บทที่ 3
หลักจรรยาของภรรยา…จะต้องคอยระวังความอบอุ่นร้อนหนาวของสามี เพิ่มเติมชุดตามฤดูกาล
หลายวันมานี้สุขภาพหลิ่วเหมียนถังดีขึ้น เมื่ออยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงนำวิชาเย็บปักถักร้อยที่เคยเล่าเรียนมาเดือนกว่าตอนอยู่สกุลเดิม อิงตามสัดส่วนที่ถามจากหลี่มามา ใส่ปุยนุ่นเพิ่มเข้าไปในผ้าที่เหลือจากการนำมาตัดเสื้อตัวในให้นาง ในที่สุดก็ทำเสร็จออกมาตัวหนึ่ง
ยามนี้ชุยจิ่วมองดูรอยเย็บที่ค่อนข้างหยาบกระด้างบนเสื้อนวมเงียบๆ แววตานั้นแฝงความนัยบางอย่างที่ชวนให้คนใคร่ครวญ มองจนหลิ่วเหมียนถังรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา คนเราไม่ควรแสดงข้อด้อยของตนเองให้ผู้อื่นเห็นจริงๆ ด้วย หากสามีนึกรังเกียจขึ้นมา เช่นนั้นก็ขายหน้าแล้วจริงๆ
ทว่าหลังสามีมองอยู่สักพัก ท้ายที่สุดยังคงรับไปแล้วถอดเสื้อนอกตนเองออกเตรียมลองสวม
แววตาหลิ่วเหมียนถังเป็นประกายระยิบระยับกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นางช่วยสามีสวมเสื้อนวมอย่างกระตือรือร้น โชคดีที่ขนาดยังใช้ได้ นับว่าพอดีตัว ภายใต้การขับเน้นด้วยรูปร่างองอาจผึ่งผายของชุยจิ่ว เสื้อจึงแลดูเป็นรูปเป็นทรงขึ้นมาก รอยเย็บหยาบกระด้างก็ไม่ได้ดูสะดุดตาเพียงนั้นอีก
จากนั้นชุยจิ่วจึงสวมเสื้อนอกให้เรียบร้อยอีกครั้งภายใต้การปรนนิบัติจากภรรยาแสนดีอย่างหลิ่วเหมียนถัง ตามด้วยสวมเสื้อคลุมกันลมทับ
เพียงแต่ตอนที่หลิ่วเหมียนถังผูกสายรัดข้างหน้า นิ้วเรียวสวยของนางออกจะงุ่มง่ามไปบ้าง ผูกอยู่หลายครั้งก็ยังทำได้ไม่ดี สุดท้ายออกแรงมากเกินไปจนกลายเป็นผูกเงื่อนตายเข้าเสียอย่างนั้น
ชุยจิ่วรู้สึกคอถูกรัดเล็กน้อย เขาวางฝ่ามือใหญ่กุมท้ายทอยของนางเบาๆ มุมปากหยักยกเอ่ย “เจ้าตั้งใจจะรัดคอข้าให้ตายหรือ”
เมื่อถูกเขากุมท้ายทอยเอาไว้ ร่างนางก็คล้ายถูกโอบล้อมไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ แปลกๆ ซึ่งแผ่กำจายออกจากตัวเขา นางอยู่ใกล้เขามากเพียงนี้สามารถมองเห็นขนตาดำงอน รวมถึงนัยน์ตาที่รอยยิ้มไปไม่ถึงของเขาได้อย่างชัดเจน
หลิ่วเหมียนถังรู้สึกว่าแรงมือของเขาออกจะมากเกินไปอยู่บ้าง จึงคิดใช้กระบวนท่ามือคว้าจับพลิกฝ่ามือเขาออกในทันที
นี่ไม่ใช่การไม่เคารพต่อสามี แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิ้น!
ทว่ากระบวนท่าที่คุ้นเคยกระจ่างแจ้งในอดีต มาบัดนี้เพียงเพราะข้อมือไร้กำลังจึงปราศจากความน่ากลัวโดยสิ้นเชิง ร่างกายนางกลายเป็นยืนได้ไม่มั่นคงล้มฟุบใส่อ้อมกอดของชุยจิ่วแทน
นางเอ่ยอย่างหงุดหงิดใจเล็กน้อย “ท่านหมอเทวดาจ้าวไม่ได้บอกว่าข้าหายดีแล้วหรอกหรือ เหตุใดมือจึงยังไม่มีแรงอีกเล่า!”
มารดาที่เสียไปของหลิ่วเหมียนถังคือบุตรสาวของประมุขสำนักคุ้มภัยเสินเวยที่มีชื่อเสียงโด่งดังของต้าเยี่ยน ดังนั้นนางจึงฝึกวรยุทธ์กับมารดาตั้งแต่อายุสามขวบ แม้มารดาจะตายไปตอนนางอายุสิบขวบ แต่นางยังคงรักษาความเคยชินในการฝึกยุทธ์ทุกวัน
ตอนนี้ดูแล้วอาจเพราะอาการป่วยหนัก มือเท้านางจึงไร้เรี่ยวแรงมาโดยตลอด คาดว่าจะรักษาความสามารถที่มารดาถ่ายทอดให้นางไว้ไม่ได้แล้ว
ชุยจิ่วก้มหน้าลง เมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของหลิ่วเหมียนถังก็ยอมคลายแรงมือแล้วพยุงนางขึ้นมาช้าๆ ก่อนหลุบตาลงมองแก้มซีดขาวและสีหน้าอารมณ์เสียของนางพลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ไม่ใช่ว่าดีขึ้นมากแล้วหรือ ออกไปข้างนอกให้มากๆ เคลื่อนไหวร่างกายเสียหน่อย บางทีอาจจะดีขึ้นเร็วกว่านี้”
พูดมาถึงตรงนี้เขาหยุดคิดก่อนหยิบกล่องสี่เหลี่ยมแบนๆ ใบเล็กออกมาจากสาบเสื้อ “นี่เป็นแป้งชาดตำรับของหอหานเซียงแห่งเจียงหนาน มีกลิ่นหอม พรุ่งนี้ตอนเจ้าแต่งตัวสามารถประทินโฉมเพิ่มสีสันได้บ้าง”
หลิ่วเหมียนถังรับกล่องที่ดูประณีตเป็นพิเศษใบนั้นมา หอหานเซียงนี้น่าจะสำหรับคนรวยโดยเฉพาะ ตลับกระเบื้องเคลือบที่ใช้บรรจุผงชาดกับแป้งผัดหน้าต่างไปจากปกติ เป็นรูปแบบหรูหราฝังหินลวี่ซง* ลงลายทองแทน
ในเมื่อเป็นความตั้งใจของสามี นางย่อมยิ้มแย้มรับไว้ แต่ในใจก็อดทอดถอนใจมิได้ ดั่งคำที่ว่า ‘คนรวยกลายเป็นคนจนนั้นยาก’ คาดว่าคงเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น สามีใช้จ่ายมือเติบจนเคยชิน ยังคงจ่ายเงินเหมือนสายน้ำไหล แต่ทุกวันนี้ครอบครัวไม่อาจใช้เงินเหมือนกับตอนอยู่เมืองหลวงได้อีกแล้ว
ไว้วันหน้านางจะต้องพูดกับสามีอ้อมๆ สักครั้ง พวกของสิ้นเปลืองเงินทองเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องซื้อมาให้นางแล้ว กระนั้นตอนที่นางรับตลับกระเบื้องเคลือบก็ยังคงส่งยิ้มขอบคุณให้เขา
รอยยิ้มดั่งบุปผามอมเมาคนจนไม่อาจละสายตา ชุยจิ่วมองนิ่งๆ ครู่หนึ่งจึงกลับหลังหันเดินจากไปเงียบๆ
หลิ่วเหมียนถังมองส่งเงาร่างสูงใหญ่ของสามีจวบจนหายลับไปหลังกำแพงบังตา ในใจนึกขึ้นว่า บุคลิกของสามีดูเป็นบัณฑิตก็จริง แต่แรงมือกลับมากนัก รูปร่างเองก็กำยำองอาจ ดูแล้วเหมือนจะเคยฝึกวรยุทธ์เช่นกัน
ตอนอยู่เมืองหลวงส่วนใหญ่นางอยู่แต่ในเรือน ไม่ได้ออกไปเดินเล่นข้างนอกมานานแล้ว เมื่อคิดถึงว่าพรุ่งนี้จะได้ออกไปเดินเล่นและชมดูทิวทัศน์ของตำบลหลิงเฉวียน ในใจก็พลอยลิงโลดอยู่ไม่น้อย