ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ เล่ม 3 บทที่ 65-66
บทที่ 66
ลู่มู่รู้จักนิสัยของบุตรสาวตนเองดี ชอบเปรียบเทียบกับหลิ่วเหมียนถังเสียทุกด้าน คำพูดอิจฉาริษยาของเด็กๆ พวกนี้เขาย่อมไม่สนใจ แค่ปล่อยให้บุตรสาวพูดไป
เรื่องที่ทำให้ลู่มู่กังวลที่สุดคือช่วงก่อนหน้านี้หลิ่วเหมียนถังตัดเบี้ยเกษียณของคนเก่าแก่สกุลลู่ไปจนหมด
ความจริงคนเหล่านี้ไม่ได้สนใจเอาแต่รับเงินของตนเอง เนื่องจากมีหลายคนขณะที่ได้รับผลประโยชน์จากสกุลลู่ก็ได้จัดเตรียมส่วนกตัญญูต่อนายท่านรองลู่ไว้อีกส่วนด้วย
ยกตัวอย่างเช่นเฒ่าเฉาที่ทำกิจการขนส่งทางเรือ ตอนแรกที่สกุลเฉาเปลี่ยนไปเปิดกิจการขนส่งทางเรือก็ได้รับคำอนุญาตเงียบๆ จากเขา ทุกครั้งที่มาถึงวันเทศกาลหรือวันสิ้นปี ลู่มู่จะได้รับส่วนแบ่งก้อนใหญ่
ทุกวันนี้กิจการขนส่งทางเรือของสกุลเฉาถูกหลิ่วเหมียนถังเบียดเบียนจนดูไม่ได้ ลู่มู่เองก็เสียเงินก้อนใหญ่ไปด้วย
ลู่มู่ถามตนเองว่านี่ไม่ใช่การละโมบ แต่เป็นเพราะสมองของบิดาเขาคร่ำครึเกินไปจริงๆ ไม่ยอมให้พี่น้องแยกบ้าน ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนให้ชายชราอย่างบิดาเขาเป็นผู้แบ่งสันปันส่วน
ครอบครัวใหญ่คนเยอะ ภาระเองก็ย่อมมาก เมื่อเห็นว่าเรือลำใหญ่ของสกุลลู่ใกล้จะแล่นได้ไม่เร็วอีก หากตนเองแยกตัวออกไปใช้ชีวิตได้ ไม่ใช่ว่าจะเบาสบายกว่าหรือ
พูดถึงเรื่องสมองเขาฉลาดกว่าพี่ชายไม่ใช่แค่ร้อยเท่า แต่ติดขัดที่วันหน้าพี่ชายเป็นคนรับสืบทอดกิจการครอบครัว ไม่ว่าอะไรก็เทียบพี่ชายไม่ได้
สมัยที่ลู่มู่ยังไม่แต่งงานก็ยังดี แนวคิดยังคงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับครอบครัว ทว่าหลังแต่งงานกับเฉวียนซื่อ เขาถูกลมข้างหมอน* ของภรรยาเข้า ตนเองที่เดิมทีหัวไวเจ้าเล่ห์อยู่แล้วเลยค่อยๆ เกิดความคิดเป็นอื่นขึ้นมา
ดังนั้นที่สำนักคุ้มภัยตกอับลงรวดเร็วเพียงนั้น จึงเกี่ยวข้องอย่างมากกับการที่ลู่มู่ทำพฤติกรรมขโมยของที่ตนเองเฝ้า แอบโยกย้ายกิจการบางอย่างไป
เนื่องจากเขามีสายสัมพันธ์อันดีต่อพวกคนเก่าแก่ของสำนักคุ้มภัย บรรดาคนเก่าแก่เหล่านั้นพอได้รับผลประโยชน์ก็เต็มใจช่วยเขาแก้ไขสถานการณ์ต่อหน้าท่านผู้เฒ่า
ทว่ายามนี้หลิ่วเหมียนถังเป็นคนดูแลบัญชีเบี้ยเกษียณของคนทั้งกลุ่ม ตัดค่าใช้จ่ายของคนจำนวนนับไม่ถ้วนไปก้อนใหญ่ คนเหล่านี้สูญเสียผลประโยชน์ย่อมต้องมาหาลู่มู่ให้ช่วยคิดหาวิธี
ลู่มู่จะมีวิธีการอันใดได้ คงไม่อาจควักเงินของตนเองมาชดเชยให้พวกเขากระมัง
ดังนั้นลู่มู่จึงได้แต่เสนอความคิดให้พวกเขาหาโอกาสไปโวยวายกับหลิ่วเหมียนถัง
ในเมื่ออย่างไรเสียหญิงสาวต่างสกุลคนหนึ่งอย่างนางย่อมไม่อาจล่วงเกินท่านปู่ท่านลุงมากมายเพียงนี้ ไม่แน่ว่าพวกเขาโวยวายรุนแรงสักหน่อย ท่านผู้เฒ่าอาจออกหน้าบอกให้หลิ่วเหมียนถังยอมผ่อนปรนด้วยซ้ำ!
แต่พวกเขาปรึกษากันเสร็จเรียบร้อย ตัวหลิ่วเหมียนถังกลับไปข้างนอกไม่กลับมาเสียที
อดทนอดกลั้นอยู่นานมาก ถึงได้ยินข่าวเรื่องคุณหนูสกุลหลิ่วกลับมาพร้อมขบวนเรือแล้ว
กลุ่มคนเก่าแก่นำโดยคนสกุลเฉานัดแนะวันกันเรียบร้อย อาศัยโอกาสที่หลิ่วเหมียนถังออกไปยังลานยิงธนูของซีโจวไปดักรอนาง ในเมื่อครั้งก่อนท่านเฉาถูกท่านผู้เฒ่าด่าทอมา รู้ว่าท่านผู้เฒ่าลำเอียงเข้าข้างหลานสาว เลยได้แต่มากดดันลับหลังท่านผู้เฒ่าเช่นนี้
วันนี้หลิ่วเหมียนถังมาลานยิงธนูเพื่อจะฝึกฝนทักษะการยิงธนูที่ละทิ้งไปนาน
ชุยสิงโจวให้ธนูคันเล็กกับนาง เพราะว่าทำมาเป็นพิเศษ ติดตั้งสายที่ยืดหยุ่นสูง ต่อให้เป็นเด็กแรงน้อยก็ยังใช้ได้
เพียงแต่ก่อนหน้านี้เส้นเอ็นข้อมือของหลิ่วเหมียนถังเสียหายรุนแรง กระทั่งยกมือยังยกไม่ขึ้น ตอนนี้ข้อมือดีขึ้นมาบ้างจึงมาลองดู
เดี๋ยวนี้พวกกลุ่มฟั่นหู่ถูกชุยสิงโจวลดขั้นมาเป็นลูกจ้างสำนักคุ้มภัยของหลิ่วเหมียนถังไปแล้ว ตอนนี้ติดตามอยู่ข้างกายหลิ่วเหมียนถัง ช่วยวางเป้ายิง หยิบคันธนูให้เงียบๆ
เหตุผลที่ท่านอ๋องยังเก็บพวกเขาไว้ก็เกี่ยวข้องกับความเจ้าเล่ห์ของหลิ่วเหมียนถัง ไหวหยางอ๋องมองออกว่าลูกไม้ของหลิ่วเหมียนถังมีมากเกินไป หากเปลี่ยนเป็นองครักษ์ลับกลุ่มใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับนาง เกรงว่าจะตกหลุมพรางนางอยู่ดี
มิสู้ให้กลุ่มฟั่นหู่ที่เจอมาทุกลูกไม้แล้วติดตามต่อ เชื่อว่าชาตินี้พวกเขาไม่มีทางกินอะไรที่รับมาจากมือหลิ่วเหมียนถังแล้ว
แน่นอนว่าพวกฟั่นหู่ถูกลดขั้นเป็นลูกจ้าง ชุยสิงโจวย่อมส่งองครักษ์ลับอีกชุดมาแอบปกป้องหลิ่วเหมียนถังแทน
คนพวกนี้เป็นคนแปลกหน้า ไม่ต้องกลัวว่าหลิ่วเหมียนถังจะคิดแผนการมาสลัดพวกเขาทิ้งอีก
หลิ่วเหมียนถังรู้สึกผิดต่อองครักษ์ฟั่น จึงทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบพวกเขาอย่างใส่ใจ น่าเสียดายที่พวกฟั่นหู่ดูเหมือนปรึกษากันมาแล้ว นอกจากจำเป็นมิเช่นนั้นจะไม่พูดคุยกับคุณหนูหลิ่วแต่อย่างใด ป้องกันไม่ให้ตกหลุมพรางอะไรของคุณหนูหลิ่วอีก
วันนี้หลิ่วเหมียนถังสวมชุดนายพรานสีดำ สายคาดเอวหนังผืนกว้างรัดเอวให้คอดกิ่วกว่าเดิม ทำให้ทรวงอกเด้งก้นงอน เรือนผมก็เกล้าเป็นทรงหางม้าทิ้งตัวโค้งลงมาหลังศีรษะอย่างดูคล่องแคล่ว รองเท้าขี่ม้าหนังหุ้มสูงขึ้นมาถึงน่องขา ท่อนขาเรียวชวนให้คนมองจนไม่อาจละสายตา
ตอนที่บรรดาคนเก่าแก่รีบเดินทางมาถึงลานยิงธนู ภาพที่เห็นคือหลิ่วเหมียนถังถือธนูคันหนึ่งที่มีขนาดประมาณสองฝ่ามือเล็งยิงต่อเนื่องไปยังเป้าที่ตั้งไว้ห่างไปราวร้อยเมตร
ธนูคันนั้นราวกับของเล่น เป็นของสำหรับให้สตรีกับเด็กน้อยไว้เล่นสนุกฆ่าเวลาจริงๆ
กลุ่มบุรุษที่ออกเดินทางทั่วเหนือจรดใต้อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากอย่างดูถูก
ท่านเฉาตะโกนนำออกไป “นางหนูหลิ่ว เจ้าช่างเป็นผู้สูงศักดิ์งานยุ่งจริงๆ! ให้คนเฒ่าคนแก่อย่างพวกเราหาตัวได้ยากเย็นนัก!”
หลิ่วเหมียนถังไม่แม้แต่จะเหลือบแลพวกเขา สนใจเพียงเล็งไปยังไหใบใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปเท่านั้น
ท่านเฉาไม่พอใจท่าทีเมินเฉยเช่นนี้ของนาง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงโมโห “วันนี้ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อตัวข้าเอง แต่เพื่อพี่น้องคนอื่นๆ นางหนูอย่างเจ้าถือสิทธิ์อะไรมาตัดเบี้ยเกษียณที่สกุลลู่มอบให้พวกเราทิ้ง! หากวันนี้เจ้าไม่บอกเหตุผลมาก็ไม่ต้องคิดจะไปที่ใดทั้งนั้น!”
ผลปรากฏว่าคุณหนูสกุลหลิ่วไม่ได้ตอบคำ ทว่าบ่าวหญิงหน้าดำคล้ำคนหนึ่งก้าวออกมา มองประเมินพวกเขาด้วยสีหน้าเย็นชาก่อนเอ่ย “ไม่ทราบว่านายท่านผู้นี้เรียกคุณหนูของพวกเราว่า ‘นางหนู’ เช่นนี้ ท่านเป็นผู้อาวุโสคนใดของนางหรือ”
ท่านเฉาถูกบ่าวหญิงที่โผล่ออกมากะทันหันทำให้ตกใจ จ้องตาเขม็งตอบ “สมัยก่อนข้าเป็นผู้คุ้มภัยของท่านตานาง สมัยนั้นท่านผู้เฒ่าเคยเจออันตราย หากไม่ใช่เพราะข้า…”
หลี่มามาได้ฟังแล้วคิ้วแทบจะพาดเฉียงขึ้นมา “ในเมื่อเป็นผู้คุ้มภัยซึ่งถือเป็นลูกน้องของท่านผู้เฒ่าลู่ ถ้าอย่างนั้นก็คือลูกจ้าง! พวกลูกจ้างอย่างพวกท่านช่างวางท่าใหญ่โตนัก ถึงกับกล้าเรียกหลานสาวแท้ๆ ของท่านผู้เฒ่าว่านางหนู! นางเป็นสาวใช้ในบ้านพวกท่านหรือไร แต่ละคนหนวดเคราหงอกขาวเต็มใบหน้า กลับไม่มีความน่าเคารพยำเกรงสักนิด อีกอย่างจงยืนห่างไปอีกสักหน่อย! อย่าให้กลิ่นเหม็นเน่าของโลงผุลอยเหม็นคลุ้งมาถึงคุณหนูของพวกเรา!”
พูดกันตามตรงกลุ่มผู้คุ้มภัยชราเหล่านี้อาศัยว่าตนเองมีความดีความชอบสูง ไม่ต้องพูดถึงยามอยู่ต่อหน้าหลิ่วเหมียนถัง ต่อให้อยู่เบื้องหน้านายท่านใหญ่กับนายท่านรองสกุลลู่เองพวกเขาก็ใช้อายุมากดข่มเหมือนกัน
แต่บัดนี้พวกเขากลับถูกหญิงวัยกลางคนนางหนึ่งด่าทอ มันน่าโมโหหรือไม่!