ทุกคราที่คุณหนูสกุลเซิ่งผู้นั้นมาเยือน ซื่อจื่อก็จะอาศัยสายสัมพันธ์กับเจ้าห้าตามเข้าจวนมาด้วย ถึงแม้แขกบุรุษและแขกสตรีจะไม่ได้อยู่ร่วมโถงเดียวกัน แต่ซื่อจื่อก็มักจะชะเง้อมองไปทางเรือนของแขกสตรีอยู่บ่อยๆ เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์ของเฒ่าขี้เมามิได้อยู่ที่สุรา
หากเจ้าห้าของบ้านนางตกลงปลงใจกับคุณหนูใหญ่สกุลเซิ่ง นั่นมิเท่ากับเป็นการตบหน้าซื่อจื่อหรอกหรือ
แม้ว่าสถานการณ์ของจวนฉือหนิงอ๋องในตอนนี้จะแตกต่างกับเมื่อก่อนยิ่ง ทว่าอย่างไรแล้วฉือหนิงอ๋องก็เป็นโอรสองค์โตของฝ่าบาท
บัดนี้รัชทายาทเจ็บป่วยอ่อนแอ โอรสที่เพิ่งเกิดของเถียนฮองเฮาก็ยังเยาว์วัยเกินไป เรื่องในวันข้างหน้าใครก็ยากจะพูดได้
ฮูหยินกั๋วกงรู้สึกว่าการเกี่ยวดองนี้ทั้งไม่เหมาะสมคู่ควรกัน ทั้งแลดูยุ่งยากวุ่นวายไปนิด มิสู้หมั้นหมายหญิงสาวตระกูลอื่นให้เจ้าห้าดีกว่า ปัญหาจะได้น้อยลงหน่อย
วาจานี้นางเองก็ได้เอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งเป็นแม่สามีของตนเองอย่างอ้อมค้อมนุ่มนวลแล้วรอบหนึ่ง
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับชมชอบแต่นางหนูเซิ่งเซียงเฉียวราวกับถูกคุณไสยก็มิปาน ซ้ำยังบอกว่าลูกสะใภ้อย่างนางสายตาตื้นเขิน การที่จวนหย่งติ้งกั๋วกงยืนหยัดตระหง่านอยู่ในราชสำนักได้ล้วนอาศัยใจภักดีสูงสุดบริสุทธิ์สุดซึ้งมาตลอดหลายรุ่น ยิ่งไม่จำเป็นต้องหาสมัครพรรคพวกผ่านการแต่งงานของบุตรธิดา ไม่จำเป็นต้องแต่งสตรีสูงศักดิ์เข้าจวน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เซิ่งเซียงเฉียวผู้นี้ใช้ได้มากกว่าเสิ่นฟางเซียที่นางเคยหมั้นหมายไว้ก่อนหน้านี้มากโข
ฮูหยินกั๋วกงไม่กล้าโต้เถียงกับแม่สามี รู้สึกแค่เพียงว่าคนเราพอแก่ชราแล้ว หากดื้อรั้นเอาแต่ใจขึ้นมาก็เกินจะทนไหวเช่นกัน
ครั้นนางเห็นว่าโน้มน้าวแม่สามีไม่ได้ ก็มิได้เปลืองน้ำลายอีก
เพียงแต่ตอนที่นางกลับมานั่งพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับหวังซื่อและ ‘เซิ่งเซียงเฉียว’ ทั้งนอกทั้งในถ้อยคำของฮูหยินกั๋วกงล้วนเผยความนัยบางอย่างออกมา คร่าวๆ ก็คือแม่สามีอายุมากแล้ว อาจจะพูดจาเหลวไหลเรื่อยเปื่อยอย่างมิอาจเลี่ยง เห็นแม่นางน้อยเยาว์วัยบ้านใดก็นึกชมชอบจากใจจริงทั้งสิ้น ไม่กลัวว่าพูดล้อเล่นแล้วคนอื่นจะถือเป็นจริงเป็นจัง ถ่วงรั้งบุพเพสันนิวาสคุณหนูเยาว์วัยไปเสียเปล่าๆ ดังนั้นหากฮูหยินผู้เฒ่าพูดอันใดออกไป ก็ขอให้หวังซื่อกับคุณหนูอย่าเก็บเอามาใส่ใจ
หวังซื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ฉงนงุนงงอยู่บ้าง ทั้งยังใช้สมองขบคิดใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง แต่หลิ่วจือหว่านหัวไวถึงเพียงนั้น แค่ประเดี๋ยวเดียวก็ฟังเข้าใจได้ในทันที
ความหมายของฮูหยินกั๋วกงคือคุณชายห้าของบ้านพวกเขาไม่มีทางแต่งงานเกี่ยวดองกับคุณหนูของสกุลเซิ่งแน่นอน หากฮูหยินผู้เฒ่าพูดหยอกล้อ พวกนางก็อย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจังไป
ดังนั้นระหว่างทางกลับบ้านหลิ่วจือหว่านจึงอธิบายถ้อยคำนี้ให้มารดาฟังจนเข้าใจอย่างละเอียด
หวังซื่อเพิ่งจะมารู้สึกตัวภายหลัง ทันใดนั้นนางก็ใบหน้าร้อนผะผ่าว เอ่ยอย่างกระฟัดกระเฟียดว่า “บุตรชายคนที่ห้าของบ้านเขาเป็นแค่บุตรอนุภรรยาเท่านั้น เป็นที่รู้จักก็เพราะอาศัยชื่อเสียงของจวนกั๋วกง เขาร่ำเรียนวิชาได้แตกฉาน หรือว่ามีผลงานในฐานะขุนนางอันใดกัน ก็แค่ช่วงนี้สร้างคุณงามความชอบจากการควบคุมขนส่งเสบียงกรังกองทัพเท่านั้น ซ้ำยังอาศัยบารมีของเทียนฟู่ด้วยซ้ำ!
คิดว่าบุตรสาวบ้านข้าไม่มีคนต้องการหรือไร ถึงต้องยัดเยียดให้บ้านพวกเขา หากมิใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่าบ้านเขาส่งเทียบเชิญมาให้ ข้าก็คร้านจะแวะไปเยือนจริงๆ ต่อไปพวกเจ้าทั้งสองก็เลิกไปมาหาสู่กับคุณหนูเจ็ดของจวนเขาเสีย! คนเขาจะได้ไม่หวาดระแวง คิดว่าพวกเราเกาะตระกูลพวกเขาไต่เต้า!”
ครั้นคำพูดนี้ได้ยินเข้าหูเซิ่งเซียงหลันก็ประดุจดั่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ประตูใหญ่ของจวนกั๋วกงอันโอ่อ่าแห่งหนึ่งกลับปิดสนิทลงต่อหน้าต่อตานางด้วยประการฉะนี้
นางนึกเสียใจภายหลังขึ้นมาทันทีที่ระยะนี้ตนเองขยันออกไปข้างนอกบ่อยๆ เลยไม่มีโอกาสได้ทบทวนหนังสือสร้างความผูกพันกับญาติผู้พี่ในห้องหนังสือ มารดาเอกกล่าวถูกต้อง ตระกูลสูงศักดิ์อย่างจวนกั๋วกงมีอันใดน่าเกาะกันเล่า แม้กระทั่งบุตรสาวภรรยาเอกอย่างพี่สาว ฮูหยินกั๋วกงผู้นั้นยังไม่ถูกใจ เช่นนั้นบุตรสาวอนุภรรยาอย่างนางยิ่งไม่ติดลำดับด้วยซ้ำไป
การแต่งงานกับญาติผู้พี่ยังเป็นจริงได้มากกว่าอีก ถ้ามีแม่สามีหูเบาอย่างท่านอาหญิงก็จะได้ไม่ต้องทนรองรับอารมณ์…แต่แค่ในอนาคตจะสลัดน้องสามีปากคอเราะรายอย่างเฉิงเต๋อฉิงไม่ได้ก็เท่านั้น ทว่าหากตนเองกลายเป็นพี่สะใภ้แล้ว มีหรือจะสั่งสอนเฉิงเต๋อฉิงให้เข็ดหลาบไม่ได้