว่าท่าทางเปี่ยมด้วยสง่าราศีเฉกเช่นขุนนางในเมืองหลวง
ตระกูลของฉินกั๋วกงกับซิ่นหยางโหวคบหาเป็นสหายกันมาอย่างยาวนาน จะบอกว่าสองตระกูลมีสัมพันธ์ใกล้ชิดแนบแน่นก็ไม่เป็นการกล่าวเกินจริง เนี่ยชิงหลวนไม่เพียงรู้จักฉินชิงผู้นี้ ซ้ำยังสนิทสนมกับเขามากด้วย
ในวัยเด็กก็เคยทะเลาะกันมาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง
รอยยิ้มใสซื่อผุดขึ้นบนใบหน้าเนี่ยชิงหลวนทันที “ที่แท้ก็พี่ใหญ่ฉินนี่เอง”
ฉินชิงเองก็ส่งยิ้มไร้พิษภัยกลับไปให้นางเช่นกัน แล้วจึงถามต่อ “เมื่อครู่พวกเจ้าพูดเรื่องเป็ดอะไรกันหรือ”
เนี่ยชิงหลวนคิด เป็ดที่นางพูดถึงเมื่อครู่ มารดาของฉินชิงก็อยู่ในจำนวนห้าร้อยตัวนั้นด้วย จึงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว “อ้อ เมื่อครู่นี้ข้าพูดกับผีผาเรื่องเป็ดย่างที่หอชิงเฟิงน่ากินนัก วันหน้าควรหาโอกาสไปกินเป็ดย่างกันสักมื้อ”