ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ บทที่ 13-บทที่ 15
ดอกบัวภาพนี้เลือกใช้สีเรียบง่าย ทว่ากลับขับเน้นความบริสุทธิ์ของดอกบัวออกมาได้ โดยเฉพาะภาพหางแมลงปอแตะผิวน้ำ สร้างระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ บนผิวทะเลสาบ เกิดความเคลื่อนไหวในความเงียบงัน ดูน่าสนใจอย่างมาก
หลิ่วเหมียนถังมองนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง พลันโน้มตัวลงมองสำรวจแมลงปอตัวนั้นอย่างตั้งใจ
จ้าวเฉวียนเห็นนางสนใจก็รู้สึกลำพองใจอย่างมาก เขาเอ่ยปากถาม “เป็นอย่างไรบ้าง ดูสง่างามบริสุทธิ์มากใช่หรือไม่ ข้ามั่นใจว่าหากคนผู้นี้มีผู้สูงศักดิ์มาสนับสนุน จะต้องเจริญก้าวหน้า มีชื่อเสียงขจรไกลเป็นแน่…แม่นางหลิ่วเต็มใจร่วมเดินทางไปกับข้า เป็นพยานในช่วงเวลาที่ยอดฝีมือท่านนี้ได้พบกับผู้รู้ใจหรือไม่”
หลิ่วเหมียนถังค่อยๆ เหยียดตัวขึ้นตรง ก่อนเอ่ยกับหลี่มามาที่อยู่ด้านข้างว่า “เจ้าถามท่านหมอเทวดาหน่อยว่าจิตรกรท่านนี้บ้านอยู่ที่ใด ไกลจากที่นี่หรือไม่”
หลี่มามาตระหนักดีว่าเหตุใดหลิ่วเหมียนถังจึงทำตัวเหินห่างกับท่านหมอเทวดาเช่นนี้ ในใจพลันลอบสงสารเจิ้นหนานโหวผู้ตกเป็นเหยื่อ จากนั้นเอ่ยตามคำพูดของหลิ่วเหมียนถังออกไปอีกรอบ
จ้าวเฉวียนเห็นหลิ่วเหมียนถังมีเจตนาเดินทางไปกับตนเองจึงดีใจมาก รีบเอ่ยตอบ “ไม่ไกลๆ! อยู่ในตำบลข้างหน้านี้เอง หากพวกเราเดินทางเร็วหน่อย ก่อนดวงอาทิตย์ตกดินก็สามารถเดินทางกลับตำบลหลิงเฉวียนได้ ไม่มีทางเสียเวลากินอาหารเย็นของแม่นางหลิ่ว…แน่นอนว่าถ้ากลับไปไม่ทัน ข้าเองก็รู้จักเหลาสุราริมน้ำรสชาติเยี่ยมแห่งหนึ่ง ข้าสามารถเชิญเจ้าไปนั่งชมทะเลสาบ ลิ้มรสสุราอาหารได้”
หลิ่วเหมียนถังได้ยินแล้วแอบขมวดคิ้ว รู้สึกว่าท่านหมอเทวดาจ้าวนิสัยมีปัญหาจริงๆ มิเช่นนั้นมีหรือจะบุ่มบ่ามชวนภรรยาของสหายไปกินอาหารตามลำพัง?
นางไม่อยากขึ้นรถม้าของจ้าวเฉวียน จึงกลับไปนั่งรถเทียมลาของตนเอง ตามอยู่ข้างหลังรถม้าของจ้าวเฉวียนไปช้าๆ
จ้าวเฉวียนรู้ว่าหลิ่วเหมียนถังนึกว่าตนเองเป็นภรรยาของชุยจิ่ว หญิงสาวผู้หนึ่งออกมาข้างนอกย่อมต้องหลีกเลี่ยงคำครหา จึงไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด
เพียงแต่ในใจเขายิ่งชมชอบความสง่างามของหญิงสาวผู้นี้ แทบอยากให้นางมาอยู่เคียงคู่กันในเร็ววัน ออกเดินทางไปทั่วขุนเขาธารา ตามหาจิตรกรชั้นเลิศที่เร้นตัวอยู่ ใช้ชีวิตดั่งคู่รักเทพเซียนไปด้วยกัน
รอเดินทางไปตามถนนริมทุ่งนาได้ไม่ไกลก็มองเห็นกระท่อมฟางโกโรโกโสแห่งหนึ่ง
ได้ยินว่าบัณฑิตผู้นั้นพำนักอยู่ที่นี่เอง
หลังจ้าวเฉวียนลงจากรถม้าก็สั่งให้บ่าวรับใช้เคาะประตูถามหาเจ้าของบ้าน
แต่บ่าวรับใช้ยังไม่ทันเคาะประตู เจ้าของบ้านก็ปรากฏตัวขึ้นก่อนแล้ว
คนผู้นั้นเป็นบัณฑิตที่สวมเสื้อตัวยาวเก่าขาดมองสีสันเดิมไม่ออก ดูไปก็อายุสี่สิบกว่า หนวดเครายุ่งเหยิง จอนผมหงอกขาว กำลังปัดชายชุดขุดดินอยู่ในลานบ้านอย่างงกๆ เงิ่นๆ เมล็ดพันธุ์ในดินเพิ่งจะงอกต้นอ่อนเล็กๆ ออกมา กำลังโบกไหวไม่หยุดท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อได้ยินคนเรียกบัณฑิตผู้นั้นเหลือบสายตาขึ้นเล็กน้อย หลังชำเลืองมองแขกที่มาเยือนก็พรวนดินต่อไปเงียบๆ
พวกยอดฝีมือนิสัยแปลกๆ ป๋อเล่อจ้าวเฉวียนพบเห็นมามากแล้ว เพียงแค่เอ่ยถามอยู่ข้างนอกประตูอย่างเกรงใจ “ท่านใช่เฮิ่นปี่จวีซื่อที่ขายผลงานให้กับร้านภาพวาดของอำเภอข้างเคียงหรือไม่”
เมื่อได้ยินเขาถามบัณฑิตวัยกลางคนที่พรวนดินจึงเผยอเปลือกตาขึ้นเอ่ยตอบรับ
จ้าวเฉวียนเห็นว่าตามหาถูกคนจึงรีบแสดงเจตนาที่มาหา เปิดเผยว่าตนเองชื่นชมฝีมือสูงส่งของเขา ตั้งใจมาเยี่ยมเยือนด้วยตนเอง
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้หลังบัณฑิตผู้นั้นมองสำรวจเขาไปหนหนึ่งถึงโยนจอบทิ้งแล้วเดินมาเปิดประตูให้
มองออกว่าชีวิตของท่าน ‘เฮิ่นปี่’ ผู้นี้ไม่ได้สุขสบาย ภายในบ้านไม่มีโต๊ะเก้าอี้ดูดีสำหรับรับแขกเลยจริงๆ จึงปูเสื่อลงบนพื้นที่ราบเรียบในลานบ้าน เชิญบรรดาแขกมานั่งขัดสมาธิคุยกันแทนเสียเลย
หลิ่วเหมียนถังเป็นหญิงสาวย่อมไม่สะดวกจะนั่งร่วมเสื่อกับพวกเขา จึงยืนอยู่เงียบๆ ด้านข้างกับหลี่มามา
ส่วนน้ำชาก็ไม่เห็นบัณฑิตยกมาวาง ยังเป็นบ่าวรับใช้ของจ้าวเฉวียนเห็นว่าบนเสื่อว่างเปล่าเกินไป กลัวว่าเจ้านายตนเองจะหิวกระหาย จึงนำกล่องขนมที่พกมาเองจัดวางไว้ ทั้งยังใช้เตาถ่านบนรถม้าต้มน้ำชาอีกด้วย
บัณฑิตผู้นี้ไม่เกรงใจสักนิด กินอย่างตะกรุมตะกราม เริ่มจากกินขนมในกล่องไปมากกว่าครึ่งก่อน ดูสภาพแล้วอาหารสามมื้อก็เหมือนจะไม่เพียงพอ
รอกินอิ่มไปพอสมควรสีหน้าของบัณฑิตก็ดีขึ้นมาก สามารถพูดคุยเรื่องภาพวาดกับจ้าวเฉวียนอย่างเป็นมิตรได้แล้ว
ทว่าหลังจ้าวเฉวียนกางภาพดอกบัวออก เอ่ยน้ำไหลไฟดับถึงความเห็นของตนเองเกี่ยวกับภาพวาด สีหน้าของบัณฑิตผู้นั้นก็ยิ่งผิดหวังลงเรื่อยๆ
หลังจ้าวเฉวียนพูดจบ เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “ขอบคุณสำหรับคำชมของใต้เท้า แต่ท่านไม่ใช่ผู้ที่เข้าใจภาพวาดนี้ ใกล้มืดแล้ว เชิญกลับไปเถอะ!”
จ้าวเฉวียนกำลังพูดติดลม ใครจะคาดว่ากลับถูกเฮิ่นปี่จวีซื่อผู้นี้สาดน้ำเย็นราดใส่ศีรษะ ช่างชวนให้เสียอารมณ์จริงๆ
หากเป็นปกติเขาจะมองว่าบัณฑิตผู้นี้แค่นิสัยเสียเฉยๆ แต่ตอนนี้ถูกต่อว่าว่าเป็นคนที่ไม่เข้าภาพวาดเบื้องหน้าหญิงงาม ช่างน่าอับอายนัก นิสัยของลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์พลันปรากฏชัดในทันที เขาถลึงตาเอ่ย “ข้าพูดผิดไปตรงที่ใด ขอเชิญท่านชี้แนะด้วย เหตุใดจู่ๆ ถึงมาบอกว่าข้าไม่เข้าใจภาพวาดเล่า”
ขณะนั้นเองหลิ่วเหมียนถังที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างมาโดยตลอดตั้งแต่เข้ามาในบ้านพลันเอ่ยปาก “ท่านผู้นี้ ผู้น้อยมีความรู้สึกบางอย่างต่อภาพวาดนี้เช่นกัน ไม่ทราบว่าท่านจะเต็มใจฟังหรือไม่”
เฮิ่นปี่จวีซื่อติดนิสัยรักสันโดษ ไม่ได้สนใจมองความงามที่ใครๆ ต่างชื่นชมมากเท่าไร จนกระทั่งหลิ่วเหมียนถังเอ่ยปาก เขาถึงได้สะบัดเศษขนมบนชุดพลางเอ่ย “ขอเชิญฮูหยินรีบพูดด้วย ประเดี๋ยวข้ายังต้องไปผ่าฟืนทำอาหารต่อ”
หลิ่วเหมียนถังเดินไปตรงหน้าภาพวาด ชี้นิ้วเรียวออกไปยังแมลงปอตัวนั้นพร้อมเอ่ย “ข้าเหมือนจะเห็นทัศนียภาพหนึ่งในดวงตาของแมลงปอ…เป็นสตรีผู้หนึ่งยืนชมดอกบัวอยู่บนสะพาน ภาพนั้นสะท้อนอยู่ในแววตาแมลงปอพอดี”
เมื่อนางพูดออกมาจ้าวเฉวียนได้ยินแล้วนิ่งอึ้ง เพ่งดูไปที่ภาพวาด ก่อนจะบอกให้บ่าวรับใช้เอาแว่นขยายที่เป็นเครื่องราชบรรณาการจากเมืองบริวารมาให้ทันที
แว่นขยายนี้เป็นของที่ได้รับพระราชทานมา สามารถขยายตัวอักษรได้ เหมาะกับคนแก่ที่ตาฝ้าฟาง แม้จ้าวเฉวียนอายุยังน้อย แต่บางครั้งเวลาแกะสลักอักษรก็จะใช้ ดังนั้นจึงเก็บไว้ในหีบบนรถม้ามาโดยตลอด เอาไว้ใช้ฆ่าเวลา
บัดนี้ได้ยินคำพูดของหลิ่วเหมียนถัง เขารีบรับแว่นขยายจากบ่าวรับใช้มาส่องมองบนแววตาแมลงปอ…
นี่ไยมิใช่เล่า! ในดวงตาแมลงปอที่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองกลับมีสะพานน้อยคู่ต้นหลิวกับคนงามร่างอรชรอ้อนแอ้นยืนถือร่มอยู่!