บทที่ 26-3 น้ำแกงบำรุง
ในวันนี้หลิ่วจือหว่านกำลังเตรียมจะออกจากจวนไปดูเรือขนสินค้าส่งมอบของที่ท่าเรือ เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูกลับพบว่าญาติผู้พี่ยังมิได้ไปที่ทำการ แต่ว่ายืนอยู่หน้าประตูจวนสกุลเซิ่ง ท่าทางดูเหมือนกำลังรอใครอยู่
เขาสวมใส่ชุดคลุมตัวยาวสีดำ เกี้ยวทองเข็มขัดหยก ชวนให้คนมิอาจละสายตามองข้ามได้
หลิ่วจือหว่านคารวะญาติผู้พี่ หลังจากนั้นก็เอ่ยปากถามว่า “เหตุใดญาติผู้พี่ยังไม่ไปอีกเล่าเจ้าคะ”
เฉิงเทียนฟู่ช้อนสายตามองดูญาติผู้น้องที่มิได้พบเจอมาหลายวันผู้นี้
วันนี้หลิ่วจือหว่านจะออกไปข้างนอก แม้ว่าชุดที่สวมใส่จะมิใช่เสื้อผ้าอาภรณ์หรูหราวิจิตรตระการตา แต่ก็ได้แต่งเนื้อแต่งตัวเล็กน้อยเช่นกัน นางมวยผมเกล้าขึ้นสูง เผยให้เห็นหน้าผากขาวสะอาด วาดคิ้วเรียวบาง แต้มชาดลงบนริมฝีปากเล็กน้อย ถึงแม้จะปักเพียงปิ่นปักผมไข่มุกแค่อันเดียว แต่กลับดูแล้วสะอาดสะอ้านงดงามเรียบหรู
พอเฉิงเทียนฟู่เห็นนางก็คิดในใจว่ามิน่าฟางเยี่ยนสหายร่วมสำนักของเขาที่เป็นคนซื่อๆ เรียบร้อยตลอดมาพอเห็นนางแค่แวบแรกก็ลืมขนบธรรมเนียมไปเสียหมดสิ้น…
หลังจากเขาชะงักนิ่งไปชั่วครู่ก็พูดขึ้นว่า “ข้าเองก็กำลังเตรียมไปจัดการกิจของราชสำนักที่ท่าเรือเช่นกัน ได้ยินท่านป้าสะใภ้บอกว่าเจ้าจะไปที่นั่น ข้าไปทางเดียวกับเจ้าพอดี ระหว่างทางจะได้ไม่เกิดเหตุร้ายอันใดขึ้นอีก”
เดิมหลิ่วจือหว่านคิดจะปฏิเสธกลับไป แต่พอคิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้เป็นยามกลางวัน ซ้ำก็มิได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง และยังไปทางเดียวกันพอดิบพอดี หากปฏิเสธความปรารถนาดีของญาติผู้พี่ก็ออกจะดูจงใจมากไป ดังนั้นนางจึงแย้มยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าตอบตกลง จากนั้นก็ขึ้นรถม้าไป
ส่วนเฉิงเทียนฟู่ก็พลิกกายขึ้นหลังอาชาของตนเองเช่นกัน
จนกระทั่งออกนอกเมืองมาอยู่บนทางหลวงแล้ว เฉิงเทียนฟู่ก็มิได้รีบร้อนควบตะบึงอาชา แต่กลับขี่อาชาเดินไปช้าๆ อยู่ข้างรถม้าแทน
หลังจากเดินไปอย่างเงียบเชียบเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็เปิดปากถามขึ้นมาว่า “ดูเหมือนระยะนี้ญาติผู้น้องจะไม่ค่อยมาที่ห้องหนังสือสักเท่าใด ทั้งยังไม่ยกน้ำแกงมาให้ข้าแล้วด้วย”
หลิ่วจือหว่านเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น มองดูญาติผู้พี่พลางเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ญาติผู้พี่บอกกับเซียงหลันว่าไม่ชอบดื่มน้ำแกงที่มีกลิ่นยาสมุนไพรมิใช่หรือเจ้าคะ ข้าคิดว่าก่อนหน้านี้ท่านต้องดื่มเยอะเกินไปแน่ๆ อาจจะรู้สึกเลี่ยนอยู่บ้าง ข้าเลยสั่งให้ห้องครัวเล็กหยุดเคี่ยวน้ำแกงบำรุงแล้ว ถ้าหากญาติผู้พี่อยากดื่ม เช่นนั้นข้าจะเอาสูตรให้กับท่านอาหญิงก็แล้วกันเจ้าค่ะ เพราะอย่างไรเรือนก็อยู่ห่างกัน ตอนยกน้ำแกงจากจวนสกุลเซิ่งไปที่เรือนท่านก็อาจเย็นชืดได้อย่างยากจะหลีกเลี่ยง ให้ท่านอาหญิงสั่งแม่ครัวในเรือนพวกท่านเคี่ยวให้ท่านจะดีกว่านะเจ้าคะ”
เฉิงเทียนฟู่มองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปอย่างเย็นชาเล็กน้อย จ้องมองตรงไปยังเบื้องหน้า
ครั้นหลิ่วจือหว่านเห็นว่าญาติผู้พี่ไม่เอ่ยวาจาอีกก็ปล่อยผ้าม่านลง แล้วหยิบม้วนหนังสือขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เตรียมจะอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ สักพัก
แต่ไปได้แค่ไม่กี่ก้าว จู่ๆ รถม้าก็โคลงเคลงขึ้นมา หลังจากนั้นก็หยุดนิ่งลง
เมื่อหลิ่วจือหว่านยื่นศีรษะออกไปดูอีกครั้งถึงได้พบว่ารถม้าของนางถูกบ่าวรับใช้ของญาติผู้พี่พาขึ้นมาบนทางลาดเอียงซึ่งอยู่อีกด้าน ต่อมาก็ขึ้นมาบนเนินลาดชันแห่งหนึ่ง
“ญาติผู้พี่ นี่ท่านจะพาข้าไปที่ใดหรือ” นางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
เฉิงเทียนฟู่พลิกกายลงจากหลังอาชา หลังจากนั้นก็เดินมาด้านหน้ารถม้า เอ่ยกับนางว่า “หลายวันก่อนบังเอิญเจอว่าด้านล่างเนินนี้เป็นทุ่งบุปผาธรรมชาติ ช่วงก่อนหน้านี้เจ้าหมกตัวอยู่แต่ในจวนมานานเกินไป มาเดินเล่นผ่อนคลายที่นี่หน่อยดีกว่า”
พอได้ยินญาติผู้พี่พูดเช่นนี้หลิ่วจือหว่านก็จำต้องลงจากรถม้า เมื่อขึ้นเนินลาดชันไปแล้วทอดมองลงไปเบื้องล่างก็พบว่าเป็นทุ่งบุปผาอันกว้างไกล