พูดกันตามความเป็นจริงแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นเวรกรรมที่คนสารเลวอย่างเถียนเพ่ยหรงกับเฉิงเผยเหนียนคู่นี้ก่อขึ้น ยามนี้พอเห็นว่าคนเป็นบิดาอย่างเฉิงเผยเหนียนไม่แม้แต่จะถามว่าอาการของบุตรสาวในตอนนี้เป็นอย่างไร กลับเอาแต่คิดว่าจะเอาอกเอาใจสกุลเถียนเช่นไร ซ้ำบัดนี้ก็ยังเริ่มมาด่าทอต่อว่าเด็กสาวในสกุลเซิ่งอีก จึงเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในบัดดล
นางผู้มีนิสัยนุ่มนวลอ่อนหวานมาแต่ไหนแต่ไรกลับกระโจนเข้าใส่อีกฝ่ายราวกับแม่เสือก็ไม่ปาน คว้ากาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาฟาดใส่ศีรษะของเฉิงเผยเหนียนอย่างหนักหน่วงรุนแรง หลังจากนั้นก็ใช้เล็บข่วนใบหน้าของเขา
เซิ่งกุ้ยเหนียงข่วนไปพลางเอ่ยด่าไปพลาง “ท่านมันพวกหน้าด้านไร้ยางอาย! ปล่อยให้เถียนเพ่ยหรงส่งเสริมหลานชายอันธพาลมาทำลายชื่อเสียงของบุตรสาวข้า! ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อวานบุตรสาวข้ากลับมาถึงจวนก็ใช้สายรัดเอวแขวนคอฆ่าตัวตาย! หากมิใช่เพราะนางหนูเซียงเฉียวนี่ไปช่วยได้ทันท่วงที วันนี้ท่านก็คงได้แห่ศพให้ฉิงเอ๋อร์ไปแต่งผีกับสกุลเถียนแล้ว! ท่านจะได้มาวางอำนาจบาตรใหญ่ ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหวอยู่ที่นี่หรือ ต่อให้วันนี้ท่านไม่มาหาข้า ข้าก็จะไปที่สกุลเฉิงของท่านเพื่อสับพวกท่านให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
คราวนี้เซิ่งกุ้ยเหนียงโกรธแค้นขึ้นมาแล้วจริงๆ น่าเวทนาใต้เท้าเฉิงที่บาดแผลที่เกิดจากการถูกไม้เท้าฟาดใส่จนเขียวช้ำก่อนหน้านี้ยังไม่ทันจางหาย ตอนนี้ก็มาถูกกาน้ำชาฟาดใส่จนโลหิตสดๆ อาบชุ่มโชกอีก
เขาไม่เคยเห็นเซิ่งกุ้ยเหนียงอาละวาดคลุ้มคลั่งเช่นนี้มาก่อน จึงทั้งเจ็บทั้งตื่นตระหนกไปพร้อมๆ กัน ได้แต่หลบหลีกพร้อมกับร้องโอ๊ยๆ ตะโกนเสียงดังลั่นว่านางจะสังหารตน!
เหตุการณ์นี้ชุลมุนจนหยุดไม่ลงไปพักหนึ่ง จนกระทั่งยามเฉิงเทียนฟู่สาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามาพร้อมกับเกล็ดน้ำค้างหนาวเหน็บเกาะทั่วทั้งร่าง ก็เห็นภาพเหตุการณ์ที่มารดากำลังจะสังหารบิดาเข้า
เขารีบเดินทางกลับมาจากนอกเมืองหลวง คนสกุลเซิ่งที่ส่งไปตามหาเจอกับเขาระหว่างทางพอดี หลังจากคนที่นำความไปแจ้งรีบร้อนเล่าสถานการณ์ในจวนให้ฟังแล้ว เฉิงเทียนฟู่ก็ตวัดแส้ควบอาชาห้อตะบึงกลับมา
เมื่อครู่กลับถึงจวนเขาก็แวะไปที่ห้องนอนของน้องสาวก่อน แม้ว่าอาการของเฉิงเต๋อฉิงจะดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีท่าทางเศร้าสร้อยเซื่องซึมอยู่
ไม่รู้เพราะเหตุใดหยวนกวงต๋าซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเฉิงเทียนฟู่กลับบุกเข้าไปในห้องนอนของหญิงสาวโดยไม่สนใจสาวใช้ที่เข้ามาขัดขวาง ตาแดงก่ำพลางตะโกนโหวกเหวกใส่เฉิงเต๋อฉิงที่อยู่บนเตียงว่า “เจ้ารออยู่นี่ ข้าจะไปเชือดไอ้สารเลวนั่นเพื่อแก้แค้นให้เจ้าเดี๋ยวนี้!”
เฉิงเทียนฟู่สั่งให้คนจับตัวเสนาธิการหยวนที่กำลังบ้าคลั่งเอาไว้ ต่อมาหลังจากมองดูลำคอที่ช้ำเขียวของน้องสาวแล้วก็สาวเท้าพรวดพราดเดินมายังเรือนด้านหน้า
ตอนที่เขาเดินมาถึงห้องโถงก็ได้ยินมารดากำลังด่าบิดาสาดเสียเทเสียอยู่พอดี จึงเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ จนกระจ่างเกือบหมดในทันที หลังจากนั้นก็หันกายเดินตรงออกไปนอกประตูจวนโดยที่ไม่แม้แต่จะเอ่ยวาจาใดๆ ทั้งสิ้น
เฉิงเผยเหนียนเห็นแล้วนึกว่าเขาไม่สนใจตนเอง เลยพูดด่าทอเสียงดังสนั่นว่า “เจ้าเห็นมารดาเจ้าคลุ้มคลั่งเสียสติ เหตุใดถึงยังไม่ห้ามปรามอีก เจ้าอยากจะให้นางทุบตีข้าตายจริงๆ อย่างนั้นรึ”
แต่ว่าหลิ่วจือหว่านเข้าใจอุปนิสัยของญาติผู้พี่ดี แม้ปกติจะเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ แต่ถ้าหากแตะเกล็ดย้อนของเขาเข้าเมื่อใด เขาก็เป็นคนที่พร้อมจะวางเพลิงเผาบ้านสังหารคนได้ทุกเมื่อ
ดังนั้นพอนางเห็นเฉิงเทียนฟู่เดินออกไปพร้อมจิตสังหารคุกรุ่นก็รีบเอ่ยกับเฉิงเผยเหนียนว่า “ท่านยังจะมัวโวยวายอันใดอีก รีบกลับจวนไปเร็วเข้า!”
นางกลัวว่าญาติผู้พี่จะเผลอบันดาลโทสะสังหารคนเข้าจริงๆ จึงรีบเรียกให้เฉิงเผยเหนียนกลับจวนสกุลเฉิงไปห้ามปรามเขาสักหน่อย
ยามนี้เฉิงเผยเหนียนเพิ่งจะได้สติคืนมา เขาตื่นตกใจจนสะดุ้งเฮือก รีบร้อนใช้มือกุมหน้าผากพร้อมกับวิ่งออกไปอย่างกระวนกระวาย
เซิ่งกุ้ยเหนียงก็หวาดกลัวเช่นเดียวกัน ถึงแม้นางเองก็ตบตีผู้อื่น แต่อย่างมากก็มีแค่บาดแผลภายนอกเล็กน้อย ทว่าถ้าหากบุตรชายใจร้อนวู่วามขึ้นมา เขาก็อาจจะชักกระบี่ออกมาแทงทะลุหัวใจผู้อื่นได้จริงๆ
นางกลัวว่าตนเองจะเกลี้ยกล่อมบุตรชายไม่สำเร็จ จึงเร่งรีบคว้าตัวหลิ่วจือหว่านที่อยู่ข้างกายเอาไว้ จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปข้างนอกเช่นกัน หลังจากสั่งให้คนเตรียมรถม้าแล้วก็รีบมุ่งหน้าไปยังสกุลเฉิงอย่างร้อนรน
ส่วนเฉิงเทียนฟู่ก็พานายทหารที่อยู่ใต้บัญชาออกจากจวนแล้วกระโดดขึ้นหลังอาชา ห้อเหยียดมาตลอดทางจนมาถึงสกุลเฉิง