ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 1-บทที่ 3
รุ่งเช้าวันต่อมาไม่ทันรอให้หลิ่วเหมียนถังตื่น หลี่มามาก็ยกน้ำอุ่นสำหรับล้างหน้าเข้าห้องมาปลุกแล้ว “ฮูหยิน ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”
หลิ่วเหมียนถังผลุบออกมาจากผ้าห่มอย่างเกียจคร้าน ในใจคิดว่าปกติแล้วนางเรียกใช้ไม่ขยับ วันนี้กลับขยันขันแข็งน่าดู ไม่ต้องให้เรียกก็เข้ามาปรนนิบัติเองแล้ว เห็นได้ว่าสาเหตุมาจากสามีกลับมาบ้าน ทำให้บ่าวอาวุโสที่เกียจคร้านเป็นนิจกลับมามีมารยาท ตั้งใจทำงานมากขึ้น
ในเมื่อยกน้ำอุ่นเข้ามาแล้วนางจึงไม่สะดวกจะนอนต่ออีก ได้แต่ลุกขึ้นมาล้างหน้า แต่งกายเกล้าผม
ปกติหลิ่วเหมียนถังไม่ชอบพวกผงชาดแป้งผัดหน้า เพียงแต่นางไม่อาจเอาเปรียบความปรารถนาดีของสามีเมื่อวานนี้ ดังนั้นจึงผัดแป้งบางๆ และแต้มริมฝีปากเล็กน้อย
หลี่มามามองผ่านคันฉ่องสำริดก็รู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้ช่างงามพริ้งมอมเมาสายตาผู้คนจริงๆ ทว่าความงามนี้ซ่อนแฝงกลิ่นอายเย้ายวนผู้คนเอาไว้ด้วย อดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเย็นออกมาเล็กน้อย
หลิ่วเหมียนถังคุ้นชินกับท่าทางประหลาดพิกลของหลี่มามาแล้ว นางจึงอาศัยโอกาสช่วงประทินโฉมเอ่ยถามขึ้นคล้ายไม่เจตนา “หลี่มามา ก่อนที่ข้าจะสูญเสียความทรงจำเคยลงโทษบ่าวรับใช้หนักๆ หรือ”
หลี่มามาช่วยนางสวมกำไลเงินขณะตอบ “ฮูหยินจิตใจมีเมตตา ไม่เคยลงโทษบ่าวรับใช้หนักๆ มาก่อนเจ้าค่ะ”
หลิ่วเหมียนถังได้ยินก็หันกลับไปยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่าย “ในเมื่อไม่เคย เหตุใดหลี่มามาจึงมักจะหงุดหงิดข้าคล้ายมีเรื่องไม่พอใจเล่า”
คล้ายหลี่มามาจะคาดไม่ถึงว่าหลิ่วเหมียนถังจะเอ่ยปากตรงๆ เช่นนี้ หลังนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก็กัดฟันคุกเข่าลงเอ่ย “บ่าวชาติกำเนิดต้อยต่ำ คำพูดคำจาจึงแฝงความป่าเถื่อนเอาไว้ หากบ่าวมีสิ่งใดไม่เหมาะสม ขอฮูหยินโปรดอภัยให้ด้วยเจ้าค่ะ”
ครั้นเห็นหลี่มามายอมรับผิด หลิ่วเหมียนถังเองก็ไม่ต้องการตำหนิต่อ เพียงบอกให้นางลุกขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ถึงอย่างไรนางก็อายุยังน้อย ทั้งเคยป่วยหนักมาแล้วหนหนึ่ง ช่วงก่อนหน้านี้แม้แต่จะลุกขึ้นนั่งด้วยตนเองยังทำมิได้ นางจึงไม่คิดโทษที่บรรดาบ่าวรับใช้จะบกพร่องมารยาท ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาอีก
หลี่มามาเป็นคนเก่าแก่ของสกุลชุย ได้ยินว่าเฝ้าดูชุยจิ่วเติบโตมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้เพื่อเห็นแก่หน้าของสามีก็ไม่อาจตำหนิอีกฝ่ายหนักเกินไปเช่นเดียวกัน
อย่างไรเสียหลังตักเตือนไปอ้อมๆ รอบหนึ่งหลี่มามาก็แสดงท่าทีว่าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ให้จบลงที่ตรงนี้เถิด
หลังประทินโฉมเสร็จนางก็กินข้าวต้ม จากนั้นเลือกชุดกระโปรงสีขาวลายดอกไม้ทึบที่สีตกไม่ร้ายแรงนักจากในหีบเสื้อผ้าออกมาสวม เตรียมจะออกจากบ้านไปขึ้นรถม้า
แต่หลี่มามากลับพูดว่า “เมื่อวานก่อนนายท่านจะกลับได้กำชับบ่าวว่าวันนี้ให้ฮูหยินเดินเล่นบนถนน ท่านหมอเทวดาจ้าวก็กล่าวไว้ว่าท่านควรเดินให้มากๆ มือเท้าถึงจะฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น”
คำพูดนี้มีเหตุผลยิ่ง แสงแดดข้างนอกก็กำลังดี อาศัยช่วงที่ดวงอาทิตย์ยังไม่แสบร้อนผิวเดินเล่นท่ามกลางกลิ่นหอมของหมู่มวลดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลินับเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายมากจริงๆ
ดังนั้นหลิ่วเหมียนถังจึงพาหลี่มามาเดินออกจากบ้านหลังคามุงกระเบื้อง
เวลานี้พ้นช่วงอาหารเช้าไปแล้ว เหล่าบุรุษบนถนนสายเหนือต่างออกไปทำงานกันแต่เช้า เหล่าหญิงออกเรือนที่ทำงานเย็บปักก็มารวมตัวกันนั่งอาบแดดอยู่ด้านหน้าประตูบ้านบนถนนสายเหนือ
ทันทีที่ป้าอิ่นจอมนินทาได้เห็นหญิงสาวคนงามจากบ้านหลังคามุงกระเบื้องเดินออกมาก็รีบเอ่ยทักทายอย่างคนสนิทสนมขึ้นมาเองก่อนทันที “ไม่ทราบว่าแม่นางผู้นี้มีนามว่าอะไรหรือ”
หลิ่วเหมียนถังรู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นเพื่อนบ้าน ต่อให้สกุลชุยไม่ตกอับก็เป็นแค่พ่อค้าเท่านั้น ไม่อาจวางท่าใหญ่โตทำให้บรรดาเพื่อนบ้านรังเกียจรังงอนได้ นางจึงหยุดเดินพลางอมยิ้มตอบ “สามีสกุลชุย เรียกข้าว่าชุยฮูหยินก็พอแล้ว”
ทว่าป้าอิ่นคล้ายยังไม่หายสงสัย เอ่ยถามต่อว่า “สามีของชุยฮูหยินทำงานอะไร ย้ายมาจากที่ใดกัน”
หลิ่วเหมียนถังอมยิ้มตอบ “สามีเป็นพ่อค้า ย้ายมาจากเมืองหลวง” เอ่ยจบก็ขยับเท้าเตรียมเดินต่อ
แต่ป้าอิ่นกลับลุกขึ้นถามว่า “ในเมื่อเป็นพ่อค้า ร้านค้าตั้งอยู่ที่ใดหรือ”
เรื่องนี้หลิ่วเหมียนถังตอบไม่ถูกแล้ว นางอดหันไปมองหลี่มามาไม่ได้
จะว่าไปเรื่องนี้นางก็เคยถามหลี่มามา ยามนั้นหลี่มามาแค่ตอบอย่างคลุมเครือว่าอยู่ในตัวตำบล ทว่าอยู่ตรงที่ใดก็ไม่ได้พูดให้ชัดเจน
ตอนนี้ได้ยินเพื่อนบ้านถามถึง ย่อมต้องให้หลี่มามาเป็นผู้ตอบ
คาดว่าหลี่มามาโดนนางตำหนิตอนเช้าไปหนหนึ่ง สภาพอารมณ์จึงไม่ค่อยดีมาโดยตลอด ตอนนี้มาถูกบรรดาหญิงออกเรือนช่างสงสัยขวางไว้ในตรอกอีก ใบหน้าที่เดิมทีก็คล้ำอยู่แล้วยิ่งดูเขียวคล้ำมากขึ้น ถลึงตาวูบหนึ่งเอ่ยว่า “บ่าวอยู่กับฮูหยินทั้งวัน ร้านแห่งนั้นตั้งอยู่ที่ใดก็ไม่ค่อยแน่ใจเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าไม่อาจถามให้รู้ตื้นลึกหนาบางของครอบครัวเพื่อนบ้านใหม่ได้ ป้าอิ่นจึงยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ กระนั้นยังคงเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “แม่นางอย่ารังเกียจว่าข้าถามมากเลย เป็นเพราะว่าป้าๆ อย่างพวกเราต่างเป็นผู้อาวุโสในตำบล ตำแหน่งที่ตั้งของร้านค้าใดเป็นอย่างไร เคยผ่านมากี่คนแล้ว พวกเราต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีทั้งนั้น วันหน้าหากแม่นางมีคำถามใดก็มาถามข้าได้ ข้าจะต้องบอกทุกอย่างที่รู้แน่นอน…”
หลังบอกลากับสหายใหม่ผู้กระตือรือร้น ในที่สุดหลิ่วเหมียนถังก็ได้เดินออกจากถนนสายเหนืออย่างราบรื่น
ถึงแม้หลิงเฉวียนจะเป็นตำบลเล็กๆ แต่เพราะมีนักเดินทางจากทั่วทุกสารทิศมารวมตัวกันจึงยังครึกครื้นอย่างมาก
เพียงแต่ความสนใจของหลิ่วเหมียนถังกลับไม่ได้อยู่ที่สินค้าละลานตาบนแผงขายของ กลับเอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพื่อนบ้านซึ่งเพิ่งได้รู้จักกันสอบถามเรื่องที่ฮูหยินอย่างนางควรรู้กระจ่างชัด ทว่านางกลับตอบอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว นี่ช่างชวนให้คนละอายใจจริงๆ
“หลี่มามา ถ้าเกิดวันนี้บ่าวรับใช้ของท่านพี่กลับมาเอาอาหาร อย่าลืมถามให้ชัดเจนด้วยว่าร้านค้าอยู่ที่ใด ท่านพี่เหน็ดเหนื่อยทั้งวัน คิดว่าอาหารสามมื้อคงกินไม่ตรงเวลา เย็นวันนี้เจ้าทำอาหารอร่อยๆ สักสองสามอย่าง ข้าจะเอาไปส่งให้ท่านพี่ด้วยตนเอง”
เมื่อได้ยินฮูหยินพูดเช่นนี้บนใบหน้าดำคล้ำของหลี่มามาคล้ายว่ามีซีอิ๊วหกราดลงไปอีกไห ก่อนเอ่ยอย่างลังเล “นายท่านงานยุ่ง ช่วงนี้คงไม่ได้กลับมาสักวัน ฮูหยินไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงหรอก บ่าวรับใช้ข้างกายนายท่านต่างละเอียดอ่อนรู้จักดูแลคนกันทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
หลิ่วเหมียนถังเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไรอีก ก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ
ต้าเยี่ยนมีวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง สตรีส่วนใหญ่เวลาออกไปเดินข้างนอกต่างไม่สวมหมวก โดยเฉพาะที่เจียงหนานยิ่งสวมเสื้อแขนสั้นกระโปรงยาว เผยลำคอขาวผ่องสู่สายตาผู้คน
หลิ่วเหมียนถังเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ย่อมปฏิบัติตัวเช่นเดียวกัน แต่นางตัวสูง องคาพยพงดงาม วันนี้ยังผัดแป้งบางๆ บนถนนเส้นนี้นางจึงดูโดดเด่นสะดุดตาอย่างมาก ทำเอาผู้คนที่เดินผ่านและเจ้าของแผงรอบข้างต่างหันกลับมามองบ่อยครั้ง กระซิบกระซาบกันว่าเป็นภรรยาของบ้านใด หรือจะเป็นเทพธิดาจุติลงมากัน?
อีกทั้งร้านผ้าที่สามีสั่งจองไว้ก็ตั้งอยู่บริเวณที่ครึกครื้นที่สุดของตำบลหลิงเฉวียน ดังนั้นปริมาณคนที่ติดตามมาข้างหลังหลิ่วเหมียนถังจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่งผลให้หลี่มามาที่คอยปกป้องคุ้มกันนางเพียงคนเดียวค่อนข้างจะลำบาก
ภายในตำบลหลิงเฉวียนมีพ่อค้าอยู่มาก หญิงนางโลมก็เช่นกัน พวกชายเกกมะเหรกเสเพลยิ่งมีจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อเห็นหญิงงามแปลกหน้าอยู่ตามลำพัง ข้างกายไม่มีบ่าวชายติดตาม จะต้องไม่ใช่ฮูหยินหรือคุณหนูของตระกูลใหญ่ตระกูลใดแน่นอน จึงขวัญกล้าเข้ามาแทะโลม
“ไม่ทราบแม่นางตั้งใจจะไปที่ใดกัน อย่าได้ให้เท้าที่งามดั่งหน่อไม้หยกเดินจนปวดบวมเลย ข้ามีเกี้ยวอยู่หลังหนึ่ง หากไม่รังเกียจสามารถนั่งเบียดไปกับข้าได้!”
* เจียงหนาน คือคำเรียกที่ราบลุ่มแม่น้ำทางด้านใต้ของแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ปัจจุบันคือทางใต้ของมณฑลเจียงซู อันฮุย และด้านเหนือของมณฑลเจ้อเจียง
* อูฐที่ป่วยตายยังตัวใหญ่กว่าม้า เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงผู้ที่มีอำนาจบารมีมาก แม้จะกำลังประสบปัญหา แต่ก็ยังมีอำนาจจัดการเรื่องต่างๆ ได้มากกว่าคนอื่น
* มามา เป็นคำเรียกหญิงสูงวัยและหญิงรับใช้อาวุโสด้วยความยกย่อง
* รูปหน้ามีลักษณ์ดอกท้อ หมายถึง คนที่ใครพบเห็นก็ชื่นชอบ
* ไก่ขอทาน คือไก่อบห่อด้วยใบบัว ตำนานว่าในสมัยโบราณบ้านเมืองอยู่ในช่วงศึกสงคราม มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านที่รอดชีวิตจากไฟสงครามมาได้ส่วนมากกลายเป็นขอทาน อยู่มาวันหนึ่งมีขอทานคนหนึ่งจับไก่ได้ตัวหนึ่ง แต่เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์ประกอบอาหาร อีกทั้งเพราะความหิวขอทานคนนั้นจึงใช้วิธีเดียวกับการเผามันเผา คือการนำหินมาก่อเป็นเตาไฟคลุมไก่แล้วจุดไฟเพื่อเผาไก่ให้สุก ซึ่งวิธีการทำอาหารจานนี้ได้แพร่หลายไปถึงโรงสุรา ร้านอาหารซึ่งมีการพัฒนารสชาติอาหารได้นำใบบัวมาห่อเพื่อให้ไก่มีกลิ่นหอมของใบบัว ปัจจุบันเป็นอาหารขึ้นชื่อของมณฑลเจียงซูและมณฑลเจ้อเจียง
* หินลวี่ซง หมายถึงหินเทอร์ควอยซ์หรือพลอยขี้นกการเวก เป็นอัญมณีสีฟ้าอมเขียวและมีริ้วลายสีเขม่าแซม
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.