บทที่ 38-2 ไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็ง
หลังจากหลิ่วจือหว่านทำความสะอาดเรือนหลังน้อยจนสะอาดเอี่ยมอ่องแล้ว เฉิงเทียนฟู่ก็สั่งให้คนย้ายสัมภาระของเขาเข้ามาอาศัยอยู่ในเรือนด้วยเช่นกัน
มิใช่เพราะเขาไม่ทะนุถนอมชื่อเสียงของหลิ่วจือหว่าน แต่เพราะสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลายรูปแบบ หากเขาไม่เฝ้าคุ้มครองอยู่ข้างกายหวานหว่านก็ไม่อาจวางใจได้
ยามเที่ยงในแต่ละวันเขาล้วนต้องรีบกลับมากินข้าวที่เรือน แต่พอหลิ่วจือหว่านเห็นว่าบางครั้งตอนอีกฝ่ายมีงานยุ่งขึ้นมาก็ถึงขั้นไม่มีเวลากินข้าวกลางวันด้วยซ้ำ นางจึงทำอาหารไว้ให้ตั้งแต่เช้าตรู่แล้วนำไปส่งให้ญาติผู้พี่ซึ่งอยู่ในที่ทำการ เขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางกลับไปกลับมา
แม้อำเภอก้งเซี่ยนจะมีอาหารเลิศรสมากมาย แต่สำหรับคนที่มาจากทางเหนือแล้ว ท่ามกลางการรายล้อมไปด้วยอาหารรสชาติเผ็ดร้อน บางครั้งก็อยากจะกินอาหารบ้านเกิดเพื่อปลอบประโลมจิตใจบ้างเช่นกัน
สถานที่แห่งนี้มิใช่เมืองหลวง อีกทั้งหลิ่วจือหว่านก็บอกกับคนนอกว่าตนเองแซ่เฉียน เป็นญาติผู้น้องห่างๆ ของเฉิงเทียนฟู่ เพราะหากนางปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วยฐานะคุณหนูใหญ่สกุลเซิ่งคงจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก
แต่สำหรับคนในพื้นที่ นางถือเป็นสตรีในครอบครัวของนายอำเภอเฉิงแล้ว
นิสัยของผู้คนในท้องที่นั้นห้าวหาญทว่าใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริง ชายหญิงที่มาจับคู่ใช้ชีวิตทำมาหากินอยู่ด้วยกันมีมากมายถมเถ ยิ่งไม่มีใครสนใจจะไปขุดคุ้ยประวัติของญาติผู้น้องแซ่เฉียนของนายอำเภอเฉิงผู้นี้
ในแต่ละวันหลังจากหลิ่วจือหว่านตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามืดก็จะพาจิ้นเป่าและสาวใช้อีกสองคนไปทำไร่ทำสวน รวมถึงให้อาหารไก่ ต่อจากนั้นก็ออกไปเดินตลาด ซื้อข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านเพิ่มเติม ตอนเที่ยงก็ต้องเอาข้าวไปส่งให้ญาติผู้พี่ ทำให้ระยะเวลาช่วงแรกที่เพิ่งมาถึงอำเภอก้งเซี่ยนผ่านไปอย่างเร่งรีบมากทีเดียว
ทว่าทุกการเคลื่อนไหวของนายอำเภอเฉิงผู้นี้ย่อมมีคนจำนวนมากให้ความสนใจ โดยเฉพาะการที่เขาซื้อเรือนในอำเภอ ซ้ำยังมีสาวงามชดช้อยคนหนึ่งมาอยู่ด้วย ดูท่าทีเหมือนว่าจะปักหลักอยู่ที่นี่ในระยะยาว จึงเป็นธรรมดาที่จะมีคนสืบหาที่มาที่ไปของสตรีของเขา
พ่อค้าบ้านผู้นั้นเนื่องจากไม่ได้กำไรก้อนโต ในใจจึงโกรธแค้นเด็กสาวจอมเจ้าเล่ห์ผู้นั้นเช่นกัน ดังนั้นปากกับใจจึงไม่ซื่อตรง บอกแค่ว่าสตรีแซ่เฉียนผู้นั้นคงจะเป็นชู้รักของนายอำเภอเฉิงอันใดทำนองนั้น
เรื่องที่นายอำเภอเฉิงผู้นี้เลี้ยงดูอนุนอกเรือนไว้ที่อำเภอก้งเซี่ยนแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ลือไปถึงหูของเยวี่ยขุยหัวหน้าสมาคมกิจการค้าเกลือ
ในตอนนั้นเขากำลังอ่านจดหมายลับซึ่งส่งมาจากเมืองหลวงอยู่พอดี หลังจากอ่านจบริมฝีปากก็เผยรอยยิ้มนึกสนุกออกมาเสี้ยวหนึ่ง
เยวี่ยเต๋อเหวยบุตรชายคนรองของเขายื่นสมุดบัญชีที่สะสางเรียบร้อยแล้วมาให้ ก่อนจะถามอย่างสนใจใคร่รู้ “นายอำเภอที่มาใหม่ผู้นี้มีที่มาที่ไปอันใดหรือขอรับ ถึงขั้นทำให้ฉือหนิงอ๋องกับสกุลเถียนซึ่งอยู่ที่เมืองหลวงเขียนจดหมายมาหาท่านพ่อไม่หยุดหย่อน”
เยวี่ยขุยหรี่ตาลง แค่นเสียงฮึอย่างเยียบเย็นแล้วเอ่ย “ที่มาที่ไปอันใดน่ะหรือ ก็แค่คนมุทะลุที่สร้างคุณงามความชอบในสนามรบนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น! แต่กลับเยาว์วัยไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ล่วงเกินฝ่าบาทเข้า เลยคิดอยากจะสร้างผลงานได้หน้าที่นี่น่ะสิ”
เยวี่ยเต๋อเหวยเผลอหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แกว่งนิ้วพลางเอ่ยว่า “เขาน่ะหรือเป็นถึงแม่ทัพ แม่ทัพที่แค่ถูกชาวยุทธ์ไม่กี่คนล้อมโจมตีก็เสียแขนไปข้างหนึ่งผู้นั้นน่ะหรือ”
ครั้นวาจานี้เปล่งออกไป ที่ปรึกษาหลายคนซึ่งนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งก็หัวเราะครืน แม่ทัพที่ยิงธนูแม่นยำราวกับจับวาง พละกำลังมากล้นมหาศาลที่บทละครในโรงน้ำชาเหล่านั้นเล่าบรรยาย สำหรับชาวยุทธ์มากประสบการณ์อย่างพวกเขาแล้วก็เป็นแค่เรื่องเล่าที่แต่งออกมาหลอกลวงผู้คนเท่านั้น ส่วนมากก็ตีความเพื่อขับเน้นให้คุณูปการด้านการทหารของตนเองโดดเด่นขึ้นมา หาไม่แล้วเหตุใดแม่ทัพเพี่ยวฉีผู้นี้พอมาถึงอำเภอก้งเซี่ยนก็ไม่เห็นจะได้เรื่องได้ราวเลยเล่า
แต่เยวี่ยขุยกลับโบกมือสั่งให้พวกเขาหยุดหัวเราะ หรี่ดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นพลางกล่าวว่า “จริงอยู่ที่วรยุทธ์ของแม่ทัพผู้นี้ไม่ค่อยร้ายกาจเท่าใด ตอนออกสนามรบคงจะอาศัยผู้ใต้บังคับบัญชาเก่งๆ จนสร้างคุณงามความชอบมาได้ แต่การที่เขาอยากจะสร้างผลงานโดดเด่นที่นี่ก็เป็นเรื่องจริง ทุกท่านจะดูเบาเขาไม่ได้เด็ดขาด พวกท่านไม่เห็นหรือว่าพอเขามาถึงที่นี่ก็แสดงอำนาจใส่ผู้เฒ่าอย่างข้าทันที”