บทที่ 38-1 ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็ง
หลิ่วจือหว่านเห็นว่านางเหมือนจะไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ จึงแย้มยิ้มพร้อมกับจ่ายเงิน แล้วเดินออกมาจากแผงพร้อมกับเฉิงเทียนฟู่ หลังจากนั้นก็เอ่ยถามเฉิงเทียนฟู่ว่า “ญาติผู้พี่ คนร่วมบ้านหมายความว่าอย่างไรหรือ”
เนื่องจากเฉิงเทียนฟู่กำลังตรวจสอบคดีอุบัติเหตุที่บ่อเกลือเมื่อหลายปีก่อนอยู่ จึงรู้ว่าสตรีผู้นั้นเป็นหญิงม่าย แค่นึกว่านางหาบุรุษคนใหม่ได้แล้ว ส่วนถ้อยคำภาษาถิ่นที่เข้าใจกันเฉพาะในชนบทนี้เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นยังคิดไม่ถึงว่าชาวบ้านในแถบชวนจงจะเปิดกว้างถึงเพียงนี้ พี่สาวผู้นั้นถึงกับแนะนำชู้รักของตนเองอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง จึงเอ่ยตอบไปเรื่อยเปื่อยว่า “คงจะหมายถึงสามีภรรยาที่ยังมิได้แต่งงานกัน…ก็เหมือนกับเจ้าและข้า”
หลิ่วจือหว่านถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง “ข้าพูดตั้งแต่เมื่อใดว่าจะแต่งให้ท่าน”
เฉิงเทียนฟู่กล่าว “เจ้ายืนกรานจะอยู่ที่นี่ อย่างไรก็ต้องมีฐานะสักอย่างสิ ข้าเขียนจดหมายหาท่านยายอธิบายเรื่องของพวกเราแล้ว บอกท่านยายว่าหลังจากกลับไปแล้วก็จะแต่งงานกับเจ้า”
หลิ่วจือหว่านตื่นตระหนกยิ่ง เอ่ยอย่างกระวนกระวายใจว่า “ทะ…ท่านตัดสินใจเอาเองได้อย่างไร ท่านทำเช่นนี้…ก็เหมือนข้าแอบหนีมาเพื่อบีบบังคับให้ท่านแต่งข้าเป็นภรรยาน่ะสิ พอถึงตอนนั้นท่านอาหญิงจะไม่โมโหตายหรือ เร็วเข้า! ท่านรีบสกัดคนส่งจดหมายให้ข้าเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าคะ!”
แต่เฉิงเทียนฟู่กลับไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่ครึ่งก้าว เขาเพียงแต่หลุบตาลง ดวงตานั้นผุดประกายเย็นยะเยือกพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ายังไม่ยอมแต่งให้ข้าอีกหรือ”
หลิ่วจือหว่านร้อนใจแล้วจริงๆ “ถึงแม้ยอมแต่งให้ท่าน ก็ต้องรอให้กลับถึงเมืองหลวงก่อนแล้วค่อยๆ ปรึกษาหารือกันไป…”
นี่เป็นคำพูดที่ใกล้เคียงกับคำว่าตกลงจะแต่งกับเขามากที่สุดที่เฉิงเทียนฟู่ได้ยินมา ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งผนึกด้วยน้ำแข็งหนาวเหน็บจึงเริ่มหลอมละลายในทันที
หลิ่วจือหว่านเห็นว่าเขาไม่ขยับจึงรีบเร่งเร้าให้เขาไปสกัดจดหมายเอาไว้ แต่เขากลับคลี่ยิ้มพลางกุมมือของนางแล้วเอ่ยว่า “ข้ายังไม่ได้เขียนจดหมายเลย แล้วจะสกัดได้อย่างไร”
ตอนนี้หลิ่วจือหว่านถึงได้รู้ว่าเขากำลังหลอกนางอยู่ นางโกรธเกรี้ยวจนสะบัดมือเขาออก แต่น่าเสียดายที่มือของเขามีแรงเยอะเกินไป สะบัดอย่างไรก็สะบัดไม่ออก
“เอาล่ะ เลิกโกรธได้แล้ว ข้าจะบอกท่านยายว่าหลังจากเจ้ามาถึงที่นี่ก็โดนลมหนาวจนจับไข้เข้า เพื่อไม่ให้เจ้านั่งรถม้าโคลงเคลง และเพื่อป้องกันมิให้เด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดขึ้นระหว่างทาง ข้าจะพาเจ้ากลับไปพร้อมกันตอนกลับเมืองหลวงเพื่อไปเยี่ยมญาติช่วงวันปีใหม่ เจ้าว่าเช่นนี้ใช้ได้หรือไม่”
ครั้นหลิ่วจือหว่านได้ยินเฉิงเทียนฟู่พูดเช่นนี้ถึงค่อยพยักหน้าอย่างช้าๆ
ยามนี้ไม่มีข้ออ้างที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ส่วนเรื่องหลังจากกลับไปแล้ว หากท่านย่าโมโห นางจะลงโทษตนเองก็แล้วกัน เพราะนางเองก็ทำให้ท่านย่าไม่สบายใจ ถูกดุด่าทุบตีก็สมควรแล้ว
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไปหาพ่อค้าบ้านที่เป็นนายหน้าซื้อขายบ้านในอำเภอเพื่อเลือกดูบ้านที่ต้องการจะซื้อ
ตอนที่พ่อค้าบ้านเห็นเด็กสาวงามพริ้มเพราข้างกายนายอำเภอเฉิงก็เอ่ยถามใต้เท้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าแม่นางผู้นี้เป็นอันใดกับเขา
เฉิงเทียนฟู่เอ่ยด้วยภาษาถิ่นที่เรียนรู้มาจากผู้อื่นอย่างหน้าตาเฉยว่า “เป็นคนร่วมบ้านของข้า”
ในเมื่อเขายอมให้นางอยู่ด้วยก็ย่อมมิอาจให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ได้ จึงอธิบายชัดเจนว่าญาติผู้น้องห่างๆ คนนี้เป็นคู่หมั้นของตนเอง จะได้ลดคำซุบซิบนินทาตามละแวกใกล้เคียงด้วยเช่นกัน
พ่อค้าบ้านผู้นั้นนึกไม่ถึงว่านายอำเภอหนุ่มผู้นี้ในด้านความสัมพันธ์ชายหญิงจะทำตัวกลมกลืนกับคนในพื้นที่ได้ดีเช่นนี้ เพิ่งมารับตำแหน่งได้ไม่นานก็มีคนร่วมบ้านแล้ว เป็นคะ…คนหนุ่มช่างเปี่ยมกำลังวังชาจริงๆ!
เขามองดูนายอำเภอด้วยสีหน้าอิจฉา ต่อมาก็มองประเมินสตรีงามแฉล้มผู้นี้อย่างแฝงเจตนาไม่ดี
แต่พอคิดๆ แล้วก็ถูก สตรีที่ขุนนางซึ่งมาจากต่างถิ่นเหล่านี้พามาด้วยส่วนมากล้วนมิใช่ภรรยาเอก แต่เป็นพวกอนุภรรยามากกว่า
ดูจากความชมชอบของนายอำเภอที่จับมือของเด็กสาวเอาไว้ไม่ยอมปล่อย คงจะเพิ่งได้มาครองไม่นาน กำลังหลงใหลเชียวล่ะ!
มิน่านายอำเภอเฉิงถึงได้รีบร้อนอยากจะซื้อบ้านให้นางจนทนรอไม่ไหว นี่กะจะรีบรับอนุเข้าบ้านสินะ!
พ่อค้าบ้านกระตือรือร้นขึ้นมาทันที พ่อค้าเกลือที่นี่มีคนซื้อคฤหาสน์ให้อนุภรรยา อนุนอกเรือนไม่น้อย แต่ละคนล้วนแสร้งทำเป็นอวดร่ำอวดรวยต่อหน้าสตรี ทุกครั้งเขาล้วนสามารถทำกำไรได้ก้อนโต