ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ เล่ม 3 บทที่ 61 – 62
ดังนั้นวันรุ่งขึ้นหลิ่วเหมียนถังจึงฝากฝังห้องครัวโดยไม่เจตนาอีกว่านางอยากกินตับห่านสีชาด ต้องการให้ห้องครัวไปซื้อห่านหิมะตอนเหนือตัวหนึ่งเอาตับมาทำ
ทางห้องครัวบอกด้วยสีหน้าอมทุกข์ว่าหาไปทั่วตลาดก็ยังไม่เจอห่านหิมะตอนเหนือ เอาห่านอื่นมาทำแทนได้หรือไม่
แต่พอผ่านไปสองสามวันในตอนที่บ่าวหญิงผู้รับหน้าที่ซื้อของเข้าบ้านออกไปจากบ้าน กลับได้ยินพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่งบอกว่ามีห่านหิมะตอนเหนือมาขาย
ทว่าครั้งนี้บ่าวหญิงผู้นั้นไม่ได้ซื้อ แต่ทำตามที่คุณหนูหลิ่วสั่ง นำเรื่องนี้ไปแจ้งนางก่อนว่ามีห่านหิมะตอนเหนือมาขาย
ไม่นานจากนั้นหลิ่วเหมียนถังก็คลุมเสื้อขนจิ้งจอกตัวหนาปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าประตู
พ่อค้าขายห่านผู้นั้นเร่งร้อนหันตัวกลับจากไป ทว่าหลิ่วเหมียนถังกลับเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ห่านยังไม่ทันขายก็จะไปแล้วหรือ กลับไปจะไปรายงานผลอย่างไร”
แม้ผู้ที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าหาบเร่ผู้นั้นจะติดหนวดเครา ทั้งยังสวมหมวกผ้าสักหลาดกดต่ำ แต่หลิ่วเหมียนถังยังคงจดจำได้ในทันทีว่าเขาคือลูกจ้างที่เมื่อก่อนทำงานจิปาถะในร้านตนเอง แล้วก็เป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของฟั่นหู่ด้วย
พอองครักษ์ลับผู้นั้นเห็นว่าหลิ่วเหมียนถังจำตนเองได้ก็ทำตัวสง่าผ่าเผยแทนเสียเลย หันกลับมาวางหาบลงแล้วดึงห่านหิมะ ขาหมูป่า รวมถึงสัตว์ป่านานาชนิดออกมาจนหมด
หลิ่วเหมียนถังถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยากกินของพวกนี้ วางสายลับไว้ในบ้านสกุลลู่มากเพียงใด อีกอย่าง…ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเขา เหตุใดพวกเจ้ายังไม่ยอมไปอีก!”
เรื่องพวกนี้องครักษ์ลับผู้นั้นตอบไม่ได้ ได้แต่กัดริมฝีปากมองไปทางตรอกด้านหลัง ไม่นานจากนั้นก็เห็นฟั่นหู่เดินถูมือมาหา
“ฮูหยิน…อ่า ไม่สิ คุณหนูหลิ่ว นายท่านของพวกเราสั่งมาแล้วว่าให้คอยดูแลความเป็นอยู่ของท่าน แต่ช่วงก่อนหน้านี้ท่านดูจะไม่คุ้นชินกับอาหารที่บ้านสกุลลู่ หลังพวกเราส่งนกพิราบไปรายงานท่านอ๋อง ท่านอ๋องเลยให้หลี่มามาเขียนรายการออกมา ให้คนซื้อของเข้าจวนอ๋อง แล้วส่งของที่ท่านชอบมาตามในรายการ”
หลิ่วเหมียนถังกลับไม่นึกประทับใจ “พวกเจ้าซื้อตัวบ่าวรับใช้คนใดให้คอยส่งข่าวให้”
ฟั่นหู่โบกมือเอ่ย “คุณหนูหลิ่ว ท่านเองก็รู้ว่าพวกเราแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ที่จริงยังเป็นความปรารถนาดี ไม่ได้วางยาพิษสร้างปัญหาให้ท่าน…หากท่านเลอะเลือนกว่านี้สักหน่อย ห่านหิมะตัวนี้ก็ลงไปตุ๋นในหม้อนานแล้ว ขอคุณหนูได้โปรดเมตตา อย่าถามต่ออีกเลย…รอท่านอ๋องกลับมาพร้อมชัยชนะ พวกข้าน้อยก็จบภารกิจได้แล้ว…”
หากเร็วกว่านี้สักนิด ไม่แน่ว่าหลิ่วเหมียนถังอาจพอรู้สึกประทับใจบ้าง แต่ตอนนี้นางทำใจแข็งได้แล้ว จึงเอ่ยเสียงเย็น “สมแล้วที่ใกล้จะได้เป็นบุตรเขยของไทเฮา เวลาเอาใจใส่ขึ้นมาช่างชวนให้ผู้คนชื่นชม แต่ว่าระหว่างข้ากับเขาไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกันแล้ว เขาทำเช่นนี้มิใช่จะให้คนเข้าใจผิดหรือ เจ้าไม่บอกก็ไม่เป็นไร เรื่องสกปรกในบ้านข้า ข้าจะทำความสะอาดเอง แต่ก็ขอให้ท่านฟั่นอย่าได้ทำร้ายผู้อื่น ไม่ต้องใช้เงินซื้อตัวบ่าวรับใช้สกุลลู่แล้ว…”
ฟั่นหู่โดนตอกกลับจนสะอึก หากเป็นไปได้เขาอยากจะไปบีบคอคุณหนูเฮ่อเจินผู้ปากมากเสียจริงๆ
พระราชโองการนั้นยังไปไม่ถึงซีเป่ยเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าบุตรสาวพ่อค้าหลวงผู้นั้นไปได้ยินข่าวมาจากที่ใด ซ้ำยังมาบอกต่อให้หลิ่วเหมียนถังฟังอีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ประโยคที่เขาจะพูดต่อไปก็ดูไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว…
แต่คำสั่งของท่านอ๋องเขาจะไม่ทำก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่บากหน้าเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นคำสั่งของท่านอ๋อง พวกเราไม่อาจไม่ทำ…มิหนำซ้ำท่านอ๋องยังพูดว่าให้ท่านรอเขา”
หลิ่วเหมียนถังถามอย่างไม่เข้าใจ “รอเขา? รอเขาไปเพื่ออะไร”
ฟั่นหู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้แต่พูดออกไปตามที่ได้ยินมา “ความหมายของท่านอ๋องคือให้คุณหนูหลิ่วใจเย็นๆ อย่ารีบร้อนแต่งงานขอรับ”
เดิมหลิ่วเหมียนถังนึกว่าก่อนหน้านี้ที่ได้ยินคำพูดต่ำช้าของท่านเฉาก็เหลวไหลมากพอแล้ว แต่เทียบกับไหวหยางอ๋องแห่งซีเป่ยนั้นเรียกว่าเทียบกันไม่ได้เลย!
รอเขา? ไม่ต้องรีบร้อนแต่งงาน? นั่นนับเป็นอะไรกัน!
หลิ่วเหมียนถังถึงขั้นสงสัยว่าฟั่นหู่แต่งประโยคนี้ออกมาเอง เพราะนางนึกไม่ออกจริงๆ ว่าคนเย่อหยิ่งอย่างชุยสิงโจวจะพูดจาไร้เหตุผลเช่นนี้ออกมา
แต่ว่าฟั่นหู่กลับยื่นจดหมายฉบับหนึ่งที่ท่านอ๋องเขียนด้วยตนเองให้หลิ่วเหมียนถังอย่างหนักแน่น
หลิ่วเหมียนถังมองลายมือที่คุ้นเคยบนซองจดหมายก็ไม่แม้แต่จะรับมา นางหันหลังกลับเข้าเรือนตนเองไปทันที
ปี้เฉ่ารินน้ำชาให้หลิ่วเหมียนถัง จากนั้นถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนู อยากให้บ่าวไปตรวจสอบบ่าวรับใช้ในบ้านหรือไม่เจ้าคะ”
หลิ่วเหมียนถังสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ย “ไม่จำเป็น จากความสามารถของไหวหยางอ๋อง หากเขาตั้งใจจริงๆ บ้านสกุลลู่เล็กๆ ย่อมอยู่ในการควบคุมของเขาได้เช่นกัน…เจ้าไปถามจากบ่าวหญิงในบ้านมาว่าแม่สื่อคนใดของซีโจวที่พึ่งพาได้มากที่สุด พรุ่งนี้เชิญมาคนหนึ่ง”
ปี้เฉ่ากับฟางเซียมองสบตากัน เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานจะทำตามอารมณ์ได้หรือ
แต่หลิ่วเหมียนถังกลับเอ่ยว่า “เขาพูดถึงเพียงนี้ หากบ้านสกุลลู่ไม่มีแม่สื่อมาเยือนเพื่อสืบข่าวเรื่องข้า มิใช่ว่าจะดูเงียบเหงาไปหรือ”
นางอยากให้ชุยสิงโจวเข้าใจตรงจุดหนึ่งว่านางจะแต่งงานหรือไม่ ผู้อาวุโสสกุลลู่จะเตรียมการเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือขึ้นอยู่กับความต้องการของนาง คนที่ใกล้จะเป็นบุตรเขยไทเฮาอย่างเขาไม่จำเป็นต้องมาเป็นห่วง!
แม้จะตัดสินใจเช่นนี้แต่หลิ่วเหมียนถังยังคงถูกความโอหังของชุยสิงโจวทำให้โมโหจนนอนไม่หลับ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นยังนอนกลิ้งไปมาอยู่ในผ้าห่ม
นางรู้ว่าตนเองไม่ควรขี้เกียจลุก คนในบ้านสกุลลู่ที่เอาแต่รับเงินไปเปล่าๆ มีมากเกินไป นางจำเป็นต้องตั้งใจจัดการดีๆ สักรอบ แต่จนใจที่หลายวันมานี้เหน็ดเหนื่อยเกินไป วันนี้จึงเกียจคร้านขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่งนางรู้สึกคอแห้ง อยากหยิบน้ำบนโต๊ะเล็กข้างเตียงดื่ม ทว่าเมื่อมองผ่านมุ้งที่เลิกขึ้นครึ่งหนึ่งออกไป กลับเห็นจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเล็ก
ต้องเป็นเพราะเมื่อวานฟั่นหู่เห็นนางไม่ยอมรับ เลยมอบจดหมายให้กับสาวใช้สองคนข้างหลังนางแน่ๆ
หลิ่วเหมียนถังตั้งใจจะไม่อ่าน คิดว่าประเดี๋ยวบอกให้ปี้เฉ่านำจดหมายไปเผา แต่หลังกลิ้งไปมาอยู่ในผ้าห่มสักพัก นางก็ยังยื่นแขนเสลาออกมาหยิบซองจดหมายฉบับนั้น ดึงกระดาษออกมากางอ่านช้าๆ
ตอนที่กระดาษจดหมายถูกดึงออกมา ดอกเฟิงเหยาตากแห้งดอกหนึ่งก็ร่วงหล่นมาจากในซองด้วย
หลิ่วเหมียนถังหยิบดอกไม้แห้งขึ้นมาแล้วระลึกถึงเรื่องราวเลือนรางบางอย่างออก…นางเห็นดอกไม้สีฟ้าอ่อนรูปร่างเป็นเอกลักษณ์ดอกนี้ในหุบเขาที่ชุยสิงโจวสั่งให้คนสร้างบ่อน้ำพุร้อนไว้ ดอกไม้นั้นมีกลิ่นหอมกว่าดอกไม้ปกติ หลิ่วเหมียนถังชอบดมมาก น่าเสียดายที่บานเพียงแค่กระจุกเล็กๆ
ตอนนั้นชุยสิงโจวบอกว่าวันหน้าจะปลูกทะเลดอกเฟิงเหยาให้นาง ถึงเวลาให้นางได้ดมจนสาแก่ใจทีเดียว
หลิ่วเหมียนถังวางดอกไม้ไว้ข้างหมอน จากนั้นกางจดหมายออกอ่านช้าๆ
กระดาษจดหมายหนามาก นึกไม่ถึงว่าจะมีถึงเจ็ดแปดหน้า แต่ต่อให้หลิ่วเหมียนถังอ่านซ้ำไปสามรอบก็ยังไม่เจอเนื้อหาสาระสำคัญอะไร
เนื้อหาในนั้นเป็นพวกกิจวัตรประจำวันหลังนางจากไป
ยกตัวอย่างเช่นแมวที่นางเลี้ยงไว้ในลานบ้านคลอดลูกออกมาหนึ่งครอก เขาเลือกแมวสีขาวหางมีจุดสีดำตัวหนึ่งมาเลี้ยงไว้ในกระโจมผู้บัญชาการเพราะว่ามันชอบนอนไม่ลุกเหมือนนาง ดังนั้นเลยตั้งชื่อให้ว่า ‘ซุ่ยเซียน’ ที่มีความหมายว่าเทพแห่งการนอน ชื่อรองว่า ‘เหมียนเอ๋อร์’
เสื้อผ้าที่นางเย็บให้เขาถูกโม่หรูที่มือหยาบกระด้างซักขาดไปแล้ว แต่พอเขาสวมชุดอื่นก็รู้สึกว่าไม่สบายตัวเท่าเสื้อตัวเก่า
ตอนนี้ในหุบเขาปลูกดอกเฟิงเหยาเต็มไปหมดแล้ว แต่ว่าดอกไม้ชนิดนี้ล่อผึ้งอย่างมาก เวลาชมดอกไม้ต้องสวมหมวกม่านแพร มิหนำซ้ำภายในหุบเขายังเต็มไปด้วยเสียงดังหึ่งๆ ทำเอาคนแช่น้ำอย่างสบายใจไม่ได้
หากไม่มีการแตกหักบอกลากัน อ่านเพียงเนื้อหาจากในจดหมาย นั่นคือสามีที่แยกจากกับภรรยารักมานานกำลังเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวันให้ฟังต่างหาก
หลิ่วเหมียนถังถามตนเองว่าตนเป็นภรรยาเช่นใดของเขา คงไม่ใช่ว่าก่อนออกรบไหวหยางอ๋องว่างจนนอนไม่หลับ แล้วนึกเบื่อหน่ายถึงขั้นเขียนจดหมายหานางแก้เบื่อหรอกกระมัง