ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 1-บทที่ 3
ยามนี้เลิกพูดถึงเหล่าหญิงออกเรือนปากมากช่างนินทาด้านหน้าประตู แล้วมองเข้ามาภายในบ้านมุงหลังคากระเบื้องที่ผ่านการตกแต่งใหม่แทน หลังหญิงงามผู้นั้นก้าวเข้ามาหลังประตูก็ขมวดคิ้วแน่นอย่างสงสัยอยู่ตลอด
ดูเหมือนว่าบ้านหลังนี้จะมีแค่กำแพงกับประตูใหญ่ที่กระดำกระด่างไม่ได้ผ่านการซ่อมบำรุงเท่านั้น เพราะพอเข้ามาภายในบ้านก็พบกับสระน้ำเล็กๆ คู่แปลงดอกไม้ เครื่องเรือนไม้จันทน์ ทุกอย่างล้วนประณีตพิถีพิถัน
หลิ่วเหมียนถังเงยหน้ามองสำรวจบ้านหลังเล็กหลังคามุงกระเบื้องที่มีประตูทางเข้าออกเดียวหลังนี้อีกครั้งพลางขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามอย่างลังเล “มิใช่สามีขาดทุนการค้าไปไม่น้อยจนจำเป็นต้องย้ายออกจากเมืองหลวงหรอกหรือ เหตุใดย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วยังซื้อบ้านที่ดูใช้ได้เพียงนี้ เขา…”
หลิ่วเหมียนถังยังไม่ทันพูดจบ บ่าวหญิงหน้าดำคล้ำที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เอ่ยขัดคำพูดนางอย่างแข็งกระด้าง “ครอบครัวของนายท่านเป็นคหบดีมาหลายรุ่น อูฐที่ป่วยตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า* บ้านหลังเล็กเพียงนี้ยังคงมีเงินซื้อไหว ฮูหยินคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ”
หลิ่วเหมียนถังไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ใช้นิ้วเรียวยาวลูบไม้เท้าในมือตนเองเบาๆ
หลี่มามา* ผู้นี้ชอบพูดขัดตนเองมาหลายครั้งแล้ว นางไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่ตนจะล้มป่วยเคยจัดการดูแลบ้านมาอย่างไร แต่รู้สึกว่าตนเองไม่น่าจะทนคนเช่นนี้ได้
ทว่าหลังล้มป่วยหนัก ไม่ใช่เพียงสูบพลังในร่างนางไปจนหมด ซ้ำยังมอดไหม้ความทรงจำในสมองนางไปเกือบหมดด้วย
นางจำหลายๆ เรื่องราวไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่าตนเองชื่อ ‘หลิ่วเหมียนถัง’ เป็นบุตรสาวคนเล็กของสกุลหลิ่ว อดีตตระกูลสูงศักดิ์แห่งเพ่ยซาน มารดาเสียไปตอนอายุสิบขวบ มีพี่ชายอายุมากกว่านางห้าปีหนึ่งคน เพราะสกุลหลิ่วใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายมาหลายรุ่น ตอนหลังขาดแคลนเงินทอง บิดาจึงหมั้นหมายการแต่งงานที่ไกลถึงเมืองหลวงกับพ่อค้าสกุลชุยให้นางเพื่อค่าสินสอดก้อนโต
ยังจำได้ว่าตอนที่นางจะต้องออกเรือนนั้นมีความไม่เต็มใจมากเพียงใด รู้สึกเหมือนตนเองถูกบิดาแท้ๆ ขายทิ้ง
ทุกวันนี้ห่างบ้านมาไกล ทว่าเรื่องราวหลังแต่งงานกลับจดจำไม่ได้เลยสักอย่าง ความทรงจำในช่วงนั้นคล้ายโดนพันไว้ด้วยใยไหมหนาชั้น หายไปซ่อนอยู่ที่ใดสักที่
โชคดีที่สามีของนางนิสัยดี ไม่ได้ทอดทิ้งนางไปเพราะอาการหวาดกลัวในช่วงแรกหลังนางฟื้นขึ้นมา ทั้งยังเชิญท่านหมอมารักษา ยาสมุนไพรชั้นเลิศก็มีให้ไม่เคยขาด ยอมจ่ายเงินทองที่มีไปกว่าครึ่งจึงยื้อชีวิตของนางกลับมาจากหน้าประตูผีได้ในที่สุด
แต่นางป่วยซมมานาน สิ้นเปลืองเงินทองอย่างมาก พอผ่านไปหนึ่งปีทรัพย์สินของครอบครัวสามีเองก็ไม่มากเท่าแต่ก่อนแล้ว
สามีที่ออกไปทำงานไกลได้ฝากคนมาบอกนางว่าเขาขายร้านค้าในเมืองหลวงให้คนอื่นไปแล้ว ปัจจุบันกิจการของครอบครัวย้ายไปที่เจียงหนานแทน นางจำเป็นต้องเก็บสัมภาระย้ายมาตั้งรกรากยังตำบลหลิงเฉวียน
นับแต่ล้มป่วยความทรงจำเสื่อม ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมามากพอให้หลิ่วเหมียนถังหายหวาดผวาทำอะไรไม่ถูกจากอาการสูญเสียความทรงจำไปได้แล้ว
สามีเคยเล่าให้ฟังว่าสกุลหลิ่วโดนลูกหลงจากคดีสำนักศึกษาไต้ซานเมื่อสามปีก่อน บิดาถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ส่วนพี่ชายเข้าคุก ภายหลังโดนเนรเทศส่งไปยังหลิ่งหนาน
ทั้งที่ได้ยินข่าวร้าย แต่ลึกๆ ในใจนางกลับไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
ความเน่าเฟะของสกุลหลิ่วแสดงให้เห็นตั้งแต่ก่อนที่นางจะออกเรือนแล้ว บิดาเย็นชาละเลยนาง ทว่ารักใคร่ให้ท้ายจ่ายเงินซื้อตำแหน่งให้พี่ชาย กลบฝังปัญหาของสกุลหลิ่วจนกลายเป็นภัยแฝง
แม้จะเป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน แต่นางที่สูญเสียความทรงจำช่วงนั้นไปยังคงได้รับความสะเทือนใจอย่างหนักหน่วง หลังได้ยินข่าวบิดาตายอย่างอเนจอนาถ และสิ่งที่พี่ชายประสบพบเจอ นางก็เสียใจจนกินข้าวไม่ลงไปหลายวัน
สุดท้ายเป็นสามีที่บังคับบีบคางนางกรอกน้ำแกงลงไปครึ่งชาม จากนั้นเอ่ยเสียงเย็นว่า ‘เรื่องเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว เจ้าก็แค่สูญเสียความทรงจำถึงได้เสียใจอีกครั้ง ผู้ตายจากไปแล้ว มีเหตุผลอย่างให้คนเป็นตายตามไปเสียที่ใดกัน บรรดาคนในครอบครัวของบัณฑิตที่ถูกพ่อลูกสกุลหลิ่วของเจ้าฆ่าตายยังไม่ได้คิดสั้นตามเลย เจ้าอดอาหารตายเช่นนี้ต้องการจะรับผิดแทนบิดาของเจ้าหรือไรกัน’
ประโยคนี้เปรียบดั่งมีดคมกริบที่นางไม่อาจทนรับได้ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้กระจ่างแจ้ง กระชากตัวนางออกมาจากความโศกเศร้าที่ไม่อาจควบคุม
สกุลหลิ่วสูงศักดิ์หายไปตั้งนานแล้ว คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
สามีเป็นคนพูดไม่เก่ง ปกติอยู่กับนางก็ไม่พูดมาก แต่เขาเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้ ไม่ได้รังเกียจนางเพราะบ้านสกุลเดิมของนางตกอับ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่อาจอ้างว่าป่วยแล้วเป็นภาระให้สามีนางเสียสมาธิ
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินหลี่มามาบอกว่าเพื่อทำการรักษานางแล้ว ทำให้สามีไม่มีสมาธิดูแลกิจการ สูญเสียเงินทองไปก้อนใหญ่ หลิ่วเหมียนถังยิ่งรู้สึกผิดยากจะทน ตั้งปณิธานว่าจะเป็นผู้สนับสนุนที่ดีให้สามีสามารถทำการค้าได้อย่างสบายใจ ไม่ถึงขั้นขาดทุนทรัพย์ที่มีไปจนหมด
ในที่สุดวันนี้นางก็มาตั้งรกรากอยู่ตำบลหลิงเฉวียน นับจากนี้ไปที่นี่คือบ้านของนาง เพียงแต่หลี่มามาผู้นี้ดูเหมือนจะชอบปฏิบัติตัวไม่ดีกับนาง คล้ายว่านางเคยทำผิดต่อสามีอย่างไรอย่างนั้น
แม้บ่าวอาวุโสจะทำตัวไม่ดี แต่หลิ่วเหมียนถังก็ไม่ได้โวยวาย ตอนนี้สกุลชุยไม่ได้ใหญ่โตเหมือนแต่ก่อน คนที่ยอมอยู่ต่อล้วนเป็นบ่าวอาวุโสที่ซื่อสัตย์ นางเพิ่งมาถึงย่อมไม่สะดวกวางท่าเป็นนายหญิงของบ้านจัดการกับหลี่มามา ทำให้บ่าวรับใช้คนอื่นพลอยรู้สึกแย่ไปด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องตักเตือนอ้อมๆ บ้าง
ถ้าไม่ได้จริงๆ ส่งหลี่มามาไปทำงานที่ร้านค้าของสามีแทนก็ได้
เมื่อคิดเช่นนี้หลิ่วเหมียนถังก็รู้สึกสบายใจขึ้น วันเวลาในอนาคตอาจเป็นเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิเดือนสองของตำบลหลิงเฉวียน หลังผ่านความหนาวไปก็คือความอบอุ่นอันไร้ที่สิ้นสุด
แม้หลิ่วเหมียนถังจะเพิ่งมาถึงที่นี่ แต่หีบเสื้อผ้าล้วนถูกส่งล่วงหน้ามาก่อนแล้ว ทว่าพวกเสื้อผ้ากับผ้าห่มต่างพับเก็บไม่เรียบร้อย อยู่ในสภาพโยนใส่ไว้ในหีบเสื้อผ้าส่งๆ ทั้งสิ้น
หลิ่วเหมียนถังตะโกนเรียกหลี่มามาให้เข้ามาจัดเก็บหีบเสื้อผ้า แต่เสียงของหลี่มามากลับดังจากห้องครัวที่อยู่ไม่ไกลว่า “ประเดี๋ยวนายท่านจะมาที่นี่ บ่าวจำเป็นต้องทำอาหารเอาไว้ก่อน เสื้อผ้าเหล่านั้นไว้ค่อยเก็บพรุ่งนี้เจ้าค่ะ!”
หลี่มามาขัดคำพูดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเหตุผล จะให้สามีกลับมาแล้วหิ้วท้องรอกินข้าวคงไม่ได้
ข้างกายหลิ่วเหมียนถังมีเพียงบ่าวหญิงวัยกลางคนสองคน คนหนึ่งคือหลี่มามา อีกคนเป็นคนใบ้ทำงานจิปาถะ ตอนนี้บ่าวหญิงทั้งสองต่างผ่าฟืนทำอาหารอยู่ในห้องครัว งานในห้องนี้จึงจำเป็นต้องให้นางลงมือทำเองแล้ว
หลังล้มป่วยขาของนางไม่อาจทนยืนได้นาน ดังนั้นจึงย้ายเก้าอี้มานั่งข้างหน้าต่างเสียเลย พร้อมกับทยอยพับเสื้อผ้าไปทีละตัว
เสื้อผ้าเหล่านี้ซักจนเริ่มดูซีดเก่า ส่วนใหญ่เป็นของที่เมื่อหนึ่งปีก่อนสามีสั่งคนไปซื้อมาเติมให้นาง หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีเสื้อผ้าใหม่อีก
เพียงแต่ตอนนี้กิจการของสามีไม่สู้ดี มีเสื้อผ้าให้สวมใส่ก็พอแล้ว นางไม่ได้เรื่องมากเรื่องพวกนี้
ทว่า…เสื้อผ้าในหีบล้วนเป็นของนาง ไม่มีเสื้อผ้าของสามีชุยจิ่วอยู่แม้แต่ตัวเดียว
หรือยังไม่ได้ขนย้ายสัมภาระของสามีมา? หลิ่วเหมียนถังอดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้
ในตอนที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นด้านหน้าประตูบ้านก็มีเสียงล้อรถม้าบดถนนหินดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูบ้าน
หลิ่วเหมียนถังกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เมื่อชะโงกหน้ามองไปก็ได้เห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินอ้อมกำแพงบังตาด้านหน้าก้าวยาวๆ เข้ามา