บทที่ 25-1 คาดคั้นเอาผิด
หลิ่วจือหว่านซึ่งอยู่อีกด้านมองดูเฉิงเผยเหนียน จู่ๆ ก็เปิดปากขึ้นด้วยท่าทีเย็นชา ตัดบทคำพูดของเขาลง “ถึงแม้หลายปีมานี้พวกเราจะอยู่แต่ที่ชนบท ทว่าตอนที่เพิ่งจะกลับมาเมืองหลวงก็ไม่เคยเห็นคุณชายสกุลเถียนผู้นั้นตามงานเลี้ยงน้อยใหญ่เลย ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อไม่นานมานี้เขาพลันปรากฏตัวขึ้นตามงานเลี้ยงน้ำชาต่างๆ ซ้ำยังมักจะชอบเข้ามาใกล้ชิดเต๋อฉิงอยู่เรื่อย
เพราะว่าข้าไม่รู้จักเขาเลยเกิดความสนใจใคร่รู้ เคยไปสืบถามกับคนอื่นมา ได้ความว่าคุณชายสกุลเถียนผู้นี้แต่เดิมแยกจวนออกมาจากสกุลเถียนพร้อมกับบิดาที่เป็นบุตรซึ่งเกิดจากอนุภรรยา ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อำเภออื่น ดูแลการค้าของตระกูลตนเอง ถึงแม้จะยังไม่เคยแต่งงาน
ทว่าในคฤหาสน์ที่ต่างเมืองหลังนั้นเลี้ยงนางระบำเอาไว้คนหนึ่ง สองคนนี้กำลังอยู่ในช่วงรักใคร่ชู้ชื่น กิจการในบ้านก็ยุ่งวุ่นวาย เหตุใดอยู่ดีๆ เขาถึงยอมปล่อยกิจการที่ทำเงินได้กับอนุนอกเรือนโฉมงามหยาดเยิ้มทิ้งไป แล้วมาหมกตัวอยู่ตามงานเลี้ยงน้อยใหญ่ในเมืองหลวงทั้งวี่ทั้งวันเล่า ข้าสืบได้เรื่องมาว่าถึงแม้เขาจะเป็นคนสกุลเถียน แต่กลับขออาศัยอยู่ในจวนของใต้เท้าเฉิงมาตลอดเลยนี่เจ้าคะ”
ครั้นนางกล่าวเช่นนี้เฉิงเผยเหนียนก็เอ่ยวาจาไม่ออกในทันใด ตอนแรกที่เถียนเพ่ยหรงเป็นตัวตั้งตัวตีช่วยหาสามีให้เฉิงเต๋อฉิงแทนเขาก็เอาแต่เอ่ยชมหลานชายว่าดีเช่นนั้นดีเช่นนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าเถียนเต๋อซิวกลับเลี้ยงอนุนอกเรือนเอาไว้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ถ้าหากมีพฤติกรรมต่ำทรามพรรค์นี้จริงๆ เขาก็ไม่กล้าเอ่ยชมเชยให้เซิ่งกุ้ยเหนียงฟังว่าคุณชายสกุลเถียนเป็นคนหนุ่มมากความสามารถมีคุณธรรมจริยธรรมอันใดเช่นกัน
เขาเองก็ตะลึงงันไปเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเถียนเต๋อซิวจะเป็นคนเช่นนี้ เพราะตอนแรกเถียนเพ่ยหรงบอกเพียงว่าให้หนุ่มสาวทำความรู้จักกันเอง ถูกตาต้องใจกันแล้วค่อยไปสู่ขอ เดี๋ยวก็เกิดเป็นความรักขึ้นเอง
หลังจากแต่งให้หลานชายสกุลเถียนแล้ว สินเดิมของบุตรสาวก็จะได้กลับคืนมามากกว่าครึ่ง…
ทันใดนั้นเขาเองก็ร้อนตัวเล็กน้อยเช่นกัน เริ่มไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้เถียนเต๋อซิวปรักปรำบุตรสาวจริงหรือไม่
หลิ่วจือหว่านผ่อนลมหายใจเล็กน้อย เอ่ยต่อไปว่า “ต่อมาข้าถึงได้รู้ว่าที่แท้เป็นเถียนฮูหยินของจวนท่านที่เป็นฝ่ายพาหลานชายไปเข้าร่วมงานเลี้ยงน้อยใหญ่ ช่างบังเอิญเหลือเกินที่งานเลี้ยงเหล่านี้ก็เป็นงานเลี้ยงที่หญิงสาวบ้านพวกเราก็จะไปร่วมเช่นกัน ข้าเห็นกับตาตนเองว่าทางเดินใหญ่โตกว้างขวาง เขาไม่เดินให้ดี กลับมาเดินชนกับเต๋อฉิง หากมิใช่ตาบอดก็คงจะเจตนา
ถึงแม้เต๋อฉิงเองก็เป็นหญิงสาวที่งามทั้งภายนอกและภายใน รูปโฉมงามละมุนละไม แต่ในฐานะที่พวกเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ข้าก็ขอพูดอย่างไม่เกรงใจสักประโยค รูปโฉมของนางยังไม่งดงามพอจะทำให้คุณชายสกุลเถียนที่คลุกคลีอยู่กับหญิงงามเริงเมืองผู้นั้นหลงใหลจนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างได้หรอก
หากรูปโฉมไม่พอให้คนหลงใหล แต่เมื่อประกอบกับสินเดิมของนางแล้วก็สามารถทำให้คนถ่อยไร้ยางอายที่เห็นผลประโยชน์แล้วลืมคุณธรรมบางคนหลงนึกว่าเกาะขั้นบันไดขึ้นสวรรค์ได้จริงๆ เรื่องนี้ประจักษ์ชัดอยู่ตรงหน้า เหตุใดคุณชายสกุลเถียนถึงต้องปั้นน้ำเป็นตัวนั้น ขุนนางใหญ่แห่งราชสำนักผู้สูงส่งอย่างท่านมองไม่ออกหรอกหรือ”
เฉิงเผยเหนียนถูกพูดใส่จนแตกตื่นตะลึงลานไป ยามนี้เขาเองก็ขบคิดเข้าใจสายสนกลในที่อยู่เบื้องหลังแล้วเช่นกัน ทว่าเขาอยู่บนหลังเสือยากจะลงได้ในทันทีทันใด จึงไม่กล้าเอ่ยยอมรับกับปากตนเองต่อหน้าภรรยาเก่าว่าฮูหยินที่เขาแต่งเป็นภรรยาคนใหม่นี้วางแผนเล่นงานบุตรสาวของตนเอง
ดังนั้นพอฟังถ้อยคำบีบเค้นกดดันของหลิ่วจือหว่านจบ เขาก็อับอายจนพาลโกรธอยู่บ้าง จึงตะคอกเสียงดังกึกก้องว่า “ที่นี่ผู้ใหญ่เขากำลังคุยกันอยู่ เด็กน้อยอย่างเจ้ายื่นมือเข้ามาสอดอันใดด้วย เต๋อฉิงเป็นบุตรสาวของข้า เรื่องบางเรื่องข้ากับเซิ่งกุ้ยเหนียงต้องปรึกษากันสองคน เกี่ยวอันใดกับเจ้าเล่า”
หลิ่วจือหว่านยิ้มเย็นพลางเอ่ย “ท่านพูดเองนี่ว่าเต๋อฉิงถูกฝากเลี้ยงดูที่สกุลเซิ่ง หากนางเสื่อมเสียชื่อเสียงก็เท่ากับบุตรสาวสกุลเซิ่งอย่างพวกเราเสื่อมเสียชื่อเสียง ท่านเอาใจเข้าหาสกุลเถียน หวังจะขายบุตรสาวแลกเกียรติยศ แต่อย่ามาหวังว่าจะเอาชื่อเสียงสกุลเซิ่งของพวกเราไปขายให้สกุลเถียนพร้อมกันเพื่อเป็นสินเดิมให้ท่านเชียว”
เฉิงเผยเหนียนเป็นขุนนางมานานหลายปี ไหนเลยจะเคยถูกแม่นางน้อยผู้หนึ่งด่ากราดซึ่งๆ หน้าเช่นนี้
ทันใดนั้นเขาก็โมโหขึ้นมา เพราะความฉุนจัดจึงชี้หน้าหลิ่วจือหว่านแล้วโพล่งด่าว่า “เจ้ามันนางเด็กสามหาว บุตรหลานที่สกุลเซิ่งเลี้ยงดูล้วนมีแต่สตรีไร้ยางอาย ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่อย่างเจ้าอยู่แล้ว ยังจะต้องให้ข้าสาดโคลนให้ชื่อเสียงพวกเจ้าแปดเปื้อนอีกหรือ”
วาจาประโยคนี้ของเขาจุดเพลิงโทสะในหัวใจของเซิ่งกุ้ยเหนียงให้ลุกโชนขึ้นมาในเสี้ยวพริบตา เมื่อวานบุตรสาวพยายามปลิดชีพตนเอง แม้ว่าจะถูกช่วยเอาไว้ได้ แต่บนลำคอเรียวบางขาวผ่องนั้นยังคงหลงเหลือรอยเขียวช้ำรอยหนึ่งเอาไว้ เซิ่งกุ้ยเหนียงมองดูก็ปวดใจอยู่ตลอดคืน