บทที่ 1-6 อุบัติเหตุบนถนนในชนบท
เมื่อขบคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่ใหญ่ ผ่านไปตั้งสิบกว่าวันแล้ว แต่ยังคงไม่มีข่าวคราวของเซิ่งเซียงเฉียว
ต่อให้สกุลเซิ่งพาตัวกลับมาได้ แต่เกรงว่าความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเด็กสาวคงจะไม่อยู่แล้ว ในภายภาคหน้าหากถูกจวนอ๋องจับได้ก็จะเป็นเคราะห์ภัยมหันต์อีกครั้งเช่นกัน
ท่านพี่คงจะยิ่งคิดยิ่งหวาดกลัว ถึงได้เล่าให้พี่ใหญ่ฟังสินะ
ก็เหมือนอย่างที่เฉียนซื่อว่าเมื่อครู่นี้ หากท่านอ๋องได้กลายเป็นฮ่องเต้ ต่อไปทุกครั้งที่เห็นคนสกุลเซิ่งก็จะนึกถึงเรื่องสกปรกโสมมนี้ขึ้นมา บุตรชายของเซิ่งกุ้ยเหนียงจะไม่พาลถูกฮ่องเต้รังเกียจเดียดฉันท์เอาหรอกหรือ ยังจะมีอนาคตอันใดให้พูดถึงอีกเล่า
ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็คือเหมือนอย่างที่พี่สะใภ้ใหญ่พูด…สกุลเซิ่งกับสกุลเฉิงต้องตัดขาดความสัมพันธ์ต่อกันถึงจะสามารถปกป้องเกียรติยศความมั่งคั่งของบุตรชายในภายภาคหน้าได้
เมื่อนึกถึงจุดนี้เซิ่งกุ้ยเหนียงก็มองไปยังบุตรชายผู้มีบุคลิกรูปโฉมงามล้ำโดดเด่น ความโศกเศร้าแผ่ขยายออกมาอีกครั้ง นางกอดเฉิงเทียนฟู่เอาไว้แล้วเริ่มร้องไห้โฮ
แม้ว่าเฉิงเทียนฟู่จะยังเป็นแค่เด็กหนุ่ม แต่กลับมีไหล่กว้างแขนยาว เขาโอบมารดาเอาไว้ได้ด้วยแขนข้างเดียว เอ่ยคล้ายกับกำลังปลอบน้องสาวอย่างไรอย่างนั้น “ท่านแม่อย่าเป็นกังวลไปเลยขอรับ ญาติผู้น้องเซียงเฉียว…ถูกพาตัวกลับมาแล้ว อีกไม่กี่วันก็กลับถึงจวน”
เสียงร้องไห้ของกุ้ยเหนียงหยุดลงอย่างฉับพลัน นางเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามด้วยความฉงน “กลับมาแล้ว? เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดบอกข้าเลยเล่า”
หลังจากเฉิงเทียนฟู่รินน้ำชาให้มารดาแล้วก็เอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบว่า “ท่านลุงคงจะคิดว่าท่านแม่ปิดปากไม่สนิท จึงไม่ได้บอกท่าน”
กุ้ยเหนียงโต้กลับทันควัน “ข้าปิดปากไม่สนิทที่ใดกัน…”
ไม่รอให้นางพูดจบ เฉิงเทียนฟู่ก็ขัดจังหวะคำพูดของนางทันที “เรื่องของญาติผู้น้องเซียงเฉียว ท่านเป็นคนเล่าให้ท่านพ่อฟังสินะ หาไม่แล้วท่านลุงใหญ่จะรู้ได้อย่างไร”
สุ้มเสียงของกุ้ยเหนียงแผ่วต่ำลงเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “แต่…บิดาเจ้าหาใช่คนนอกเสียหน่อย เรื่องใหญ่เพียงนี้ย่อมต้องบอกให้เขารู้เป็นธรรมดา…”
เฉิงเทียนฟู่จ้องมองมารดานิ่งๆ แววตาซับซ้อนอยู่เล็กน้อย คิดว่าควรจะกล่าวเตือนมารดาสักหน่อย จึงเอ่ยเน้นย้ำทีละคำๆ ว่า “ท่านแม่ พอจบเรื่องนี้แล้วท่านก็ควรจะรู้กระมังว่าเรื่องบางเรื่องแม้แต่สามีของตนเองก็ควรจะต้องระวังเอาไว้บ้าง”
กุ้ยเหนียงถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เยาว์วัย เสมือนดั่งบุปผางามบอบบางในกระโจมอุ่นที่ไม่เคยประสบเจอพายุฝนกระหน่ำ แต่ก็หาใช่คนหัวทึบโง่เขลาไม่
วันนี้ถูกพี่สะใภ้บีบให้หย่า มิหนำซ้ำสามีก็ยังหายไปตั้งแต่เช้า ครั้นคิดตรึกตรองไปเรื่อยๆ เช่นนี้นางก็ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาทันใด หยาดน้ำตาไหลทะลักออกมาอีกครา “สกุลเฉิงรังแกผู้อื่นเกินไปแล้ว ใจดำอำมหิตยิ่งนัก! เหนียนหลาง* เขา…เขาทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”
เฉิงเทียนฟู่มิได้เอ่ยวาจา แววตาแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น นึกถึงถ้อยคำที่ท่านลุงบอกตอนที่มาหาตนก่อนหน้านี้ เขาบอกแต่เพียงว่าคราวนี้เซิ่งเซียงเฉียวถูกคนสารเลวหลอกล่อให้หนีตามกันไป ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวพันใหญ่หลวงกับเถียนเพ่ยหรงแห่งจวนติ้งกั๋วกงผู้นั้นอีกด้วย ต่อมาเขาก็นึกโยงถึงข่าวลือลับๆ ที่ตนเองได้ยินมาในระยะหลังว่าบิดากับคุณหนูเถียนที่เพิ่งจะเป็นม่ายผู้นั้นมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินเหตุ ในใจเขาก็ล่วงรู้ถึงความคิดของบิดาเช่นเดียวกัน
บัดนี้เริ่มมีข่าวคราวของเซิ่งเซียงเฉียวบ้างแล้ว มีคนเห็นนางขึ้นเรือลักลอบขนส่งสินค้าของทางทะเลใต้ไป ตามกฎระเบียบของราชสำนัก หากมิได้รับป้ายจากทางการ เรือน้อยใหญ่ก็ไม่อาจออกทะเลโดยพลการได้ ท่านลุงรู้ว่าก่อนเฉิงเทียนฟู่จะไปร่ำเรียนวิชาเคยผูกมิตรกับคนในยุทธภพเอาไว้ มีหลายคนที่ทำงานเดินเรือ ด้วยความอับจนปัญญา ท่านลุงถึงได้มาขอให้เขาใช้เส้นสายช่วยเหลือ ลองดูว่าจะสืบหาเบาะแสของเซียงเฉียวได้บ้างหรือไม่
แม้ว่าเฉิงเทียนฟู่จะอายุยังน้อย แต่กลับเยือกเย็นพึ่งพาได้มากกว่าบิดาของเขาเสียอีก กอปรกับเขาสนิทสนมกับซื่อจื่อจวนฉือหนิงอ๋อง พอถึงตอนนั้นหากตามเช็ดตามล้างเรื่องนี้ไม่ไหวจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องขอให้เขาช่วยประสานกับทั้งสองฝ่าย ช่วยไกล่เกลี่ยให้สักหน่อย
ด้วยสาเหตุนี้เอง เฉิงเทียนฟู่ถึงได้รีบเร่งเดินทางกลับมาจากคฤหาสน์หลังเก่า ทว่าช่วงเวลาที่เขากำลังเดินทางนั้น ท่านพ่อกลับทนไม่ไหวปากโป้งพูดเรื่องฉาวโฉ่ของสกุลเซิ่งออกไป ถึงได้เกิดละครฉากพี่สะใภ้บังคับให้น้องสะใภ้หย่าสามีขึ้น