เห็นเพียงทุ่งบุปผาสีทองอร่ามตาผืนหนึ่งทอดยาวไปจนถึงริมแม่น้ำซึ่งอยู่ไกลลิบออกไป แม้ว่าด้านในจะแซมด้วยบุปผาสีอื่น ทว่าสีทองช่างแสนโดดเด่นสะดุดสายตา กลบทับสีอื่นๆ ไปจนมิด ก่อเกิดเป็นทะเลสีทองอันกว้างใหญ่ไพศาลภายใต้แสงตะวัน
หลิ่วจือหว่านตะลึงมองไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่าข้างๆ ทางหลวงที่ตนเองสัญจรไปมาอยู่เป็นประจำจะมีทิวทัศน์ที่งดงามน่าหลงใหลเช่นนี้
เฉิงเทียนฟู่ย่อตัวลงเด็ดบุปผาที่กำลังบานสะพรั่งดอกหนึ่งมา จากนั้นก็ยื่นมือส่งให้กับหลิ่วจือหว่าน ให้นางทัดลงบนมวยผม เส้นผมของนางเกล้ามวยอย่างสวยงามน่ามองยิ่ง แต่น่าเสียดายที่มีเพียงปิ่นมุกแค่อันเดียว จึงแลดูจืดชืดไปเสียหน่อย
ตอนที่หลิ่วจือหว่านยังเด็ก เฉิงเทียนฟู่ก็อยากจะซื้อข้าวของจำพวกเครื่องประดับปิ่นปักผมให้นางยิ่ง ในเมื่อข้างกายมีญาติผู้น้องรูปโฉมสะสวยงดงาม ก็ปรารถนาจะจับนางแต่งเนื้อแต่งตัวให้สวยงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ
หลิ่วจือหว่านยื่นมือออกไปอยากจะรับบุปผาดอกนั้น แต่เมื่อเห็นว่าญาติผู้พี่กำลังยิ้มบางๆ ให้ตนเอง นางกลับรู้สึกลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อย
ญาติผู้พี่รูปโฉมดูดี เป็นรูปลักษณ์ที่หล่อเหลางดงามอย่างไร้ที่ติ แม้ว่าปกติจะเอาแต่ทำหน้าเย็นชา แต่ยามใดที่เขายินยอมแสดงความนุ่มนวลอ่อนโยนออกมา ทุกสีหน้าทุกอากัปกิริยาล้วนแต่แฝงด้วยเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาดทั้งสิ้น
เซิ่งเซียงหลันเคยแอบเล่าให้ฟังว่ายามญาติผู้พี่ไปปรากฏตัวในงานเลี้ยง คุณหนูเหล่านั้นล้วนแต่จ้องมองเขาไม่วางตา อีกนิดเดียวน้ำลายก็จะไหลออกมาจากปากแล้ว
เมื่อก่อนหลิ่วจือหว่านอายุยังน้อยเลยไม่ได้รู้สึกอันใด
แต่หลังแยกจากกันมาสามปี บัดนี้ได้มาพบกับญาติผู้พี่อีกครา นางรู้สึกว่าตนเองดูเหมือนจะสามารถพิจารณาความดีแย่ของรูปโฉมบุรุษเป็นแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นในตอนนี้ ชายหนุ่มเยาว์วัยรูปร่างสูงใหญ่งามสง่าหยิบบุปผาด้วยนิ้วเรียว แขนยาวเหยียดออกมา คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ ยามเขามองนางก็เกิดรอยยิ้มที่ดวงตา หลิ่วจือหว่านรู้สึกใจเต้นรัวเร็วขึ้นมาเล็กน้อย
มิน่าทุกคราที่เซิ่งเซียงหลันเจอคุณชายหน้าตาหล่อเหลาต้องมองดูอย่างเคลิบเคลิ้มหลงใหล เล่าให้พวกนางฟังอย่างออกรสออกชาติว่าคุณชายเหล่านั้นมีกิริยาท่วงท่าและรูปลักษณ์แตกต่างกันอย่างไร
หากบุรุษรูปงามที่หล่อเหลาองอาจเหนือสามัญอย่างญาติผู้พี่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าบ่อยๆ ยิ่งชวนให้คนเกิดความรู้สึกน้ำลายสอได้มากกว่าอาหารโอชะอย่างขาหมูแก้ว ปลาราดน้ำตาลดอกกุ้ย* เสียอีก
ยามนี้หลิ่วจือหว่านเหมือนกับเพิ่งจะเข้าใจกระจ่าง แต่ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่งอย่างเซื่องซึม
ตอนนี้นางไม่ขาดแคลนเงินทอง หากยอมหักใจจ่ายเงิน นางก็สามารถไปกินขาหมูทุกมื้อได้ แต่สำหรับนางแล้วบุรุษรูปงามอย่างญาติผู้พี่ยังคงเป็นสิ่งล้ำค่าที่ทำได้แค่มองอยู่ไกลๆ อย่างสงบเสงี่ยม แต่มิอาจเข้าใกล้ได้อยู่ดี
พอนึกถึงคำย้ำเตือนอย่างหนักแน่นของท่านอาหญิงเมื่อวันนั้น หลิ่วจือหว่านก็ตัดสินใจกลืนน้ำลายเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวกับญาติผู้พี่ด้วยสีหน้าจริงจังว่า
“ข้ามิใช่เด็กน้อย คิดแต่จะเล่นสนุกเสียหน่อย ดอกไม้นี้…ไม่เข้ากับชุดกระโปรงของข้า ทัดไปก็จะถูกคนหัวเราะเยาะ…เวลาเริ่มสายแล้ว หากญาติผู้พี่ไม่มีธุระอื่นใด พวกเรารีบเร่งเดินทางหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
หลายวันมานี้เฉิงเทียนฟู่ไม่เห็นนางมาที่ห้องหนังสือจึงพลันเอ่ยถามกับชิงเยี่ยน ชิงเยี่ยนเลยพลั้งปากพูดออกมาประโยคหนึ่ง ‘ท่านไม่ให้คุณหนูใหญ่ออกไปข้างนอก นางคงมิได้โกรธเคืองอยู่ในใจกระมัง’
คำพูดประโยคนี้กลับเตือนสติเฉิงเทียนฟู่ขึ้นมา เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่านางไม่ได้ออกไปข้างนอกกับพวกเซิ่งเซียงหลันมาพักใหญ่แล้วจริงๆ
ดังนั้นวันนี้เขาคิดว่าหลิ่วจือหว่านอุดอู้อยู่แต่ในจวนมาตลอด จึงคิดจะพานางออกมาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์เสียบ้าง
แต่หากเขาเชิญชวนญาติผู้น้องไปโดยให้เหตุผลว่าเป็นการท่องเที่ยว ก็ต้องพาพวกเฉิงเต๋อฉิงกับเซิ่งเซียงหลันไปด้วยอย่างเท่าเทียมกันโดยมิอาจเลี่ยง
น้องสาวแท้ๆ ของตนเองยังไม่เท่าใด แต่ญาติผู้น้องเซิ่งเซียงหลันออกจะเสียงดังโวยวายไปหน่อย ดังนั้นเฉิงเทียนฟู่จึงตัดสินใจพานางมาเที่ยวเล่นคลายเครียดที่ทุ่งบุปผาแห่งนี้ขณะที่คุ้มกันหลิ่วจือหว่านไปยังท่าเรือแทน
ตอนขามาเขายังให้ชิงเยี่ยนเตรียมกล่องอาหารเอาไว้ ด้านในมีเนื้อตุ๋นน้ำแดงและไก่อบเกาลัดที่ซื้อมาจากร้านเต๋อซั่ว อาหารสองอย่างนี้หลิ่วจือหว่านเคยพูดให้เฉิงเต๋อฉิงฟังตอนที่คุยเล่นกันอยู่ในสวนดอกไม้เมื่อหลายวันก่อน
เขาบังเอิญเดินผ่านไปพอดี จึงหยุดฟังอยู่หลังพุ่มไม้ครู่หนึ่ง นางหนูนั่นพูดไปพร้อมกับเหมือนจะกลืนน้ำลายไป