เยวี่ยเต๋อเหวยเอ่ยขำขันอย่างมิใคร่ใส่ใจ “ท่านพ่อ นั่นเขาเรียกขุนนางใหม่ขยันขันแข็งผิดที่ผิดทาง คิดว่าจะไถเงินจากกิจการค้าเกลือของพวกเราได้ ถึงกับเรียกร้องเงินค่าปรับตั้งสามเท่า แต่หารู้ไม่ว่ากลยุทธ์ย้ายต้นทาบกิ่ง ของท่านพ่อก็แค่โยกย้ายเงินค่าปรับไปไว้ที่กลุ่มค้าเกลืออื่นๆ ตอนนี้เพื่อปรับราคาเกลือให้สูงขึ้น พวกเราได้กักตุนเกลือมาเดือนกว่าแล้ว ขอเพียงแค่กักตุนเกลือต่อไปอีกสักระยะ รอจนเกลือข้างนอกไม่เพียงพอต่อความต้องการ ราคาเกลือสูงขึ้น พวกเราก็ไม่เพียงแต่จะมีเงินค่าปรับ ซ้ำยังได้กำไรก้อนโตอีกด้วย!”
เยวี่ยขุยที่ได้ยินคำแนะนำของบุตรชายกลับส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่เห็นด้วย พูดว่า “พอผ่านเดือนนี้ไปก็ควรได้เวลาผู้ประกอบกิจการค้าเกลือประชุมหารือเรื่องราคาเกลือแล้ว เจ้าไปตกลงราคากับกิจการค้าเกลือข้างนอกให้เรียบร้อยว่าหลังจากปรับกำไรเพิ่มขึ้นเป็นสามส่วนแล้ว พวกเราจะเริ่มปล่อยเกลือออกไป”
เยวี่ยเต๋อเหวยรู้สึกว่าบิดาระมัดระวังตัวเกินไป เพิ่มกำไรขึ้นแค่สามส่วนน้อยเกินไปแล้ว
เยวี่ยขุยหมุนเหอเถามรกตคู่หนึ่งซึ่งอยู่ในมือ สั่งสอนปรัชญาการค้าให้แก่บุตรชายอย่างเนิบนาบเชื่องช้า “เกลือจากอำเภอก้งเซี่ยนของพวกเราเกี่ยวพันไปถึงความสุขสงบของแผ่นดินทั้งใต้หล้า หากโลภมากเกินไปจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง สั่นสะเทือนรากฐานการปกครองแผ่นดิน พอถึงตอนนั้นคนที่โอรสสวรรค์ส่งมาคงมิใช่แค่คนมุทะลุที่ถูกลดตำแหน่งเท่านั้น! ดังนั้นไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องรู้จักพอ ถึงแม้จะขึ้นกำไรแค่สามส่วน แต่อำเภอก้งเซี่ยนของพวกเราผลิตเกลือมากมายกองเป็นเขาไท่ซาน พอสะสมเข้าด้วยกันทีละเล็กละน้อย กำไรก็มากจนน่าตื่นตะลึงแล้ว”
เยวี่ยเต๋อเหวยรีบร้อนประสานมือเอ่ย “ท่านพ่อสั่งสอนได้ถูกต้อง ลูกเข้าใจแล้ว…เพียงแต่นายอำเภอเฉิงผู้นั้นยังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี…”
เยวี่ยขุยระบายยิ้มน้อยๆ “ฝ่าบาทลดตำแหน่งเขามาอยู่ที่นี่ก็เพราะหวังให้เขารู้จักประพฤติตัวให้เป็น บัดนี้ที่ทำการขุนนางของเขามีกลุ่มค้าเกลือไปโวยวายไม่เว้นแต่ละวัน ร้องห่มร้องไห้บอกว่าไม่มีอันจะกิน ตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เสียแขนไปแล้วข้างหนึ่ง หากยังไม่คิดทบทวนใหม่ล่ะก็ เกรงว่าคงจะเอาทั้งชีวิตมาทิ้งไว้ที่อำเภอก้งเซี่ยนแล้ว”
พอพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดนิ่งไปอีกครา ก่อนจะถามว่า “ก่อนหน้านี้พวกของเจ้าจินตาเดียวเจอของแข็งเข้าให้ ต่อมาก็ถูกเฉิงเทียนฟู่จับตัวไปเหมือนกันมิใช่หรือ”
หลังพวกที่ปรึกษาซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งได้ยินวาจานี้ก็รีบพยักหน้า
เยวี่ยขุยหมุนเหอเถามรกตในมือเล็กน้อย ขบคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “ในเมื่อนายอำเภอเฉิงกัดเจอก้อนหินแข็งก็คงจะรู้ถึงความตื้นลึกหนาบางในอาณาเขตอำเภอก้งเซี่ยนแล้ว อย่างไรพวกเราก็ต้องมอบข้าวหอมหวานให้เขากินบ้าง จานข้าวตั้งวางอยู่ตรงหน้าเขา เขาอยากจะกินชามใดก็อยู่ที่การตัดสินใจของตัวเขาเอง…เขามีฮูหยินแซ่เฉียนคนหนึ่งอยู่ในเรือนมิใช่หรือ เจ้าให้ฮูหยินของเจ้าแวะไปผูกมิตรกับสตรีแซ่เฉียนผู้นั้นสักหน่อยเถิด”
เมื่อเยวี่ยเต๋อเหวยได้ยินคำพูดของบิดาก็เข้าใจในทันที
นับแต่โบราณกาลมามีใครไม่ชอบเงินทองบ้างเล่า
เฉิงเทียนฟู่ผู้นั้นเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง วางท่าเป็นนายอำเภออย่างเต็มที่ ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นโดนเล่นงานไป ไม่แน่ในใจอาจจะหวาดผวานึกเสียใจภายหลังอยู่ก็ได้ พวกเขาต้องหาทางลงให้เขาสักหน่อย ส่งฮูหยินของตนเองไปสร้างไมตรีกับสตรีของอีกฝ่ายเล็กน้อย มอบทองแท้เงินขาวสักจำนวนหนึ่ง ให้สตรีช่วยเป่าลมข้างหมอนนิดๆ หน่อยๆ เท่านี้ทั้งสองฝ่ายก็สบายแล้ว
หลังจากตัดสินใจได้เช่นนี้แล้ว เยวี่ยเต๋อเหวยก็กลับไปกำชับสั่งกับหรงซื่อฮูหยินของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
วันนี้หลิ่วจือหว่านเตรียมจะออกไปซื้อถ้วยกับตะเกียบสักเล็กน้อย
ถึงแม้ของที่อยู่ในเรือนจะยังใช้ได้อยู่ แต่ทุกครั้งที่เห็นคุณชายสะโอดสะองอย่างเฉิงเทียนฟู่ใช้มือที่ถือกระบี่ยาวถือพู่กันหยกประคองถ้วยเก่าๆ ที่มีรอยบิ่นตรงขอบขึ้นดื่มโจ๊ก ก็มักจะรู้สึกชวนให้คนเจ็บปวดรวดร้าวใจ
ดังนั้นหลิ่วจือหว่านจึงตัดสินใจออกไปซื้อถ้วยกระเบื้องเคลือบครบชุด ยามใช้สอยจะได้ดูเหมาะสมสักหน่อย
นางลำบากมาตั้งแต่เด็ก รู้ว่าเงินทองหามาไม่ง่าย ภายหลังพอได้มาดูแลค่าใช้จ่ายของสกุลเซิ่งก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสกุลเซิ่ง คือถ้าประหยัดได้ก็ประหยัด
ในด้านการใช้จ่ายเงินทอง นางมีนิสัยคล้ายคลึงกับเซิ่งเซวียนเหอผู้เป็นอดีตบิดาในนามยิ่ง แค่พูดจาหวานๆ ต่อราคาคราหนึ่งก็ทำให้เถ้าแก่ร้านเครื่องเคลือบรับมือไม่ค่อยไหวแล้ว อีกฝ่ายจึงขายให้นางในราคาต่ำอย่างง่ายดาย ทั้งยังให้นางเลือกสีสันลวดลายได้ตามใจชอบ
ขณะที่หลิ่วจือหว่านกำลังเลือกของอยู่ในร้านเครื่องเคลือบนั้น ข้างๆ ก็มีฮูหยินในชุดแพรไหมหรูหราผู้หนึ่งเดินเข้ามาแย้มยิ้มให้นาง เอ่ยชมว่านางมีสายตาเฉียบแหลม เลือกเครื่องกระเบื้องเคลือบได้ดี ส่วนตนเองดูอยู่ครึ่งวันแล้วก็ยังตัดสินใจไม่ได้ หลิ่วจือหว่านคลี่ยิ้มบาง ช่วยเลือกสีสันลวดลายให้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
ต่อมาหลังจากนั้นฮูหยินผู้นั้นก็รู้สึกว่าสหายรู้ใจยากจะพบพาน จึงเชื้อเชิญหลิ่วจือหว่านไปนั่งที่โรงน้ำชาอีกฝั่งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น
หางตาของหลิ่วจือหว่านเหลือบเห็นป้ายตระกูลที่แขวนอยู่บนรถม้าของนาง จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อฮูหยินอุตส่าห์มีน้ำใจเชื้อเชิญ ข้าก็ขอน้อมรับเอาไว้”