บทที่ 25-3 คาดคั้นเอาผิด
ในขณะที่เขากำลังสอบสวนอยู่นั้น เฉิงเผยเหนียนก็ไล่ตามมาถึงอย่างกระหืดกระหอบ ทีแรกเฉิงเผยเหนียนเข้ามาในจวนไม่ได้ เขาถูกชายฉกรรจ์ตัวโตราวกับเจดีย์เหล็กหลายคนขวางเอาไว้หน้าประตูใหญ่ของบ้านตนเองด้วยท่าทางดุร้ายถมึงทึง จนกระทั่งพวกเซิ่งกุ้ยเหนียงกับหลิ่วจือหว่านมาถึง ชายฉกรรจ์ร่างโตผู้นั้นเข้าไปรายงานท่านแม่ทัพ ถึงยอมปล่อยให้พวกเขาเข้ามา
หลังจากเฉิงเผยเหนียนเข้ามายังเรือนชั้นในก็ตะลึงงันไปหมด…
นี่มันภาพสนามรบนองเลือดอันใดกัน เจ้าลูกเนรคุณเฉิงเทียนฟู่คิดจะเข่นฆ่าสกุลเฉิงล้างตระกูลอย่างนั้นหรือ
เขาโมโหจนด่าทอหยาบคายในใจทันที ปรี่ถลาไปตรงหน้าเฉิงเทียนฟู่ คิดจะตบอีกฝ่ายสักหนึ่งฉาด
ทว่าบุตรชายกลับพาดกระบี่ลงบนลำคอของเขาในทันใด ใช้คมกระบี่ยันคอของเขาเบาๆ แล้ววาดไล้เล็กน้อย เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นคอของน้องสาว รอยเขียวช้ำตรงนี้ยังไม่จางหาย…ท่านพ่ออยากให้ข้ากลับสกุลเฉิงมาตลอดมิใช่หรือ วันนี้ข้ากลับมาดังที่ท่านปรารถนาแล้ว เหตุใดท่านพ่อยังไม่ดีใจอีกเล่า แต่น่าเสียดายที่ในจวนนี้สกปรกโสโครกเสียจนชวนให้คนไม่กล้าย่างกราย ข้าช่วยทำความสะอาดจวนสกุลเฉิงให้แล้ว ประเดี๋ยวพวกเราสองพ่อลูกมานั่งค่อยๆ คุยกันเถิด”
หลิ่วจือหว่านที่ตามเข้ามาก็ตื่นตกใจเช่นกัน มิใช่เพราะนางเห็นโลหิตแล้วหวาดกลัว แต่เพราะกังวลว่าเฉิงเทียนฟู่จะเดือดดาลเลือดขึ้นหน้าจนสูญเสียสติสัมปชัญญะไป หากเขาสังหารคนในสกุลเฉิงจริงๆ ต่อให้มีเหตุผลก็จะกลายเป็นฝ่ายผิดไป
พอถึงตอนนั้นถ้าสกุลเถียนไม่ยอมจบสิ้น ญาติผู้พี่ไม่เพียงแต่จะต้องถูกถอดจากตำแหน่งขุนนาง เกรงว่ายังจะต้องติดคุกติดตะรางอีกด้วย…
ดังนั้นนางจึงเดินไปข้างกายเฉิงเทียนฟู่ เอ่ยเสียงเบาว่า “ญาติผู้พี่จะนั่งพักดื่มน้ำชาสักแก้วหรือไม่เจ้าคะ ผ่อนคลายสักนิดแล้วค่อยหารือกับพวกเขาดีหรือไม่”
เฉิงเทียนฟู่รู้ว่าแม่นางน้อยเอ่ยเช่นนี้เพื่อย้ำเตือนเขาว่าอย่าได้สูญสิ้นสติสัมปชัญญะ
เขามองหลิ่วจือหว่านปราดหนึ่ง หลังชะงักนิ่งไปชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “ข้ารู้แก่ใจดี เจ้ากับท่านแม่ไปนั่งอีกด้านเถิด”
ส่วนทางฝั่งบ่าวรับใช้ที่ถูกสอบสวนเหล่านั้น พอเห็นเถียนเต๋อซิวถูกแทงจนอยู่ในสภาพราวกับน้ำเต้าสีเลือด แต่ละคนก็ตกใจเสียขวัญจนตัวสั่นราวกับตะแกรงร่อนแป้ง
เฉิงเทียนฟู่พูดเอาไว้ชัดเจนว่าหากมีใครยังคิดไม่ได้ ยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ ทำตัวซื่อสัตย์ภักดี เช่นนั้นก็อย่าโทษว่ากระบี่ของเขาไร้ไมตรีที่ทำให้ใครต้องไปรายงานตัวต่อพญามัจจุราชอย่างฉับพลัน
ดังนั้นคนเหล่านี้จึงไม่มีเวลาไปสนใจคิดว่าเถียนเพ่ยหรงจะลงโทษพวกเขาหรือไม่ หลังจากถูกข่มขู่ไต่สวนเล็กน้อยก็เล่าเรื่องที่วันนั้นเถียนเพ่ยหรงสั่งให้พวกเขาฉวยโอกาสตอนคุณหนูเฉิงเต๋อฉิงไปเข้าห้องเวจที่เรือนด้านหลังสกัดสาวใช้ของนางเอาไว้
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบ่าวรับใช้คนหนึ่งทำหน้าที่นำทางให้เถียนเต๋อซิวโดยเฉพาะ แค่รอให้เฉิงเต๋อฉิงอยู่ตามลำพังแล้วก็ค่อยให้เถียนเต๋อซิวไปพบเจอกันซึ่งๆ หน้า
หลังจากเฉิงเทียนฟู่รับฟังจบด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ก็หันไปถามบิดาที่กำลังทำแผลตรงหน้าผากอยู่
“ท่านได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่ เป็นเพราะฮูหยินของท่านผู้นั้นวางแผนเอาไว้นานแล้ว หาคนสกปรกโสมมพรรค์นี้มาสร้างความแปดเปื้อนให้ชื่อเสียงของน้องสาวข้า ถ้ามิใช่เพราะเต๋อฉิงเรียนวรยุทธ์กับญาติผู้พี่ของนางมาสองสามกระบวนท่า เกรงว่าคงจะถูกเจ้าคนสันดานสุนัขนี่กระชากเข้าห้อง โดนเขาขืนใจย่ำยีไปแล้ว! บัดนี้พยานบุคคลล้วนมีครบ เถียนฮูหยิน ท่านพ่อ ใต้เท้าผู้ว่าการว่าข้อกฎหมายออกมาเถิด!”
เฉิงเผยเหนียนหาใช่คนโง่เขลาไม่ อันที่จริงตอนที่ได้ยินเถียนเพ่ยหรงเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเมื่อวานในใจก็รู้สึกอยู่รางๆ เช่นกันว่าเรื่องนี้ดูมีเลศนัย
เพียงแต่เถียนเพ่ยหรงเคยบอกถึงประโยชน์ของการแต่งงานในครั้งนี้ หลานชายผู้นั้นเป็นคนกตัญญูรู้คุณ และรู้เช่นกันว่าเมื่อปีนั้นสกุลเฉิงแยกบ้านอย่างไม่เป็นธรรม หากเขาแต่งเฉิงเต๋อฉิงเป็นภรรยา จะต้องโน้มน้าวนางให้คืนทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่ท่านพ่อตาแน่นอน คนอื่นจะได้เห็นว่าบุตรสาวกตัญญูรู้คุณบิดาโอบอ้อมอารี