เฉิงเทียนฟู่ยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดินอย่างเอ้อระเหยลอยชาย นิ้วมือยาวเขี่ยกรงนกเปล่าๆ ซึ่งแขวนอยู่ใต้ชายคาเล่น เอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “นี่เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่หรือ ก็ต้องเอาผิดในโทษฐานหลอกลวงน่ะสิ หลังจากโดนโบยแล้วก็ค่อยให้บทเรียนเขาอย่างสาสม ให้เขาไม่มีหนทางทำมาหากินที่อำเภอก้งเซี่ยนได้อีก ให้เขารู้ความร้ายแรงของการล่วงเกินขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในท้องที่เสียบ้าง!”
พ่อค้าบ้านถูกคำเรียก ‘ญาติผู้พี่’ ของหลิ่วจือหว่านทำเอาฉงนงงงวยไป เอ่ยด้วยท่าทางตะลึงงันจนอ้าปากค้าง “ทะ…ท่านไม่ใช่อนุนอกเรือนของนายอำเภอเฉิง?”
เฉิงเทียนฟู่เลิกคิ้วเอ่ย “บอกแล้วมิใช่หรือว่านางเป็น ‘คนร่วมบ้าน’ ของข้า”
แต่ในขณะที่รอให้นายอำเภอเฉิงเข้าใจว่าความนัยของ ‘คนร่วมบ้าน’ คือความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่คลุมเครือไม่ชัดเจน หาใช่ความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยาที่ยังมิได้แต่งงานกันไม่ พ่อค้าบ้านก็ร้องโวยวายขอความเป็นธรรม กระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความหงุดหงิดใจพร้อมเอ่ยว่า “นายอำเภอเฉิง คำนี้ไม่ได้ใช้กันเช่นนี้เสียหน่อย ชะ…เช่นนี้…เท่ากับท่านร่วมมือกับคู่หมั้นของท่านวางแผนหลอกข้ามิใช่หรือ”
เฉิงเทียนฟู่แค่นเสียงอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “จริงสิ เจ้ายังดูหมิ่นว่าญาติผู้น้องของข้าเป็นอนุนอกเรือน ความผิดฐานใส่ร้ายป้ายสีเช่นนี้ยังต้องเพิ่มโทษตบปากอีกยี่สิบที!”
ต่อให้เป็นนายอำเภอที่ขี้ขลาดไร้ความสามารถเพียงไร แต่การลงโทษชาวบ้านธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง
พ่อค้าบ้านดวงซวยผู้นี้ถูกนายอำเภอเฉิงจับจุดอ่อนได้คาหนังคาเขา จะไม่ยอมรับในความเคราะห์ร้ายก็มิได้ สุดท้ายจึงได้แต่ยอมรับผิดจากใจจริงด้วยสีหน้าประจบประแจง จนแล้วจนรอดก็ขายบ้านให้กับนายอำเภอเฉิงในราคาที่ต่ำยิ่ง
หลิ่วจือหว่านพอใจกับเรือนหลังน้อยที่เฉิงเทียนฟู่ซื้อแห่งนี้เป็นอย่างมาก
ตอนที่นางอดอยากหิวโหยเป็นสะใภ้เด็กให้คนอื่นอยู่ในชนบทก็เคยวาดฝันว่าวันใดวันหนึ่งหลังจากตนเองหนีออกไปได้แล้วก็อยากจะมีเรือนเป็นของตนเองสักหลัง
ในเรือนมีห้องกว้างขวางสะอาดสะอ้านสักสองสามห้อง นอกจากนั้นยังมีพื้นที่ว่างเอาไว้ปลูกผักผลไม้ ตนเองอยากปลูกสิ่งใดก็ปลูกสิ่งนั้น ต่อมาก็เลี้ยงไก่และเป็ดจำนวนหนึ่ง ได้กินไข่ไก่สดใหม่ทุกวัน
เพียงแต่ต่อมาหลังจากนางเข้ามาอยู่ในสกุลเซิ่งก็ไม่ค่อยจะได้คิดถึงความฝันที่สุดแสนจะธรรมดานี้อีก นึกไม่ถึงว่านางกลับสามารถทำความฝันเมื่อครั้งวัยเยาว์ให้เป็นจริงได้ในอำเภอเล็กๆ ที่แถบชวนจง
หลังจากนางเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้เฉิงเทียนฟู่ฟัง คืนวันนั้นตอนที่เฉิงเทียนฟู่กลับมาเขาได้ถือตะกร้าไม้ไผ่เล็กๆ มาด้วยใบหนึ่ง หลิ่วจือหว่านยื่นศีรษะมองเข้าไปข้างในพบว่ามีแม่ไก่ตัวหนึ่งพร้อมด้วยลูกเจี๊ยบขนปุกปุยตัวอ้วนกลมอีกสิบกว่าตัว
หลิ่วจือหว่านจับขึ้นมาตัวหนึ่ง มองดูดวงตากลมโตสีดำของลูกเจี๊ยบ ชอบอกชอบใจเป็นหนักหนา
เฉิงเทียนฟู่บอกว่าไก่ที่เขาเอามาเป็นไก่ขาสั้นซึ่งมีถิ่นกำเนิดเฉพาะในท้องที่แห่งนี้เท่านั้น หลังจากโตขึ้นเนื้อไก่จะสดอร่อยยิ่ง
หลิ่วจือหว่านได้ฟังแล้วก็รีบขยับตะกร้าไม้ไผ่หนีโดยเร็ว บอกเขาว่าอย่าขู่ให้พวกไก่ของนางเสียขวัญ ไม่อย่างนั้นจะทำให้พวกลูกเจี๊ยบรู้ตัวว่าอนาคตข้างหน้าไร้สิ้นความหวัง ไม่ยอมเติบโตให้เต็มที่
พอมีไก่แล้วในลานบ้านก็มีความคึกคักขึ้นมาทันที เพียงแต่ตอนเดินจะต้องระมัดระวังหน่อย ไม่แน่อาจจะมีลูกเจี๊ยบขนปุยที่ออกมาหาอาหารโผล่พรวดออกมาก็ได้
ส่วนแปลงผักในลานบ้านนั้นไม่นานหลิ่วจือหว่านก็ย้ายต้นกล้าเข้ามาปลูก นอกจากพืชผักจำพวกหัวไช้เท้าผักโขมที่หาได้ทั่วไปในช่วงเหมันตฤดูของชวนจงแล้ว จะขาดพริกชาที่แถบชวนจงต้องมีทุกบ้านไปไม่ได้
ผักดองที่นี่อร่อยยิ่ง หลิ่วจือหว่านจึงซื้อไหผักดองมาหลายใบ จากนั้นก็เรียนวิธีทำผักดองจากหญิงชราที่จ้างมาช่วยงานจิปาถะ แล้วดองผักเอาไว้บางส่วน
หลิ่วจือหว่านยังพบว่าเกลือที่หญิงชรารับใช้เอามาใช้ทำผักดองมิใช่เกลือบ่อจากในท้องที่ แต่เป็นเกลือทะเลที่หยาบกระด้างกว่าเล็กน้อย
นางเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ หญิงชรารับใช้ผู้นั้นตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เกลือบ่อในท้องถิ่นของพวกเรานั้นเอร็ดอร่อย ใช้ทำอาหารเลิศรสเป็นที่สุด แต่ถึงแม้จะเป็นเกลือที่ผลิตขึ้นในท้องถิ่น ทว่าคนยากคนจนก็ยังต้องประหยัดอดออม อย่างเช่นเวลาทำผักดองก็จะไม่ใช้เกลือละเอียด แต่จะใช้เกลือทะเลหยาบๆ ที่ราคาถูกกว่าเล็กน้อย เวลาใช้แล้วจะได้ไม่เจ็บปวดใจเพราะราคาแพงเจ้าค่ะ”
หลิ่วจือหว่านพยักหน้า หยิบเกลือทะเลเม็ดหนึ่งขึ้นมาชิม หลังจากเอาเข้าปากนอกจากรสเค็มปร่าแล้วยังมีรสขมเฝื่อนอย่างบอกไม่ถูก ยามเข้าปากแล้วมิได้รสชาติโอชาละเอียดอ่อนเหมือนอย่างเกลือบ่อในอำเภอก้งเซี่ยนจริงๆ ไม่แปลกที่อำเภอก้งเซี่ยนสามารถเป็นผู้ผลิตรายใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ยึดครองตลาดค้าเกลือในแคว้นไปมากกว่าครึ่ง