ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 1-บทที่ 3
บทที่ 2
ยามนี้เป็นเวลาใกล้ช่วงย่ำค่ำแล้ว รัศมีสีทองส่องกระทบลงบนใบหน้างามสง่าของบุรุษ ส่งผลให้คิ้วของเขาดูคมเข้มมากขึ้น ดวงตาใต้คิ้วดั่งกระบี่คมกริบน่าเกรงขาม
นี่เป็นบุรุษที่หล่อเหลาผู้หนึ่ง จมูกโด่ง ริมฝีปากบางนั้นแทบจะอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา มักจะหยักยกอยู่เสมอ ช่วยสลายกลิ่นอายโหดเหี้ยมที่แผ่ออกมาจากนัยน์ตาของเขาได้หลายส่วน
หลิ่วเหมียนถังยังจำได้ว่าครั้งแรกที่ตนฟื้นจากอาการป่วยหนักขึ้นมาเห็นเขา ความคิดแรกที่วาบผ่านมาในใจคือ…ถึงแม้จะรูปโฉมหล่อเหลาคมคาย แต่ดูแล้วไม่น่าผ่อนคลายสบายใจ รูปหน้ามีลักษณ์ดอกท้อ* อยู่บางส่วน ใครเป็นภรรยาของเขาจะต้องเหนื่อยใจเป็นแน่
คนโบราณว่าไว้ไม่อาจมองคนแต่ภายนอก มิฉะนั้นจะโดนสวรรค์ลงโทษ!
นางที่นอนป่วยบนเตียงไม่รู้เรื่องรู้ราวโดนกรรมตามสนองหลังค่อนขอดผู้อื่นไปอย่างรวดเร็ว…เพราะถุงหอมที่ตนเตรียมไว้ให้ว่าที่สามีก่อนออกเรือนห้อยอยู่บนร่างของคุณชายรูปงานสง่าแฝงลักษณ์ดอกท้อผู้นี้
รวมกับที่ได้ยินท่านหมออายุน้อยซึ่งตรวจชีพจรให้นางเรียกเขาว่า ‘ท่านชุยจิ่ว’ นางถึงลอบคาดเดาได้ว่าที่แท้นางก็คือภรรยาดวงซวยที่จะต้องเหนื่อยใจผู้นั้น
ในตอนที่ได้รับคำยืนยันจากท่านหมอ ความรู้สึกนางพลันสลับซับซ้อนยิ่ง ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับสามีแปลกหน้าผู้นี้อย่างไรดี
ตัวนางในเวลานั้นยังคงไม่อาจขยับปากพูดได้มาก ทำได้เพียงนอนไร้กำลังมองดูชุยจิ่วที่นั่งอยู่ด้านข้างถามท่านหมออย่างใส่ใจว่า ‘อาการป่วยของนางเป็นอย่างไรบ้าง จะพูดได้เมื่อใด’
น้ำเสียงทุ้มต่ำเปี่ยมเสน่ห์ช่างชวนให้คนรู้สึกสบายใจขึ้นมาแปลกๆ…
ในตอนที่หลิ่วเหมียนถังกำลังใจลอย ชุยจิ่วก็เลิกม่านประตูเดินก้าวยาวๆ เข้ามาแล้ว เมื่อเห็นนางกำลังมองมาที่ตนเองอย่างงงงันฝีเท้าจึงชะงักลง เงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “ข้ากลับมาแล้ว”
เมื่อนับดูนางกับเขาไม่ได้เจอหน้าราวหนึ่งเดือนกว่าได้แล้ว
น่าเสียดายที่แม้นางกับชุยจิ่วแต่งงานกันมาหลายปี แต่ทุกวันนี้ในสมองของนางยังคงไม่มีเค้าลางว่าจะจดจำสิ่งใดๆ ได้ รวมถึงไม่มีทางเกิดความรู้สึกคะนึงหาตัดพ้อหลังสามีจากจรไกลไม่กลับมานาน
แต่นางก็พอจะได้ยินเรื่องราวในอดีตบางอย่างจากปากผู้อื่น รู้แค่ว่าหลังแต่งงานมาคู่สามีภรรยารักใคร่กันดี
แม้จะเหินห่างแต่เมื่อนึกถึงความช่วยเหลือและความเหน็ดเหนื่อยที่สามีชุยจิ่วมีต่อสกุลหลิ่วกับตนเอง หลิ่วเหมียนถังพลันหลุดจากภวังค์แล้วลุกเดินเข้าไปหา เตรียมจะช่วยเขาถอดเสื้อคลุมมาสะบัดฝุ่นผงทิ้งให้
ทว่ายังไม่ทันให้นางได้เข้าใกล้ นิ้วยาวของชุยจิ่วก็แก้ปมสายรัดด้วยตนเองพร้อมโยนเสื้อคลุมผ้าแพรต่วนทิ้งไปบนเก้าอี้ยาวด้านข้างก่อนแล้ว
หลิ่วเหมียนถังเห็นเขานั่งลงจึงเดินไปหยิบถ้วยบนโต๊ะขึ้นมารินน้ำให้พลางเอ่ย “หลี่มามากำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว ยังไม่ทันต้มน้ำร้อนมาให้ น้ำในกานี้มิอาจต้มชา ท่านพี่ดื่มดับกระหายไปก่อนนะเจ้าคะ”
พูดจบก็อิงตามขนบธรรมเนียมที่เรียนรู้มาจากอาจารย์หญิงซึ่งสอนหลักจรรยาของภรรยาให้นางก่อนออกเรือน ย่อตัวลงยกถ้วยขึ้นตรงกับหน้าผาก ยื่นให้สามีดื่ม
นี่เรียกว่า ‘ยกถาดเสมอคิ้ว’ เป็นธรรมเนียมที่สตรีซึ่งเคารพสามีพึงมี
ดวงตาเว้าลึกคู่นั้นของชุยจิ่วหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ได้รับถ้วยที่นางยื่นให้ แต่หยิบตำราที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาพลิกเปิด ขณะที่ปากก็เอ่ยคำพูดห่วงใย “ท่านหมอเทวดาของเจ้าเคยบอกเอาไว้ เจ้าป่วยหนักมา ต้องหลีกเลี่ยงไอเย็นมากที่สุด ไม่ควรดื่มน้ำเย็นเช่นนี้” เขาพูดจบก็ตะโกนออกไปข้างนอก “หลี่มามา ยกน้ำชาร้อนเข้ามา!”
หลี่มามาผู้นั้นนับว่ากระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว รอไม่นานก็ยกกาน้ำชาร้อนเดินเข้ามา
ชุยจิ่วรับถ้วยชาที่หลี่มามายื่นให้ จากนั้นพับแขนเสื้อส่งๆ แล้วใช้ฝาถ้วยปาดใบชาบนผิวน้ำอย่างเป็นธรรมชาติ ค่อยๆ จิบดื่มน้ำชาด้วยท่วงท่าสง่างาม
สมัยก่อนตอนที่หลิ่วเหมียนถังเรียนวิถีแห่งชากับอาจารย์หญิง เคยได้ยินอาจารย์สอนเรื่องศาสตร์แห่งการดื่มชาอย่างยกฝาถ้วย ปาดใบชา และลูบถ้วยมาก่อน ซึ่งล้วนแต่เป็นวิถีให้ศึกษา
ในตอนนั้นที่นางได้เห็นอาจารย์ทำให้ดูอย่างคล่องแคล่วเป็นตัวอย่างยังแอบชื่นชมในใจ ทว่าบัดนี้เมื่อมองดูท่วงท่าสง่างามในการดื่มชาของชุยจิ่วแล้ว ราวกับว่าภาพอาจารย์หญิงเมื่อครานั้นจะดูต่ำชั้นและจอมปลอมขึ้นมาทันที
นางจำได้แค่ว่าสกุลชุยเป็นคหบดีของเมืองหลวงที่ร่ำรวยเทียบเคียงกับบ้านเมือง ทว่าชาติกำเนิดเป็นเพียงลูกเรือของกลุ่มขนส่งทางน้ำที่ลักลอบค้าเกลือ นึกไม่ถึงว่าลูกหลานของตระกูลพ่อค้าอย่างชุยจิ่วจะมีบุคลิกของตระกูลสูงศักดิ์อยู่
เทียบกันแล้วบุตรสาวของขุนนางตกอับครึ่งๆ กลางๆ อย่างนาง ดูไปกันไม่ค่อยได้กับคุณชายดั่งหยกตรงหน้าท่านนี้สักเท่าไร…
หลังหลี่มามายกน้ำชาร้อนมาวางก็ล่าถอยออกไปอย่างนอบน้อม ทิ้งให้หลิ่วเหมียนถังกับชุยจิ่วคู่สามีภรรยานั่งอยู่ด้วยกัน
ความจริงช่วงเวลาอยู่กันตามลำพังเช่นนี้ไม่ได้มีอยู่บ่อยครั้ง ตอนที่นางยังป่วยหนักนอนซมบนเตียง มีสาวใช้กับบ่าวหญิงคอยปรนนิบัติอยู่ตลอดเวลา และเมื่อนางสุขภาพดีขึ้นชุยจิ่วก็ออกไปทำการค้าข้างนอกอีก
ตอนนี้ภายในห้องเงียบๆ มีคนสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน นางถึงนึกได้ว่าหน้าที่ของภรรยาไม่ได้ทำแค่ยกถาดเสมอคิ้ว แต่ยังต้องยวนยางโบยบินคู่…
คิดมาถึงตรงนี้หลิ่วเหมียนถังก็ตื่นเต้นขึ้นมา ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว แต่เหมือนตนจะยังไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมสักเท่าใด
หลังชุยจิ่ววางถ้วยชาลงก็ถามอย่างอ่อนโยนว่าระยะนี้ร่างกายของนางดีขึ้นบ้างหรือไม่
เมื่อเห็นว่าสามีแค่พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับตนเอง หลิ่วเหมียนถังจึงลอบโล่งอก จากนั้นตอบกลับไปทุกคำถาม
หลังถามเรื่องทั่วไปสักพักหนึ่ง จู่ๆ ชุยจิ่วก็ถามอย่างไม่คล้ายเจตนาว่า “เจ้าเพิ่งมาอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้หาเวลาไปเดินเล่นในตำบลดูเถอะ ถ้ามีของสิ่งใดอยากซื้อเข้ามาเพิ่มก็ซื้อมาได้เลย”
หลิ่วเหมียนถังได้ยินแล้วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “ข้าไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใด บนถนนมีผู้คนไปมาขวักไขว่วุ่นวาย มิสู้อยู่เก็บกวาดทำความสะอาดบ้านดีๆ อย่างไรก็สงบกว่า”
ทุกวันนี้สกุลชุยเริ่มตกอับ กิจการทำเงินในเมืองหลวงต่างขายทิ้งไปหมดแล้ว บัดนี้มาทำการค้าเครื่องเคลือบดินเผาที่ตำบลหลิงเฉวียน ไม่ว่าเรื่องใดล้วนยากตอนเริ่มต้น คิดว่าคงจำเป็นต้องใช้เงินในหลายเรื่อง หากไม่มัธยัสถ์เสียบ้าง ยังคงใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อเหมือนแต่ก่อน นั่นมิใช่เป็นการกินสมบัติเก่าหรอกหรือ
ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่อยากทำลายศักดิ์ศรีของสามี ดังนั้นจึงไม่พูดประโยคประเภทกลัวการออกไปใช้เงินเช่นนั้น
เพียงแต่เมื่อพูดจบนางกลับลุกขึ้นหยิบกล่องเครื่องประดับของตนออกมาจากหีบสัมภาระ
ข้างในนั้นมีตั๋วเงินสองใบที่ท่านตาฝากคนนำมามอบให้ตอนนางออกเรือน
หลังนางฟื้นขึ้นมาสินเจ้าสาวอื่นๆ ได้หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงเครื่องประดับศีรษะที่สืบทอดมาจากมารดาของนางและกล่องเงินใบนี้ที่อยู่ใต้ฟูกของนางตามเดิม ภายหลังครอบครัวสามีลำบาก ชุยจิ่วก็ไม่เคยปริปากขอกล่องเครื่องประดับของนางมาก่อน