ซ่อนกลิ่น
ทดลองอ่าน ซ่อนกลิ่น บทที่ 26.1-26.2
พอนึกถึงตรงนี้เซิ่งกุ้ยเหนียงก็กระแอมกระไออย่างรุนแรงหนึ่งเสียง หลังจากนั้นก็ย่ำฝีเท้าก้าวเข้าไปอย่างไม่เกรงอกเกรงใจแม้แต่เศษเสี้ยว ครั้นเซิ่งเซียงหลันเห็นอาหญิงเดินเข้ามาก็รีบร้อนเช็ดน้ำตาแล้วก้มหน้าเอ่ยทักทายอาหญิง
เซิ่งกุ้ยเหนียงเอ่ยกับเซิ่งเซียงหลันด้วยใบหน้าบึ้งตึง “อีกไม่นานญาติผู้พี่เจ้าก็ต้องเข้าร่วมการสอบ ตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องขยันหมั่นเพียรทบทวนหนังสือ ถ้าเจ้าไม่มีธุระอื่นก็ไปเล่นสนุกกับพวกเซียงเฉียวเถิด ต่อไปหากไม่มีเรื่องอันใดก็อย่าก้าวเข้ามาในห้องหนังสือของญาติผู้พี่เจ้าอีก”
เซิ่งเซียงหลันไม่กล้าเอ่ยคำอีก นางจึงยอบกายคารวะเล็กน้อย จากนั้นก็เบ้ปากเดินออกไป
หลังนางเดินออกไปแล้ว เซิ่งกุ้ยเหนียงถึงหันมากล่าวกับบุตรชายด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย “ข้าขอพูดวาจาที่ไม่ควรพูดสักประโยคเถิดนะ บัดนี้เจ้าเติบใหญ่แล้ว ควรจะรู้จักหลีกเลี่ยงคำครหา ต้องจำใส่ใจไว้ว่าต้องรักษาระยะห่างกับญาติผู้น้องทั้งสองของเจ้าบ้าง อย่าได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสองเป็นอันขาด ยิ่งอย่าพูดจาอันใดให้พวกนางเกิดความคิดเลยเถิดเล่า”
เฉิงเทียนฟู่เงยหน้าขึ้นมองมารดาครู่หนึ่งด้วยความประหลาดใจ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหตุใดท่านแม่ถึงพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเล่าขอรับ”
เซิ่งกุ้ยเหนียงเอ่ยด้วยความร้อนรนใจ “เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ นางหนูเซียงหลันนั่นถูกปฏิเสธมาจากข้างนอก ตอนนี้เลยมาเอาอกเอาใจเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะ การแต่งงานของน้องสาวเจ้าไม่ถูกใจข้าเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าหากเจ้าแต่งสะใภ้ที่ไม่ถูกใจข้าเข้ามาอีก เช่นนั้นข้า…ข้าอยู่ไปจะมีความหมายอันใดอีกเล่า”
พอพูดถึงตรงนี้เซิ่งกุ้ยเหนียงก็ขอบตาแดงระเรื่อ ความโศกศัลย์ไหลบ่าขึ้นมา ร้องห่มร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ตลอดทั้งช่วงเช้านี้เฉิงเทียนฟู่มิได้อยู่สงบเงียบเลยสักนิด เขาถอนหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะโยนม้วนหนังสือในมือทิ้งแล้วเอ่ยถามว่า “ในห้องหนังสือของข้าบูชาราชันมังกรอย่างนั้นหรือ พวกท่านแต่ละคนถึงต้องมาร่ำไห้ขอฝน ข้ามิใช่คนที่หน้ามืดตามัวเหล่านั้นเสียหน่อย ท่านแม่ไม่ต้องกล่าวคำพูดเลื่อนลอยไร้สาระพวกนี้กับข้าหรอกขอรับ”
เซิ่งกุ้ยเหนียงเองก็รู้ว่าบุตรชายมีความยับยั้งชั่งใจ ดังนั้นจึงเบาใจลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงกำชับกำชาอย่างกระตือรือร้น จนกระทั่งเฉิงเทียนฟู่ใช้ดวงตาจ้องมองนางนิ่งๆ นางถึงค่อยสงบปากสงบคำไม่พูดอีก
บุตรชายคนนี้ของตนหล่อเหลาสง่างามยิ่งกว่าบิดาของเขาเมื่อครั้งวัยหนุ่มเสียอีก ก็ไม่แปลกที่แม่นางน้อยเยาว์วัยต่างก็รักใคร่เขา…
หลังออกมาจากห้องหนังสือ นางก็ขบคิดว่าอยากจะย้ำเตือนนางหนูเซิ่งเซียงหลันอีกสักหน่อย เช่นนี้ถึงจะเบาใจลงอีกนิดมากขึ้น
ถ้อยคำบางอย่างเอ่ยเอาไว้ก่อนเนิ่นๆ พอผู้อื่นฟังเข้าใจแล้วจะได้ลดปัญหายุ่งยากในวันข้างหน้าลง จะรอให้ถึงตอนที่เรื่องราวมิอาจแก้ไขได้แล้วถึงค่อยมาแตกหักกันไม่ได้กระมัง
ดังนั้นเซิ่งกุ้ยเหนียงจึงถือโอกาสยามที่เย็บปักสินเดิมเป็นเพื่อนบุตรสาว ร้อยด้ายไปพลางเอ่ยกับเซิ่งเซียงหลันด้วยใบหน้าเบิกบานเป็นมิตรไปพลางว่า “รอบนี้ไม่รู้ว่าญาติผู้พี่เจ้าจะสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวนหรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้วเช่นกัน…ข้าได้หาแม่สื่อเอาไว้แล้ว ไหว้วานให้พวกนางช่วยข้าเฟ้นหาหญิงสาวที่เหมาะสมคู่ควรกัน จริงสิ ข้ายังบอกกับพวกแม่สื่อด้วยว่าในบ้านยังมีบุตรสาวที่ยังมิได้ออกเรือนอีกสองคน ถ้าพวกนางมีคุณชายที่เหมาะสมก็ให้ช่วยดูตัวให้พวกเจ้าด้วย”
ครั้นเซิ่งเซียงหลันได้ยินวาจานี้ก็ร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย ถลึงตาพร้อมกับกลั้นลมหายใจเฮือกใหญ่ แล้วถึงค่อยเปิดปากพูดว่า “ท่านอาหญิง บ้านท่านสถานการณ์เป็นเช่นนี้…การแต่งงานของพี่เต๋อฉิงก็ไม่ราบรื่นมากอยู่แล้ว หากแต่งหญิงสาวที่ไม่รู้จักพื้นเพกันเข้าจวน ถ้านางนิสัยร้ายกาจไปสักหน่อยจะไม่หาเรื่องให้ท่านโมโหแย่หรือเจ้าคะ จากที่ข้าเห็นสู้หาคนที่รู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังกันดี ไม่รังเกียจที่ท่านหย่าร้างกับสามี ทั้งยังยกย่องกตัญญูท่านยังจะดีเสียกว่าอีก”
พอเซิ่งกุ้ยเหนียงได้ยินคำพูดนี้ก็รู้ว่าตนเองคาดเดาเอาไว้ไม่มีผิด เซิ่งเซียงหลันผู้นี้พุ่งเป้าหมายมาที่บุตรชายของตนเองจริงๆ ด้วย
ดังนั้นนางจึงข่มกลั้นความโกรธเคืองเอาไว้ เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ข้ามิใช่เฉิงเผยเหนียนผู้นั้นเสียหน่อย ที่เอาแต่คิดจะเกี่ยวดองให้แน่นแฟ้นยิ่งๆ ขึ้นไปอันใดนั่น รู้พื้นเพกันดีแล้วมีประโยชน์อันใด ในบรรดาคุณหนูที่ข้ารู้จักไม่มีใครคู่ควรกับเทียนฟู่สักคน เขาอนาคตสดใสยาวไกล ทั้งยังมีวิชาความรู้ อย่างไรข้าก็ต้องหาคุณหนูจากตระกูลบัณฑิตที่มีความรู้ใกล้เคียงกับเขากระมัง! เต๋อฉิงญาติผู้พี่เจ้าก็ออกเรือนอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือไปแล้ว ข้าคงจะให้ญาติผู้พี่เจ้าลักลอบสัญญาหมั้นหมายกับผู้อื่นอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่งสะใภ้ที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามาอีกคนไม่ได้กระมัง อย่างน้อยก็ต้องเป็นตระกูลขุนนาง พ่อตาแม่ยายต้องฉลาดมีเหตุผล…”
เซิ่งเซียงหลันกระวนกระวายอยากจะพูดอันใดบางอย่างอีก แต่กลับถูกหลิ่วจือหว่านเตะเข้าที่ใต้โต๊ะหนึ่งที
ที่หลิ่วจือหว่านเตะใส่เซิ่งเซียงหลันเพราะทนดูนางสร้างเรื่องขายหน้าไม่ได้จริงๆ
คนที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ อย่างนางยังเข้าใจเลยว่าความหมายแฝงในถ้อยคำของท่านอาหญิงก็คือไม่ปรารถนาให้หญิงสาวสกุลเซิ่งไปวุ่นวายรบกวนญาติผู้พี่ หากเซิ่งเซียงหลันพูดอันใดออกไปอีกก็เท่ากับหาเรื่องให้ตนเองอับอายขายหน้าเสียเปล่าๆ
เฉิงเต๋อฉิงฟังจนเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟอยู่อีกด้าน ปาตะกร้าทิ้งแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ นี่ท่านไม่ชอบใจหยวนกวงต๋าใช่หรือไม่ ถึงได้ต้องพูดเสียดสีเหน็บแนมเช่นนี้!”
เซิ่งกุ้ยเหนียงเพิ่งตระหนักว่าเมื่อครู่เผลอพูดจาทำร้ายบุตรสาวเข้า จึงโต้แย้งกับบุตรสาวไปสองสามประโยค สุดท้ายสองแม่ลูกก็ทะเลาะถกเถียงกันขึ้นมา
หลิ่วจือหว่านจึงฉวยโอกาสดึงมือเซิ่งเซียงหลันเดินออกไป