ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ เล่ม 3 บทที่ 61 – 62
รถม้าหรูหราเจ็ดแปดคันจอดหยุดหน้าประตูบ้านสกุลลู่ ดึงดูดสายตาคนบนท้องถนนให้ชะเง้อชะแง้คอมอง
มารดาเถอะ กระทั่งล้อรถเหล็กยังฝังอัญมณีเอาไว้ ชวนให้เห็นแล้วตาร้อนใจเต้นแรงนัก
บ่าวเฝ้าประตูวิ่งเข้าไปรายงานลู่อู่ “ท่าน…ท่านผู้เฒ่า ที่ประตูมีแขกสูงศักดิ์มาขอรับ! คุณชายซูบอกว่าเป็นเจิ้นหนานโหวจากเจินโจวมาเที่ยวเล่นที่นี่ ได้ยินว่าในบ้านพวกเรามีดอกเหมยหิมะเพิ่งบานเต็มสวน ตั้งใจมาเยี่ยมชมดูดอกเหมยพร้อมคุณชายซูเสียหน่อย!”
ลู่อู่ได้ยินแล้วไม่ได้ลนลานเหมือนบ่าวเฝ้าประตู เขาตะลอนไปทั่วเหนือจรดใต้มาหลายปีเพียงนี้ พบเจอผู้สูงศักดิ์มาแล้วมากมาย
นอกจากนี้ที่บ้านของพวกเขามีต้นเหมยเพียงต้นเดียวแย้มบานเมื่อสองวันก่อน ไม่มีกระทั่งกลิ่นอาย ‘ป่าเหมย’ อย่างแถบชานเมือง ท่านโหวผู้นี้จะต้องมาดูที่บ้านสกุลลู่ให้ได้เช่นนี้เป็นเรื่องอันใดกัน
ลู่อู่ขมวดคิ้ว สั่งให้บ่าวอาวุโสช่วยเขาเปลี่ยนชุด จากนั้นออกไปต้อนรับ
ตอนที่เขาเดินถือไม้เท้ามาถึงประตู ครอบครัวบ้านรองมาถึงนานแล้ว สีหน้าต่างมีความสุข พาบุตรชายบุตรสาวตนเองมาคุกเข่าต้อนรับหน้าประตู ส่วนทางบ้านใหญ่ลู่เซี่ยนออกไปทำธุระไม่อยู่บ้าน มีเพียงสะใภ้คนโตเสิ่นซื่อเพิ่งเดินพาหลิ่วเหมียนถังออกมาจากประตูวงเดือน จากนั้นคุกเข่าต้อนรับอยู่ด้านข้างประตู
ลู่อู่ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ก็ตาแหลมเห็นว่าเจิ้นหนานโหวผู้นั้นมองผ่านทุกคนไปจ้องหลิ่วเหมียนถัง คล้ายร้อนรนอยากเข้าไปช่วยพยุงนางขึ้นมาเต็มที
ส่วนหลิ่วเหมียนถังหลานสาวของเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ชำเลืองตาถลึงมองเจิ้นหนานโหวไปหนหนึ่ง ในดวงตาคู่นั้นกลับมีรังสีสังหาร สภาพหากเขากล้าเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวก็จะทุ่มสุดชีวิตกับเขาแล้ว…
ที่ประหลาดที่สุดคือคนเป็นถึงท่านโหวผู้นั้นกลับตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ทักทายกับลู่มู่อย่างเป็นการเป็นงานก่อน ค่อยเชิญบรรดาสตรีในครอบครัวลุกขึ้น
ขณะนั้นลู่อู่ก็เดินมาถึง ย่อมต้องคารวะท่านโหวผู้นี้เช่นกัน แต่ร่างกายยังไม่ทันลงไปทั้งหมดก็ถูกเจิ้นหนานโหวจับประคองไว้ พร้อมเอ่ยอย่างเป็นมิตรผิดปกติ “ท่านคือท่านผู้เฒ่าลู่ ผู้คุ้มภัยอาวุโสแห่งสำนักคุ้มภัยเสินเวยชื่อดังใช่หรือไม่ ท่านอายุมากเพียงนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้าหรอก เข้าไปดื่มชาพูดคุยกันข้างในดีกว่า!”
ท่านโหวนามจ้าวจยาอวี๋ผู้นี้ช่างเป็นคนมีนิสัยโผงผาง หลังพูดจบก็ไม่รอให้เจ้าบ้านตอบรับ ตนเองเดินนำก้าวปราดไปก่อน พาทุกคนตามเขาเข้าไปในห้องโถงด้านหน้า
เมื่อมาถึงห้องโถงเขาเอ่ยปฏิเสธเกรงใจกับลู่อู่ตามมารยาทแล้วก็นั่งลงบนตำแหน่งประธานอย่างไม่เกรงใจอีก ก่อนให้บรรดาบุรุษ สตรี คนแก่ และเด็กทั้งหมดนั่งลงตาม ทั้งให้ทำตัวตามสบายสักหน่อย ไม่ต้องมาคอยระมัดระวัง มองว่าเขาเป็นญาติมิตรสหายเก่าก็พอแล้ว
เพียงแต่ส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ต่างไม่ถนัดเรื่องคบค้าสมาคม ชั่วขณะหนึ่งบรรยากาศนิ่งเงียบจนน่าอึดอัด ไม่รู้ว่าจะพูดคุยกับท่านโหวที่โผล่มากะทันหันท่านนี้อย่างไร
โชคดีที่บ้านรองมีลู่มู่ผู้ช่างจำนรรจา จึงต้อนรับท่านโหวจ้าวอย่างรอบคอบทุกด้าน สนทนากันไปมาถึงขั้นมีความรู้สึกเหมือนเป็นผู้รู้ใจที่เจอกันช้าไป
หลิ่วเหมียนถังนั่งอยู่สักพัก รอจนท่านโหวจ้าวเอ่ยชื่นชมว่าท่านผู้เฒ่าลู่อู่เป็นคนมีวาสนา บุตรชายหลานชายต่างเป็นคนมีความสามารถ หลานสาวก็ดูอ่อนหวาน นางก็ลุกขึ้นอย่างเหมาะสม บอกว่าตนจะไปเปลี่ยนชุด จากนั้นออกไปจากห้องโถงอย่างเป็นธรรมชาติแล้วไม่กลับไปอีก
นางกลับเรือนตนเองไปเปลี่ยนชุดจริงๆ จากนั้นนั่งรถม้าจากประตูหลังไปที่สำนักคุ้มภัยเหลียงซิน
สองวันมานี้กิจการสำนักคุ้มภัยดำเนินไปด้วยดี นางจึงอาศัยโอกาสช่วงบ่ายมาตรวจสอบดู
หลังนางมาถึงสำนักคุ้มภัยประมาณครึ่งชั่วยาม รถม้าคันหนึ่งก็มาจอดหยุดหน้าประตูสำนักคุ้มภัย ก่อนเห็นท่านโหวจ้าวเฉวียนที่เดิมควรอยู่ที่บ้านสกุลลู่เดินโบกพัดกลางฤดูหนาวเข้ามาในสำนักคุ้มภัย
หลิ่วเหมียนถังกำลังดีดลูกคิด เห็นเขาเข้ามาก็ถอนหายใจน้อยๆ จากนั้นเดินอ้อมโต๊ะเก็บเงินออกมา ถามท่านโหวจ้าวอย่างมีมารยาทว่ามีสินค้าอะไรจะฝากส่งหรือไม่
เสียเวลาจนป่านนี้จ้าวจยาอวี๋ถึงหาเวลาว่างคุยกับหลิ่วเหมียนถังได้ เขารีบเอ่ยอย่างอดทนรอไม่ไหวทันที “คุณหนูหลิ่ว เจ้ายังหงุดหงิดข้าอยู่หรือ ตอนนั้นข้าโดนชุยจิ่วบังคับถึงได้จำเป็นต้องโกหก เจ้าอย่าได้โทษข้า ครั้งนี้ข้าเดินทางไปซีเป่ยถึงได้รู้ว่าเจ้าจากไปนานแล้ว เลยตามมาขอโทษเจ้าอย่างอดรนทนไม่ไหว…”
หลิ่วเหมียนถังหลุบตาลงเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าเพิ่งเจอท่านโหวเป็นครั้งแรกที่บ้านเมื่อครู่นี้ ท่านชุยจิ่วที่ท่านพูดถึงนั้นข้าไม่รู้จัก อีกอย่างท่านจะต้องมาขอโทษชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งอย่างข้าไปไย ช่างกล่าวให้คนจับต้นชนปลายไม่ถูกจริงๆ”
จ้าวเฉวียนเข้าใจขึ้นมาทันควัน “ใช่ๆ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยพบคุณหนู…ไม่สิ คุณหนูยังจำได้หรือไม่ว่าเจ้าเคยมาถามหายากับข้า หากเจ้าจำอะไรไม่ได้เลย แกล้งทำเป็นไม่รู้จักข้า ข้าไม่ยอมหรอกนะ”
จ้าวเฉวียนเองก็มีไหวพริบ จะต้องให้หลิ่วเหมียนถัง ‘จำ’ เรื่องราวเก่าๆ บางอย่างระหว่างพวกเขาให้ได้ ข้ออ้างว่าหลิ่วเหมียนถังเคยคิดว่าเขาเป็นหมอ เคยถามเกี่ยวกับเทียบยานั้นดีที่สุด ทั้งไม่ทำลายชื่อเสียงของหญิงสาว ทั้งให้ทั้งสองคนทำความรู้จักกันอย่างมีเหตุมีผล
หลิ่วเหมียนถังมองการต่อรองของจ้าวเฉวียนแล้ว รู้สึกว่ากวนใจอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้นางก็รู้แล้วว่าคนที่จะมาเป็นสหายกับไหวหยางอ๋องได้จะต้องไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปแน่นอน ที่แท้ท่านหมอจ้าวผู้กะล่อนเสเพลคือเจิ้นหนานโหวนี่เอง
ชาวบ้านธรรมดาอย่างนางทุกสามวันห้าวันต้องมารับมือกับพวกบุรุษอ๋องโหวเหล่านี้ ช่างบั่นทอนอายุขัยกันเสียจริง!
เมื่อครู่นี้ตอนอยู่บ้านสกุลลู่ จู่ๆ ได้เห็นเขาลงจากรถม้า เดินมาทางตนเองโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หลิ่วเหมียนถังก็ร้อนใจจนหลั่งเหงื่อเย็นแล้วจริงๆ
นางไม่ได้กลัวชื่อเสียงตนเองเสียหาย แต่เรื่องราวเหลวไหลพวกนั้นไม่อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของบรรดาสตรีสกุลลู่ได้
โชคดีที่จ้าวเฉวียนหยุดเท้าได้ทัน ละเว้นไม่ต้องให้นางอธิบายอะไรมากมายต่อหน้าคนที่บ้าน มาตอนนี้จ้าวเฉวียนกลับไม่สนใจอะไร จะต้องให้ทั้งสองคนกลายมาเป็นคนรู้จักเก่ากันให้ได้ หากไม่คล้อยตามเขา ไม่รู้ว่าท่านโหวผู้เอ้อระเหยลอยชายท่านนี้จะเล่นลูกไม้อะไรอีก
หลิ่วเหมียนถังเลยได้แต่ผงกศีรษะอย่างจนใจ มองสำรวจจ้าวเฉวียนอีกทีก่อนเอ่ย “อ้อ พอท่านพูดเช่นนี้ข้าก็นึกออกแล้ว เหมือนว่าตอนที่ไม่สบายจากการเร่งรีบเดินทางเคยได้เทียบยาจากท่าน…แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าท่านเป็นถึงท่านเจิ้นหนานโหวแห่งเจินโจว แต่ก่อนหากเคยล่วงเกินไป ขอท่านโหวอภัยให้ด้วยเจ้าค่ะ”
เห็นหลิ่วเหมียนถังยอมรับในที่สุด จ้าวเฉวียนเองก็ผ่อนลมหายใจยาว กดเสียงต่ำเอ่ย “เช่นนั้นพวกเราไม่ถือโทษกันอีกดีหรือไม่”
หลิ่วเหมียนถังรู้สึกว่าแม้ชุยสิงโจวจะเคยใส่ร้ายจ้าวเฉวียนต่อหน้านาง แต่วิธีพูดจากะล่อนปลิ้นปล้อนของจ้าวเฉวียนตรงจุดนี้ไม่มีอะไรให้สงสัยจริงๆ
ดังนั้นนางจึงไม่สนใจคำพูดสนิทสนมฝ่ายเดียวของจ้าวเฉวียน ยังคงถามอย่างห่างเหินเกรงใจว่า “ไม่ทราบว่าท่านมาที่นี่มีสินค้าอยากฝากส่งหรือไม่เจ้าคะ”
จ้าวเฉวียนคุ้นชินกับท่าทีเย็นชาของหลิ่วเหมียนถังแล้ว จึงไม่ได้ถือสา
นับตั้งแต่เขากลับจวนไปครั้งนั้นก็ยุ่งกับการจัดการเรื่องสกปรกภายในจวน เขากับภรรยาเอกห้องพระของตนเองไม่เคยร่วมหอกันมานาน นางกลับมีเรื่องมงคลผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า
จ้าวเฉวียนที่ถูกไล่กลับไปเปิดเผยเรื่องราวทุกอย่าง ฮูหยินผู้เฒ่าเกือบโมโหจนหมดสติ รีบสั่งให้คนจับตาดูลูกสะใภ้ รวมถึงเขียนจดหมายให้บิดาที่เป็นผู้ตรวจการสำนักตรวจการนครหลวงของนาง ต้องการสะสางเรื่องนี้ให้กระจ่าง
สุดท้ายจ้าวเฉวียนถึงพอจะเข้าใจเรื่องราวว่าเหตุใดภรรยาตนเองหาเรื่องออกบวชก่อนแต่งงาน หลังแต่งงานก็เอาแต่สนใจพุทธศาสนา ที่แท้นางดูงิ้วปังจื่อมากไป นึกไม่ถึงว่าจะแอบลักลอบคบหากับบุตรชายของหัวหน้าพ่อบ้านในจวนตนเอง หลังแต่งงานมาก็ไม่เคยตัดความสัมพันธ์ ด้วยเพราะในใจนางมีผู้อื่น แต่งงานมาแล้วจึงยกพุทธศาสนามาอ้าง จงใจเย็นชากับตนเอง
บัดนี้นางตั้งครรภ์บุตรของชายชู้ เดิมตั้งใจจะแอบคลอดออกมาแล้วค่อยส่งไปเลี้ยงดูข้างนอก นึกไม่ถึงว่าจะถูกสาวใช้ของตนเองพลั้งปากพูดออกไปให้แม่สามีรับรู้เสียก่อน
ทั้งสองครอบครัวต่างเป็นคนมีหน้ามีตา เรื่องอัปลักษณ์เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าใครก็ขายขี้หน้าไม่ได้ แต่จนใจที่ลูกชู้ในท้องตนเองใหญ่เกินไป ขับออกมาไม่ได้แล้ว
ดังนั้นท่านพ่อตาของจ้าวเฉวียนเลยรับตัวบุตรสาวกลับไปที่จวน รอให้ครบเดือนค่อยประกาศบอกภายนอกว่าเด็กถูกรกพันคอ คลอดยากแล้วเสียชีวิตไป จากนั้นหาเหตุผลมาให้ทั้งสองจวนเขียนหนังสือหย่ากันเงียบๆ อีกที
ดังนั้นทุกวันนี้แม้จ้าวเฉวียนจะอยู่ในนามคนแต่งงานแล้ว ทว่าภายในใจมีอิสรเสรีถึงที่สุด
รอเขาหย่ากับอดีตภรรยา ถอดหมวกเขียวออก อยากแต่งกับใครก็ได้แล้วทั้งนั้น! แม้หลิ่วเหมียนถังไม่เหมาะจะเป็นภรรยาเอก แต่ไม่มีปัญหากับการเป็นอนุอย่างแน่นอน
แต่หากอยากได้ใจของนางในดวงใจ จำเป็นต้องมีของขวัญแรกพบหน้าอยู่ดี ตรงจุดนี้จ้าวเฉวียนยังคิดได้
ฉะนั้นเมื่อเห็นหลิ่วเหมียนถังกลับไปนั่งดีดลูกคิดหลังโต๊ะเก็บเงินอีกครั้ง ท่านโหวจ้าวจึงสั่งให้บ่าวชายหยิบกล่องผ้าไหมใบใหญ่มา แล้วหยิบกระปุกเครื่องเคลือบลงไขผึ้งปิดผนึกใบหนึ่งออกมา เอ่ยว่า “ข้านึกถึงอาการบาดเจ็บที่มือเท้าเจ้ามาโดยตลอด จึงคอยหาอ่านพวกตำรับโบราณ แต่ในเทียบยามีดอกอิงกู่ที่หาได้ยากมาก ข้าเองก็เสียเงินไปมากกว่าจะปรุงออกมาได้ หลังเจ้ากลับไปให้ทายาลงบาดแผลวันละครั้ง รอเส้นเอ็นมือเท้ากลับมายืดหยุ่นถึงเชื่อมต่อได้อีกที ถึงเวลานั้นก็จะฟื้นตัวกลับมาดังเดิม…”
เขาพูดเช่นนี้จบ หลิ่วเหมียนถังเงยหน้ามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพูดความจริง?”
จ้าวเฉวียนตบหน้าอกก่อนเอ่ย “บุรุษอกสามศอกจะหลอกลวงคนได้อย่างไร”
หลิ่วเหมียนถังมองกระปุกใบนั้น สำหรับนางแล้วการที่มือเท้าฟื้นตัวกลับมาดังเดิมได้ออกจะดึงดูดใจเกินไปแล้วจริงๆ
“ราคาเท่าไร ข้าจ่ายให้ท่าน” หลิ่วเหมียนถังคิดแล้วเอ่ย
จ้าวเฉวียนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าเห็นข้าเป็นท่านหมอขายยาจริงๆ หรือไร เอาเช่นนี้แล้วกัน ถือว่าเป็นของชดเชยที่ก่อนหน้านี้ข้าหลอกลวงเจ้า เจ้าอย่าได้หงุดหงิดข้าอีกได้หรือไม่”
หลิ่วเหมียนถังใคร่ครวญแล้วไม่ตอบ ทว่าถามอีกอย่างแทน “ท่านโหวจ้าวกับคุณชายซูเป็นญาติกันจริงๆ?”
จ้าวเฉวียนเอียงคอครุ่นคิด ไม่ใช่ว่าเขาความจำไม่ดี แต่เป็นเพราะปกติมีคนแปลกๆ มาผูกมิตรตีตัวเป็นญาติสนิทกับเขามากเกินไปจริงๆ ลุงเอย หลานเอย ลูกพี่ลูกน้องอะไรพวกนั้น ออกจากจวนไปทีหนึ่งก็มีเยอะจนเดินสะดุดได้
แต่ดูเหมือนเขากับสกุลซูจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอะไรกันจริงๆ เหมือนในงานเลี้ยงน้ำชาครั้งหนึ่งได้ทำความรู้จักกับคุณชายซูเข้า จากนั้นเอ่ยกึ่งล้อเล่นไปก็กลายมาเป็นลูกพี่ลูกน้องกันแล้ว
ครั้งนี้เขามาที่ซีโจวเพื่อมาหาหลิ่วเหมียนถังโดยเฉพาะ ใครจะคาดว่าบังเอิญเจอคุณชายซูบนถนน อีกฝ่ายเข้ามาตีสนิทท่านโหวจ้าวอย่างกระตือรือร้น และตอนที่ท่านโหวจ้าวได้ยินว่าเขาพักค้างแรมอยู่ในบ้านสกุลลู่ก็เกิดเจตนาอื่นซ่อนเร้น คิดอยากเข้าหาสกุลลู่ด้วยวิธีนี้
ด้วยเหตุนี้สองลูกพี่ลูกน้องที่ไม่เกี่ยวพันกันทางสายเลือดจึงร่วมมือกันทั้งอย่างนี้
หลิ่วเหมียนถังได้ยินแล้วขมวดคิ้วเอ่ย “ในเมื่อไม่ได้เป็นญาติกัน ท่านโหวควรจะบอกกับผู้อื่นให้ชัดๆ ไม่อย่างนั้นหากผู้อื่นอ้างชื่อท่านทำอะไรขึ้นมา มิใช่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงดีงามของตระกูลท่านหรือ”
จ้าวเฉวียนผงกศีรษะอย่างแรง “ปกติข้าทำตัวเหลวไหลเพราะไม่มีใครคอยดูแลข้า แต่ว่าคำพูดของคุณหนูหลิ่ว ข้าย่อมจดจำใส่ใจ หากเจ้าคอยดูแลข้าให้มากๆ ข้าก็ขอขอบคุณคุณหนูหลิ่วแทนทุกคนในจวนโหวแล้ว!”
* ปรับหางเสือตามลม เป็นสำนวนจีน หมายถึงรู้จักอ่านสถานการณ์หรือท่าทีของผู้อื่น แล้วพลิกแพลงไปตามสถานการณ์
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.