นางอยากเห็นสีหน้าแตกตื่นจนทำอะไรไม่ถูกของเนี่ยชิงหลวนแทบแย่ จะให้ดีต้องร้องไห้จนน้ำตาไหลพรากพลางขอร้องให้นางให้อภัย
แต่เนี่ยหยวนหวากลับต้องผิดหวัง สีหน้าของเนี่ยชิงหลวนกลับดูสงบราวกับน้ำในบ่อโบราณ ไม่แสดงท่าทีหวั่นไหวออกมาสักนิดเดียว
นางหมอบกราบบนพื้นอิฐสีดำพร้อมซิ่นหยางโหวกับเนี่ยฮูหยิน คอยฟังจุดจบครึ่งหลังของชีวิตนางด้วยใจสงบ
“…บุตรีคนรองของซิ่นหยางโหวมีชาติกำเนิดในตระกูลดี อุปนิสัยอ่อนหวานดีงาม คู่ควรจะเป็นภรรยาของจิ้นอ๋อง ด้วยเหตุที่ต้องออกเดินทางไปยังเมืองหล่งในอีกไม่กี่วัน จึงพระราชทานสมรสในวันที่สิบแปดเดือนเก้า”
ซิ่นหยางโหวและสมาชิกทุกคนในบ้านพากันตกตะลึง
ซิ่นหยางโหวกับเนี่ยฮูหยินหันมาสบตากัน ต่างคิดในใจว่าฮ่องเต้ทรงคิดจะทำอะไรกันแน่
ส่วนเนี่ยชิงหลวนกำลังคิด จ้าวเจ๋อเฉิงผู้นี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องตั้งแต่เมื่อใด
เนี่ยหยวนหวากลับหลุดปากพูดออกมาอย่างเสียกิริยา “เป็นไปได้อย่างไร เห็นๆ กันอยู่ว่าก่อนหน้านี้จ้าวกุ้ยเฟยไปขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้เนี่ยชิงหลวนกับจ้าวเจ๋อเฉิง เหตุใดจึงกลายเป็นจิ้นอ๋องไปได้ เจ้าอ่านผิดแล้วกระมัง”
ว่าแล้วนางก็ผุดลุกขึ้น ตรงเข้าไปฉวยเอาราชโองการมาจากมือขันทีเลยทีเดียว
อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาท ต่อไปก็จะได้เป็นฮองเฮา ขันทีจึงไม่กล้าทำอะไรนาง จำต้องปล่อยให้นางดึงราชโองการไปจากมือ
เนี่ยหยวนหวาฉวยเอาราชโองการไล่อ่านทุกตัวอักษรตั้งแต่ต้นจนจบ ในที่สุดจึงยอมเชื่อว่าขันทีมิได้อ่านผิด แต่ฮ่องเต้มีราชโองการให้เนี่ยชิงหลวนสมรสกับจิ้นอ๋องจริงๆ
เนี่ยชิงหลวนเองก็เพิ่งจะรู้ตัวตอนนี้เอง ในคราวที่หลงอันตี้พระราชทานตราประจำตัวแม่ทัพแดนพายัพแก่จั่วหลิง ตำแหน่งจิ้นอ๋องที่ได้รับการสืบทอดในสายตระกูลจั่วก็ถูกส่งกลับคืนให้แก่พวกเขาด้วย
นี่เท่ากับว่าข้าจะต้องแต่งงานกับจั่วหลิง แม่ทัพแดนพายัพผู้เลือดเย็นไร้หัวใจ ที่คนเล่าลือกันว่ายิงธนูไม่เคยพลาดเป้าผู้นั้นหรือ
เนี่ยหยวนหวาตื่นจากภวังค์ ซิ่นหยางโหวกับภรรยาก็รีบล้วงเอาตั๋วเงินใบหนึ่งออกมาอย่างใจกว้าง มอบให้แก่ขันทีผู้ประกาศราชโองการแล้วน้อมส่งเขาออกไป
เนี่ยชิงหลวนค่อยๆ ลุกขึ้นจากท่าหมอบกราบบนพื้น เหยียดชายแขนเสื้อปัดฝุ่นที่ติดกระโปรง
นางเหลือบเห็นเนี่ยหยวนหวากำลังจ้องมองตนเองด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เนี่ยชิงหลวนจึงยิ้มให้ ก่อนสอดมือทั้งสองเข้าไปในชายแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
เนี่ยหยวนหวาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก “ดูเหมือนเจ้าจะดีใจมากกระมัง”
เนี่ยชิงหลวนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น จากฮูหยินของเสมียนสำนักอาลักษณ์คนหนึ่ง ได้ขึ้นเป็นถึงพระชายาจิ้นอ๋อง ข้าย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่ดีใจ”
ตอนนี้ตำแหน่งของจ้าวเจ๋อเฉิงคือเสมียนสำนักอาลักษณ์ ขุนนางลำดับรองขั้นเจ็ด แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นตำแหน่งที่จ้าวกุ้ยเฟยท่านป้าของเขาหามาให้ ที่จริงก็เป็นแค่ตำแหน่งในนามเท่านั้น ปกติแล้วไม่ต้องเข้าไปรายงานตัวที่สำนัก
สีหน้าเนี่ยหยวนหวาตึงเครียด แทบจะกลั่นเป็นน้ำหยดลงมาได้
เนี่ยชิงหลวนรู้สึกว่าพอสุนัขตกน้ำแล้วต้องตีซ้ำให้น่วม หากปล่อยให้ปีนขึ้นฝั่งได้ก็จะเห่ากระโชกใส่ตนเองด้วยความหยิ่งผยองเหลือประมาณ
ดังนั้นจึงพูดต่อว่า “อีกอย่างข้าคิดว่าจิ้นอ๋องจั่วหลิงผู้นี้ก็เป็นคนที่ฝ่าบาทต้องไว้หน้าอยู่บ้าง ถึงพี่สาวจะมีฐานะสูงส่งเป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาท แต่ก็คงไม่กล้าทำอะไรเขากระมัง เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมไม่กล้าทำอะไรพระชายาจิ้นอ๋องไปด้วย อีกไม่กี่เพลาข้าก็จะต้องแต่งงานไปอยู่เมืองหล่งแล้ว ถึงตอนนั้นฝ่าบาทอยู่ห่างไกลเหมือนฟ้าที่อยู่สูง ต่อให้พี่สาวคิดถึงหรือกลัวว่าข้าจะได้อยู่สุขสบายเกินไป แส้ของพี่สาวก็คงไม่ยาวพอจะฟาดมาถึง คงได้แต่พร่ำรำพันว่าตนเองทำพลาดไปแล้วอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”
พอเนี่ยหยวนหวาได้ฟังเนี่ยชิงหลวนพูดจนจบ ก็แทบจะใช้คำว่า ‘เมฆดำครึ้มฟ้า กดข่มจนกำแพงเมืองแทบถล่มทลาย’ มาบรรยายสีหน้าของนางได้เลยทีเดียว
ทว่าเพียงชั่วพริบตา จู่ๆ นางก็ยกมุมปากแสยะยิ้มขึ้น